มีหลายท่านเข้ามาปรึกษาหมอเรื่องการรักษาสิว รอยแดง และแผลเป็นของหลุมสิว คนไข้ส่วนมากจะใจร้อนค่ะ อยากรักษาทีเดียวทั้งหมดทุกปัญหา … หมอมักจะอธิบายเสมอว่าต้องรักษาทีละปัญหา ไม่สามารถรักษาทีเดียวทุกอย่างพร้อมๆ กันได้ค่ะ

ก่อนอื่นคือต้องรักษาสิวให้หายก่อน และเรื่องรอยแดงตามมาเป็นอันดับที่สอง ซึ่งทั้ง 2 ปัญหานี้ไม่ต้องกังวลนะค่ะ รักษาง่ายมาก และผลค่อนข้างเกือบ 100% เมื่อปัญหาสิว กับรอยแดงหายแล้ว เราจะมาดูแลเรื่องแผลเป็นหรือหลุมสิวกันค่ะ ซึ่งตัวนี้จะเป็นตัวที่น่าจะกังวลมากที่สุด โดยเฉพาะรอยที่เป็นมานานแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา และอาจจะไม่สามารถรักษาได้ 100% แล้วแต่ปัญหาและระยะเวลาที่เป็นค่ะ

ขออธิบายเจาะลึกเรื่องการรักษาแผลเป็นนะคะ

สำหรับการรักษาแผลเป็นจากสิว ต้องดูที่ปัญหาก่อนว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้าปัญหาไม่รุนแรง อาจจะทำทรีทเม้ต์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยพลังงาน RF ต่ำๆ หรือการจี้ด้วยกรดก็สามารถรักษาได้แล้ว แต่วิธีจี้กรดต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้ทำอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นตามมาได้ ง่ายๆ เลยคะ

สำหรับปัญหาที่ค่อนข้างเยอะอาจจะต้องใช้การรักษาที่เฉพาะ เจาะจงมากขึ้น เช่น กรอผิว(microdermabrasion) การเลาะพังผืดหลุมสิว(subcision) เหมาะสำหรับหลุมสิวลึกๆ กว้างๆ และเป็นแผลเป็นที่เป็นมานานแล้ว หรือถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น การรักษาด้วย laser resurfacing ก็เป็นอีกทางเลือกที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยการรักษาด้วย laser resurfacing ถือเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยทึ่สุด เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ค่ะ

หลักการคร่าวๆ ของ laser resurfacing คือการยิงลงไปที่ผิวหนังเพื่อให้ผิวเกิดแผลเล็กๆ แล้วร่างกายก็จะพยายามรักษาตัวเองโดยการสร้างผิวขึ้นมาใหม่ ทำให้รอยหลุม หรือรอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น และเนียนเรียบกับผิวปกติในที่สุด ซึ่งการรักษาวิธีนี้ ยังมีผลพลอยได้คือสามารถทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ (fine line) หายไป ทำให้ผิวกระชับขึ้นค่ะ

สำหรับ Laser resurfacing ก็จะมีหลากหลายตัวด้วยกัน แต่ที่คุ้นหู และเป็นที่นิยมจะมีอยู่ประมาณ 3-4 ตัวดังนี้คะ
– Fractional Co2 laser
– Fraxel
– Finescan

– E-matrix

เรามาเปรียบเทียบกันทีละตัวเลยคะ

ตัวแรกคือ Co2 เป็นตัวแรกๆ ที่นิยมในเรื่องการรักษาหลุมสิว ตัวนี้จะเป็นการยิงทั่วหน้าโดยแสงเลเซอร์จะลงใต้ผิวได้ไม่ลึกมาก ข้อดีคือทำแล้วจะรู้สึกว่าผิวเนียน รูขุมขนแคบลง แต่ถ้าในแง่ของหลุมสิวลึกๆ แล้วช่วยไม่ได้มากนัก แต่ข้อเสียคือหลังการรักษาผิวจะเป็นรอยคล้ายตารางทั่วใบหน้า ใช้เวลา downtime ประมาณ 5-7 วัน และข้อเสียอีกตัวหนึ่งคือ ผิวของคนเอเชีย ถ้าเป็นคนผิวคล้ำจะเกิด PIH (postinflammatory hyperpigmentation) หรือ สำหรับเรื่องรอยดำหลังจากการรักษาตามมาได้ง่าย จึงเลิกนิยมกันไป

ต่อมาจึงมีการพัฒนาให้แสงเลเซอร์ ออกเป็นจุดๆเล็กๆทั่วๆหน้า(fractional) หลังการรักษาแผลจะเล็กมาก คนไข้ชอบมากขึ้น รักษาตัวง่ายขึ้น แต่ก็ต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อได้ผลที่น่าพอใจ เลเซอร์ตัวนี้สามารถลงได้ลึกกว่าตัวแรกค่ะ แต่ก็ยังคงเป็น fractional ablative เช่นกัน คือเมื่อยิงแล้วจะทำให้เกิดแผล โดยจะมีสะเก็ตดำๆ ทั่วใบหน้า ซึ่งเวลา downtime ประมาณ 5-7 วัน เช่นกัน

เพื่อตัดปัญหา downtime ที่ค่อนข้างนาน และรอยตารางที่ผิวหลังการรักษาซึ่งเห็นชัดเจน จึงมีการพัฒนาเป็นเครื่อง Non-ablative fractional resurfacing นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจาก downtime ลดลงเหลือประมาณ 2-3 วัน และรอยแดงหลังการรักษาก็ไม่ชัดเจนเหมือน 2 ตัวแรก คือจะเป็นรอยแดงทั่วๆ ใบหน้าหรือบริเวณที่รักษา และหลังจากนั้นจะรู้สึกสากๆ ที่ผิวเท่านั้น ไม่เป็นสะเก็ตเหมือน 2 ตัวแรกคะ สำหรับเลเซอร์ในกลุ่มนี้มีหลายยี่ห้อในปัจจุบัน เช่น Fraxel, Fincescan 1550, Sellas 1550 ซึ่งแต่ละตัวเห็นผลแทบจะไม่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าคลินิกไหนชอบแบบไหน คุณหมอถนัดแบบไหนมากกว่า

นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องมืออีก 1 ตัวในกลุ่มของการรักษาหลุมสิว คือ E-Metrix (Fractional Radiofrequency (RF)) แต่ตัวนี้จะใช้หลักการที่ต่างกันไป คือ แทนที่จะใช้แสงเลเซอร์ ก็เปลียนมาใช้เป็นพลังงานคลื่นวิทยุแทน โดยเชื่อว่าคลื่น RF จะสามารถช่วยเรื่องการยกกระชับไปพร้อมๆ กันได้ด้วย แต่จากผลการวิจัยพบว่า ไม่ได้ช่วยเรื่องการยกกระชับมากนัก ถ้าคนไข้กังวลเรื่องริ้วรอย น่าจะใช้เครื่องมือที่รักษาริ้วรอยโดยตรงไปเลยจะดีกว่า และสำหรับผลลัพธ์การรักษา เมื่อเทียบกับ Fraxel, Finescan 1550, Sellas 1550 ก็ใกล้เคียงกันมากจนไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ค่ะ

รักษาหลุมสิว วิธีไหนเห็นผลสุด??
รักษาหลุมสิว วิธีไหนเห็นผลสุด??

รูปนี้เปรียบเทียบผลของ ablative กับ non-ablative

รูปซ้ายสุดนี้เป็นการการรักษาแบบแรก คือ Co2 จะเห็นว่าเลเซอร์จะไม่ลงลึก ทำงานแค่ผิวชั้นบนๆ เท่านั้น และทำลายผิวรอบข้างที่โดนยิงไปด้วยทั้งหมด สำหรับรูปด้านขวาอีก 3 รูปจะเป็นการรักษาแบบ fractional คะ

รูปที่สอง เป็น fractional ablative คือจะไม่กวาดหน้าผิวทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานในชั้นผิวที่ลึกอยู่ดีค่ะ

รูปที่สาม เป็น fractional non-ablative ที่เราใช้กันมากในปัจจุบัน ตัวนี้จะส่งพลังงานลงลึกกว่า และไม่เป็นแผลขั้นทำลายล้าง แต่จะเพียงแค่ไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และสร้างผิวใหม่

โดยสรุปก็อาจจะพูดได้ว่า วิธีการต่างๆ ก็จะมีผลดี ผลเสียต่างกันค่ะ แต่หมอมั่นใจว่า ถ้าอยู่ในมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงแล้ว การรักษาในเกือบทุกวิธี จะสามารถแก้ปัญหาให้คุณได้แน่นอนค่ะ ^^