Magic Smooth นวัตกรรมใหม่แห่งการดูแลผิว

บอกลาทุกปัญหาผิวกู้หน้าโทรมย้อนวัยผิวให้เด็กลงอีก 10 ปี. ที่สุดของอาหารผิวเพื่อผิวเนียนนุ่มหน้าใสลดปัญหาหลุมสิวและบำรุงผิวหน้าให้ชุมชื่น. “เปลี่ยนผิวเสียให้เป็นผิวสวยภายใน 14 วัน”

Magic Smooth คืออะไร

การปรับสภาพผิวด้วย treatment Magic Smooth เป็นการสร้างบาดแผลเล็กๆจำนวนมากบนผิวชั้นบนซึ่งจะช่วยทำให้ผิวของคุณพยายามจะรักษาตัวเองและกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน

พิเศษไปกว่านั้นในขณะที่ชั้นพิมพ์ถูกเปิดออกด้วยการทำให้เกิดบาดแผลเล็กๆเราได้ส่งผ่านสุดยอดอาหารผิวที่ช่วยให้จบทุกปัญหาผิวในครั้งเดียว

จริงๆแล้วการทำให้ผิวเกิดแผลเป็นขั้นตอนทั่วๆ ไปที่หลายหลายคลินิคใช้กันอย่างแพร่หลาย. สิ่งที่พิเศษสำหรับ  Magic Smooth ตัวนี้คืออาหารผิวที่เราใส่ลงไปต่างหาก

สิ่งที่พิเศษสำหรับ Magic smooth คือ

อาหารผิวที่เราส่งผ่าน มีสารสกัดจากธรรมชาติที่ผิวต้องการมากกว่า  90% และมีส่วนผสมของกรดอมิโนและ peptide ที่จำเป็นต่อผิวมากกว่า10++ ชนิด สารสกัดPDRN 2% + Collagen และ Co-enzyme 10

ไม่มีส่วนผสมของสารกันเสียด้วยส่วนผสมที่จำเป็นต่อผิวทำให้เสมือนเป็นแหล่งอาหารผิวชั้นเลิศที่สามารถช่วย reboots และซ่อมแชมผิวเสียให้กลับมาสวยขึ้นได้ภายใน 24 ชม.

 Magic Smooth ช่วยเรื่องอะไร

  • ช่วยเรื่องหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้และลดขนาดรูขุมขนให้เล็กลงภายใน 4 สัปดาห์
  • ช่วย reboots ผิวเสียได้ถึงระดับ cell ผิวพร้อมกับปกป้อง cell ผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
  • ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นอิ่มน้ำฟูเด้งเรียบเนียนช่วยให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนานขึ้น
  • ช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรงทำให้ใบหน้าดูเด็กผิวขาวใสอมชมพู
  • ช่วยลดฝ้ากระจุดด่างดำโดยไม่แสบผิวขณะเดินยา (ตัวยาไม่แสบ)
  • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังคงความยืดหยุ่นของผิวได้สูงและยั้บยั้งการเสียหายของผนังคอลลาเจนไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
  • ช่วยทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นริ้วรอยบางๆ สามารถจางลงได้ด้วย technology ล่าสุดที่ช่วยแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
  • ช่วยรักษารอยแตกลาย ให้จางลง สีผิวดูสม่ำเสมอ เรียบเนียนขึ้น

ควรทำบ่อยแค่ไหน

แนะนำให้ทำเดือนละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และยาวนานกว่า

หลังทำต้องปฎิบัติอย่างไร

  • หลังการทำผิวจะแดงมาก อยู่เกือบ 48 ชม และค่อยๆ ลดลง
  • หลังการทำ 24 ชมสามารถแต่งหน้า และทำกิจกรรมได้ตามปกติ
  • ควรเลี่ยงแดดจัด และควรทาครีมกันแดด SPF50 อย่างสม่ำเสมอ

ราคาและโปรโมชั่น 

 

 

Fire & Ice

เป็นทรีทเม้นต์ที่เหมาะกับการรักษาฝ้า สามารถช่วยในเรื่องการกระชับรูขุมขน และช่วยให้สิวฝ้า รอยดำจางลงอย่างรวดเร็ว ช่วยรักษาริ้วรอยเล็กๆ สามารถทำได้กับทุกช่วงอายุ

 

หลักการทำงานของFire & Ice

Fire เป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด  ช่วยทำให้เซลล์ที่ตายแล้วหลุดลอกออกมา  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวเรียบเนียนและฟื้นฟูผิวจากการที่ถูกแสงแดดทำลายช่วยลดรอยดำหลังการผ่าตัดหรือจากบาดเจ็บที่ผิวหนัง

โดยส่วนประกอบหลักๆมีกรด alpha และ beta hydroxy กลุ่มกรดผลไม้ AHA ผลไม้ซิตรัสและ BHA จาก Willow Bark Extract (Salix Alba) และ kojic acid  ช่วยต้านเชื้อแบคมีเรีย ต้านอนุมูลอิสระ  และพิเศษยิ่งกว่านั่นช่วยทำให้หน้าขาวใสกระจ่างขึ้น

Ice เป็นการ cool down ผิวหลังการทำทรีทเม้นต์ Fire แล้ว โดยจะปรับอุณหภูมิผิวลงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ -3 องศา ด้วยอุณหภูมิระดับนี้ ทำให้ผิวเปิด รูขุมขนจะถูกกระตุ้นให้เปิดรับสารอาหาร และเราจะเติมอาหารผิวให้ในขั้นตอนนี้ (เหมาะกับผู้ที่เป็นฝ้าหรือกระเพราะผิวไม่จำเป็นต้องเจอความร้อนของเครื่องRF แบบเก่าเพื่อที่จะผลักวิตามินลงสู่ผิว)

ขั้นตอนการทำFire & Ice (การบำรุงผิวหน้า7 ขั้นตอนโดยผู้ชำนาญการ)

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดด้วยCleansing removal cream
  2. ในกรณีที่มีสิวกดสิวก่อนทุกครั้ง
  3. ผลัดเซลล์ผิวด้วยตัวFire ทิ้งไว้5 นาที
  4. ครบเวลาเช็ดออกฉีดน้ำแร่ซับให้แห้ง
  5. ทำทรีทเม้นต์Ice ต่อเนื่องโดยการปรับอุณหภูมิให้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ-3 องศา
  6. ลงอาหารผิวบำรุงและเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว
  7. ล้างทำความสะอาดผิวอีกครั้งสเปรย์น้ำแร่ทาครีมบำรุงลดการอักเสบของผิวทาครีมกันแดด

ควรทำต่อเนื่องกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

ควรทำต่อเนื่อง4-6ครั้งเพื่อผลการรักษาทีชัดเจน

ต้องใช้เวลาพักผิวหลังทำนานไหม

ไม่มีช่วงต้องพักฟื้นผิวเลยอาจมีการหลุดลอกของผิวได้บ้างเล็กน้อยถึงปานกลางแต่ละคนมีการตอบสนองหลังทำที่ต่างกันแต่ส่วนใหญ่เป็นการลอกเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางส่วนมากผิวจะเป็นขุยหรือรอยแดงๆใน2-3วันแรก

หลังทำต้องดูแลผิวอย่างไร

ห้ามแกะหรือดึงสะเก็ดขุยออกปล่อยให้ลอกออกเองตามธรรมชาติสามารถกลับไปทำงานได้เลย(บางท่านผิวไม่ลอกแต่อย่างไรอาจมีรอยแดงๆได้) ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงความร้อนที่มากเกินและแสงแดดที่จัดแนะนำควรทากันแดดSPF 50 ขึ้นไป

สามารถทำบริเวณไหนได้บ้าง

สามารถใช้ได้ทุกส่วนของร่างกาย  เพราะมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในเรื่องความเรียบเนียนของผิวดีขึ้น บางส่วนของร่างกายอาจไวต่อ Fire treatment ต่างกัน เพราะแต่ละที่มีความหนาของผิวต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับความเห็นของแพทย์ที่ทำการรักษา

การทำFire & Ice ต่างจากพวก Glycolic peel ยังไง

Glycolic acid ทำให้ผิวแห้งสูญเสียน้ำและระค่ายเคืองต่อผิวและอาจทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นหลังการใช้เป็นเวลานานแต่ทรีทเม้นต์Fire เป็นกลุ่มใกล้เคียงกับLactic acid (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผิวNMF Nature Moisturizing Factor (NMF), Citric acid  (ซึ่งช่วยทำให้รอยดำจางและAged spot ดีขึ้น) และWillow Bark Extract (Salix Alba) ซึ่งช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมันลดหน้ามันและการอักเสบนอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำหลังการอักเสบหรือจุดด่างดำจากสิวช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่มสว่างสดใส

ปัญหาแบบไหนที่เหมาะกับทรีทเม้นต์ Fire & Ice

ทุกปัญหาที่มีลักษณะโทนผิวที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น ฝ้า รอยดำ รอยแดงจากสิว ผิวไหม้จากแสงแดด สีผิวเปลี่ยนจากฮอร์โมน หรือสารเคมี หรือยาบางอย่าง อายุมากขึ้นเม็ดสีจะเพิ่มขึ้น ริ้วรอยมากขึ้น รูขุมขนไม่กระชับ ผิวดูหมองคล้ำ ปัญหาพวกนี้สามารถรักษาได้ด้วย Fire & Ice

ถ้าคุณมีประวัติดังต่อไปนี้ไม่ควรทำFire & Ice

  • ทานยากลุ่มวิตามินเอ(Isotretinoin)ในช่วง6เดือนที่ผ่านมา
  • เป็นเริม หรือเป็นหูดบริเวณที่จะทำ
  • กำลังตั้งครรภ์
  • เป็นรอยแผลเป็นนูนง่าย
  • ประวัติโรคผื่นแพ้แดด
  • เพิ่งได้รับการรักษาด้วยวิธีผลัดเซลล์ผิวมา
  • เพิ่งได้รับสัมผัสแสงแดดปริมาณมากหรือไหม้จากแสงแดดในช่วง2 วันที่ผ่านมา
  • เพิ่งได้รับการรักษามะเร็งด้วยการฉายแสง
  • การผ่าตัดหรือใช้ไอเย็นจี้, IPLหรือการรักษาด้วยเลเซอร์ในเดือนที่ผ่านมา

 

 

ฟิลเลอร์คืออะไร?

ฟิลเลอร์(Filler) หรือสารเติมเต็มคือสารHyaluronic AcidหรือHA เป็นโพลีแซคคาไรด์(Polysaccharide) ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างผิวหนังและกระดูกอ่อนของเราอยู่แล้วสารตัวนี้เมื่อผสมรวมกับน้ำจะขยายตัวอยู่ในรูปของเนื้อเจลซึ่งเป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังคอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญและเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ตึง และแข็งแรง

ทำไมต้องเติมฟิลเลอร์?

คอลลาเจนเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนังช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลงเมื่ออายุมากขึ้นพอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่าผิวหนังจึงยุบตัวลงความเหี่ยวย่นริ้วรอยและความชราของผิวพรรณจึงปรากฏ วงการแพทย์จึงคิดค้นสาร ฟิลเลอร์ เพื่อมาแก้ปัญหาผิวพรรณดังกล่าว โดยการเติมเต็ม และการปนับรูปหน้า สามารถทำได้หลายตำแหน่ง เช่น ปรับแก้มส้ม เติมขมับ ปรับโหนกแก้ม ลดร่องแก้ม ร่องใต้ตา ลดริ้วรอยทั่วหน้า ยกคิ้ว เติมริมฝีปาก ลดรอยเหี่ยวย่นหลังมือ และริ้วรอยรอบคอ

ที่ผ่านมา อาจจะมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ Filler จากข่าวหรือจากผลการฉีดที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ไม่ว่าจากแพทย์ หรือผู้ฉีดที่ไม่ใช่แพทย์ หรือว่าจะเป็นเพราะสารฉีดที่ไม่ได้คุณภาพ หรือของปลอมนั่นเอง วันนี้หมอขอ อธิบายและตอบคำถามยอดฮิตของ Filler ครับ

❌ Filler สามารถไหลไปยังจุดอื่นได้ ❌

สำหรับสารHyaluronic acid หรือFiller ที่ถูกกฎหมายมีคุณสมบัติในการกลืนเข้ากับโครงสร้างของผิวได้อย่างดี
ดังนั้นหากฉีดบริเวณใดก็จะอยู่ในบริเวณนั้นจนกว่าจะสลายไปเมื่อหมดอายุครับ
แต่ที่อยากให้ระวังคือ Filler บางแบรนด์มีเหตุการณ์การฉีดแล้วย้อยบ้างในบาง Case แต่สบายใจได้เลยนะครับ เพราะที่ The Face Aesthetic เราไม่ใช้แบรนด์เหล่านั้นอย่างแน่นอนครับ

Filler สลายตัวไม่หมดและตกค้าง

Hyaluronic Acid ที่ผ่านมาตรฐานอย. หรือองค์การอาหารและยาเมื่อหมดระยะเวลาแล้ว Filler จะสลายตัวได้เอง 100% ไม่หลงเหลือตกค้างใต้ผิวหนังครับ ทั้งนี้อายุของ Filler ที่หลายๆคนเข้าใจกันว่าอยู่ที่ 1-2 ปีนั้น เป็นสิ่งที่บริษัทยาวัดตามค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของคนไข้เป็นหลักนะครับ ตัวอย่างเช่นผลหลังจากการฉีดไปแล้ว 2 ปีคนไข้ยังมีความพึงพอใจมากกว่า  80% – 90% บริษัทยาจึงนำระยะเวลานี้มาใช้อ้างอิงครับ ซึ่งบางเคสอาจจะไม่พอใจตั้งแต่ 6 เดือนหรือบางเคสอาจจะพอใจจนถึง 3-4  ปีก็เป็นไปได้ครับ

Filler = ซิลิโคนเหลว

ถึงแม้ว่าFiller และซิลิโคนเหลวจะเป็นสารเติมเต็มเหมือนกัน แต่แตกต่างกันมากนะครับ โดยFiller เป็นสารสังเคราะห์ที่สามารถนำมาฉีดเติมเต็มเนื้อเยื่ออ่อนของมนุษย์ได้ ซึ่งปัจจุบันนิยมนำมาฉีดแก้ไขจุดต่างๆ บนใบหน้า เช่นร่องใต้ตาและคางเป็นต้น ส่วนซิลิโคนเหลวเป็นสารสังเคราะห์ที่ไม่ได้รับมาตรฐานและไม่ควรนำมาฉีดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์เด็ดขาดครับ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายจากปัญหาสารตกค้างในร่างกายได้

 

หลายท่านที่เข้ามาหาหมอ มักจะถามเสมอว่ามันปลอดภัยใช่ไหม แล้วเลือกยี่ห้อไหนดี ต้องดูยังไง ว่าอันไหนเหมาะกับเรา ไม่เหมาะกับเรา

สำหรับคำตอบในเรื่องนี้ยากมากครับ ปลอดภัยไหม ต้องขึ้นกับสาร Filler ที่คลินิกใช้ เป็นของจริงหรือเปล่า ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายจริงไหม ของจริงแต่หิ้วมาเองจากต่างประเทศก็อีกเรื่องนะครับ แล้วถ้าเลือกยี่ห้อไหนดี อันนี้ก็แนะนำว่าควรให้คุณหมอเป็นคนเลือกจะดีกว่า เพราะคุณหมอจะมีความรู้มากกว่า ว่า anatomy ของใบหน้าแต่ละท่านเป็นอย่างไร ลักษณะของ filler คุณสมบัติแต่ละตัวก็ต่างกัน โมเลกุลต่างกัน เหมาะกับผิว หรือ antomy ของใบหน้าแตกต่างกันไป

หมอขอสรุปว่า ถ้าคุณเลือกแล้วว่าคลินิกนี้น่าเชื่อถือ มีใบรับรองจริง คุณหมอเป็นแพทย์ตัวจริง ก็ไม่น่ากลัวแล้วครับ ^^

อีก 2 เรื่องที่อยากจะฝากนะครับ

การฉีด Filler ที่ดี ควรเป็นการฉีดที่ดูธรรมชาติ ปรับ และแก้ไขปัญหาผิวของลูกค้าอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้น แนะนำให้ค่อยๆ เติมดีกว่าครับ less is more นะครับ ไม่ต้องโถมเข้าไปจนเต็มและแน่น ใจเย็นๆ เพราะเราสามารถเติมได้เรื่อยๆ การฉีดต่อเนื่องไม่มีผลต่อการดื้อยาเหมือนพวก สาร toxin ที่ฉีดกันครับ

ข้อดึของ Filler อีกเรื่อง คือมันสามารถแก้ไขได้ ถ้าผลลัพธจากการฉีด filler ไม่เป็นไปตามที่คุณต้องการไม่ต้องกังวลนะครับ ใจเย็นๆ โดยปกติ Filler จะใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ สำหรับการเซตตัวเต็มที่ ถ้าหลังจาก 2 อาทิตย์ แล้วคุณไม่ชอบผลลัพธ์ สามารถปรึกษาคุณหมอของคุณได้ทันที เพราะคุณหมอสามารถปรับ ยก หรือขยับได้อีกเล็กน้อย หรือถ้าไม่ชอบมากๆ จริงๆ Filler ก็สามารถฉีดสลายไปได้ครับ

 

 

 

หมอเชื่อว่าหลายๆคนที่กำลังอ่านอยู่น่าจะเคยมีประสบการณ์การฉีด neurotoxin หรือที่เรียกติดปากกันว่า B-o-t-o-x มาบ้างแล้ว ตัวผมเองก็เช่นกันเองครับซึ่งวัตถุประสงค์ในการมาฉีด Toxin ก็คือการอยากให้ตัวเองดูดีขึ้นและดูเด็กลง

ถ้ามีคนมาถามหมอว่ายิ่งฉีด Toxin ทำให้ยิ่งดูแก่จริงรึเปล่า

หมออาจจะตอบว่า จริงครับ!!

แต่อย่าเพิ่งตกใจกันนะครับเรื่องนี้ไม่ได้เกิดกับทุกเคส และสามารถป้องกันได้ด้วยครับ

ก่อนอื่นหมอขอแก้ไขความเข้าใจผิดกันก่อนซึ่งคำถามนี้เป็นคำถามที่มีคนไข้ถามบ่อยพอสมควรเลยครับ

 

Q : ถ้า Toxin หมดฤทธิ์หรือหยุดฉีด Toxin จะทำให้ริ้วรอยมากขึ้นกว่าเดิมเลยไม่อยากเริ่มฉีด

A : ไม่จริงครับสำหรับเรื่องนี้ยังไม่มีงานวิจัยการแพทย์รวมถึงจากประสบการณ์ตรงจากผมเองและการดูแลคนไข้มาการหยุดฉีดไม่ได้ทำให้ริ้วรอยเยอะขึ้นครับ 

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจคือ Toxin เป็นแค่การชะลอ aging process ครับ.  พูดง่ายๆคือผิวเราไม่ได้หยุดแก่  แค่แก่ช้าลง

ดังนั้นในคนที่ฉีดต่อเนื่องหลายๆ ปี วันหนึ่งเกิดหยุดฉีด หลังจาก Toxin หมดฤทธิ์ กลไกการขยับของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยก็จะค่อยๆ เริ่มกลับมาแน่นอน.  ว่าด้วยอายุที่มากขึ้นริ้วรอยก็จะต้องมากขึ้น เพียงแต่เราอาจจะกระโดดข้ามช่วงที่ริ้วรอยน้อยๆ เมื่อหลายปีมาช่วงที่เยอะๆ เลยทำให้ดูเหมือนริ้วรอยหนักขึ้นครับ

ทีนี้เรากลับมาดูปัจจัยที่อาจจะทำให้เราดูแก่ขึ้นจากการฉีด Toxin 

  1. หน้าผากยุบ: การฉีดToxin หน้าผากปริมาณเยอะๆ จนกล้ามเนื้อไม่สามารถขยับได้เลยอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหน้าผากลีบแบนทำให้ดูเหมือนหน้าผากยุบลง ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราแก่ตัวลงครับ
  2. ตาตี่ตาเล็กลง: คนไข้หลายรายโดยเฉพาะคนที่อายุมาก หรือคนที่มีดวงตาเล็ก จะมีภาวะการใช้กล้ามเนื้อหน้าผากเพื่อช่วยเปิดตาดังนั้นหากประเมินการฉีด Toxin หน้าผากอย่างไม่เหมาะสม จะทำให้หนั งตาหย่อนลงชั้นตาหรือรูปตาเล็กลงได้ครับ
  3. ริ้วรอยเยอะขึ้น: เช่นริ้วหน้าผากเหนือหางคิ้วอาจเกิดจากการเว้นตำแหน่งโบท็อกซ์ หน้าผาก เพื่อป้องกันคิ้วตกมากเกินไปหรือการประเมินการฉีด Toxin โดยไม่มีความเข้าใจ เรื่องกลไกการทำงานของกล้ามเนื้อ  เช่นในบางรายมีความจำเป็นต้องฉีดกล้ามเนื้อหน้าผากและขมวดคิ้ว ควบคู่กันเสมอ  แม้จะไม่กังวล เพื่อยังคงความสมดุลของการดึงกันของกล้ามเนื้อไว้
  4. ฉีดกรามจนแก่: กล้ามเนื้อกรามเป็นตำแหน่งยอดฮิตอันดับต้นๆ ของคนไทยและคนเอเชียเพื่อปรับรูปหน้าให้เล็กลงแต่อีกมุมหนึ่งกล้ามเนื้อกรามก็เป็นโครงสร้างที่ดึงให้ผิวบริเวณใบหน้าด้านล่างไม่หย่อนในช่วงที่อายุยังน้อยเมื่อกล้ามเนื้อกรามหายไปผิวยังมีความสามารถในการหดคืนตัวหรือยังมีโครงสร้างอื่นๆที่ยังแข็งแรงเช่นกระดูกแก้มที่ช่วยดึงไม่ให้เกิดอาการหย่อนคล้อยตามมาแต่พออายุเพิ่มขึ้นการฉีดจนปริมาณกรามเล็กเกินไปอาจทำให้มีแก้มตกห้อยได้หรือมีภาวะแก้มตอบในบางรายที่ใช้ปริมาณยามากหรือกระจายยามากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่กระดูกโหนกแก้มชัดอยู่เดิมครับ

จะเห็นได้ว่าปัญหาทั้งหมดจริงๆแล้วไม่ได้เกิดจากตัวยาหรือตัวสารโบท็อกซ์นะครับแต่เกิดจากการประเมินตำแหน่งที่ฉีดและเทคนิคการฉีดเป็นส่วนสำคัญครับ

สำหรับหมอแล้วการฉีดโบท็อกซ์ไม่มีสูตรหรือตำแหน่งตายตัว คนไข้ 100 คนก็ฉีด 100 แบบ
แม้แต่การฉีดคนไข้คนเดิมแต่คนละรอบ ก็ต้องประเมินใหม่หมดเช่นกันครับเพราะไม่ได้แค่ฉีดตามริ้วรอย แต่ต้องประเมินคำนวณรวมไปถึงสิ่งที่จะเกิดกับคนไข้หลังจากที่ตัวยาออกฤทธิ์เต็มที่ ในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้าด้วยครับ

 

เช็คให้ชัวร์​ ก่อนทำต้องถามให้แน่ใจว่าใช่ 5 mm หรือเปล่า

Dual Yellow เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการดูแลรักษาผิวหน้าโดยเป็นการผสมผสานเลเซอร์2 ชนิดในการทำงานทำให้ได้ผลการรักษาครอบคลุมขึ้นทั้งในเรื่องริ้วรอยปัญหาเรื่องสีผิวและแผลเป็นชนิดต่าง

ปัจจุบันได้พัฒนาหัวทิปใหม่ล่าสุด5 mm ที่คลอบคลุมพื้นที่ทำการรักษามากขึ้นได้พลังงานสูงขึ้นและได้ผลลัพท์ชัดเจนขึ้นโดยปล่อยพลังงานแสงเลเซอร์ที่เรียกว่าFast Edge MicroPulses หรือFEM technology คือเทคโนโลยีที่ให้พลังงานเลเซอร์สูงสุดที่3 กิโลวัตต์(kW) ในระยะเวลา(pulse duration) สั้นๆทั้งหมด22,000 pulses/วินาทีทำให้เกิดกระบวนการPhoto Chemical Effect ใต้ผิวเพื่อทำลายเม็ดสีดำ(Melanin) และรอยแดงโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื้อข้างเคียงแม้แต่นิดเดียวครับ

 

ถามว่าแล้วหัว5mm ต่างกันยังไงกับแบบเก่า

จริงๆแล้วการทำDual Yellow Laser ด้วยหัวขนาด1 mm. ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีในระดับนึงนะครับ

แต่การใช้หัว5 mm. ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้นจะทำให้พลังงานเลซอร์ครอบคลุมพื้นที่ในการรักษาได้มากขึ้นและลดความรู้สึกเจ็บจี๊ดในบางจุดดังนั้นขณะทำเทคนิคใหม่นี้คนไข้จะรู้สึกอุ่นสบายๆไม่เจ็บเลยที่สำคัญผลลัพ์ที่ได้ wow กว่ามากครับคือเห็นความแตกต่างเลยตั้บแต่ครั้งแรกที่ทำแต่ก็ยังแนะนำให้ทำต่อเนื่อง3-4 ครั้งนะครับสามารถเว้นระยะห่างของการรักษาได้มากขึ้นนั่นคือเทคนิคเดิมที่ใช้หัว1 mm. หมอจะนัดทำการรักษาซ้ำทุก2-3 สัปดาห์แต่การใช้หัว5 mm. หมอสามารถนัดซ้ำทุก4-6 สัปดาห์ก็ยังเห็นผลชัดเจนมากครับ

และแน่นอนว่า ราคาสำหรับ หัว 5mm ก็อาจจะแตกต่างกับหัว 1mm ไม่มากก็น้อยครับ

 

เราใช้Dual Yellow รักษาปัญหาผิวอะไรบ้าง

การรักษาด้วยDual Yellow Laser ให้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆสำหรับการรักษาเรื่องหน้าขาวใสฝ้ากระติ่งเนื้อหรือจุดด่างดำนอกจากนั้นยังช่วยรักษาอาการหน้าแดงเส้นเลือดฝอยสิวอักเสบและจ้ำแดงจากรอยสิวอีกด้วยแสงเลเซอร์2ชนิดคือแสงสีเหลือง(ความยาวคลื่น578 นาโนเมตร) ที่ช่วยรักษารอยแดงและเส้นเลือดฝอยและแสงสีเขียว(ความยาวคลื่น511 นาโนเมตร) ที่ช่วยเรื่องหน้าขาวใสและจุดด่างดำ  ที่สำคัญยังมีโหมดที่รวมแสงทั้ง2 สีเข้าด้วยกันเพื่อให้ครอบคลุมรอยโรคได้มากที่สุดครับ

 

 

 

 

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา  The Face Aesthetic ได้เข้าร่วมงาน Portrait of Life เอ็กซิบิชั่น ภาพถ่ายที่ผสานงานศิลป์เข้ากับความงามของเหล่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากหลากหลายวงการ ผ่านการลั่นชัตเตอร์ของคุณวสันต์ ผึ่งประเสริฐ ช่างภาพแถวหน้าของประเทศ

ที่สำคัญคุณยูกิ ศรีกาญจนา ได้ให้เกียรติเป็นตัวแทนของ The Face Aesthetic เข้าร่วมงาน และพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ในเรื่องราวความงาม และเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณ

บรรยากาศงานเต็มไปด้วยความสนุก เหล่าซีเลปหลากหลายท่านที่เข้าชมเอ็กซิบิชั่นนี้ค่ะ

 

    

  

ก่อนอื่นเลยเราควรรู้ว่าไขมันเกิดขึ้นได้ยังไง?

ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เรากินอาหารมากเกินความพอดี โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลลอรี่สูง เช่น อาหารกลุ่มน้ำตาล แป้ง และ ไขมัน โดยไม่ออกกำลังกาย หรือใช้พลังงานไม่หมดเท่าที่กิน และเมื่อเวลาผ่านไป ไขมันเหล่านี้จะสะสมไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไขมันส่วนเกินในที่สุด ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุดคือ การฉีดสลายไขมันเฉพาะส่วน หรือไม่ก็ดูดทิ้งไปเลย

ฉีดสลายไขมัน คืออะไร?

การฉีดสลายไขมัน คือการกำจัดไขมันส่วนเกินส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย โดยการฉีด สารตัวยาจำพวก  Phosphatidylcholine,L-carnitine, Vitamin B, Amino acids,Minerals, ,Deoxycholate หรือ อื่นๆ เข้าไปในชั้นไขมันลึกตั้งแต่ 0.1 ไปจนถึง 12มม. เพื่อไปสลายชั้นไขมัน โดยไขมันต่างๆจะถูกขับผ่านทางปัสสาวะ และเหงื่อ ดังนั้นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมเราถึงควรดื่มน้ำเยอะๆ หลังฉีดสลายไขมัน

ฉีดมาหลายที่ไม่เห็นลง แล้วยาที่ The Face ใช้ต่างจากที่อื่นยังไง

ยาสลายไขมัน Fat Bra ที่เราใช้ มีส่วนผสมของกรดdeoxycholicซึ่งเป็นสารที่ดูดซับไขมันที่พบในร่างกายของเราตามธรรมชาติเมื่อฉีดเข้าไปมันจะทำลายเซลล์ไขมัน เมื่อไขมันสลายไป ทำให้ผิวยกขึ้นจากการศึกษามากกว่า20ฉบับ โดยแต่ละฉบับมีผู้ป่วยหลายพันคนแสดงให้เห็นว่าเกือบร้อยละ70ระบุว่าเห็นผลเป็นที่น่าพอใจ (จากงานวิจัยพบว่า เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดผู้ป่วยควรให้การรักษาประมาณ 2-4 ครั้งเว้นระยะห่างกันเดือนละครั้ง)

ยาทำงานอย่างไร

กลไกการออกฤทธิ์ของยาคือยาจะไปออกฤทธิ์สลายเซลล์ไขมัน(cytolytic drug) โดยยาจะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์(cell membrane) เมื่อไม่มีเยื้อหุ้มเซลล์ ก็ทำให้เซลล์ไขมันสลายตัว(cell lysis) แล้วถูกขับออกไปพร้อมระบบขับถ่ายของร่างกายตามปกติ ยาตัวนี้จึงถือเป็น”ทางเลือกใหม่”ทดแทนการดูดไขมัน(liposuction) หรือการผ่าตัดเนื้อเยื่อไขมันออก(lipectomy) ได้เลยทีเดียว ส่วนการใช้กับไขมันที่ส่วนอื่นของร่างกายเช่นหน้าท้องสะโพกหรือต้นขายังไม่มีรายงานวิจัยเรื่องประสิทธิภาพออกมาชัดเจนนัก แต่ก็มีผู้นำมาใช้บริเวณต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าพอใจค่ะ

รูปแสดงเยื้อหุ้มเซลล์ที่ถูกสลายหลังการฉีด

 

รูปแสดงผลหลังการสลายไขมัน จะถูกขับออกตามกลไกของร่างกาย ชั้นไขมันลดลง ผิวกระชับขึ้น

 

อันตรายแค่ไหน

ปัจจุบันถือว่าเป็นทรีทเม้นต์ที่ได้รับการยอมรับ และทำกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกค่ะ ถามว่าอันตรายไหม ตอบเลยว่าไม่อันตราย ถ้าใช้ตามข้อจำกัดที่ระบุไว้ เพราะองค์การอาหารและยาของหลายๆ ประเทศ ก็ให้ใบอนุญาติออกมามากมายค่ะ

ล่าสุดเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(U.S. FDA) ได้รับรองยาฉีดตัวใหม่ที่มีส่วนผสมของสารตัวนี้เป็นหลัก

ข้อบ่งชี้สำหรับ U.S. FDA ก็คือ ยานี้ใช้ฉีดลดไขมันใต้คางในรายที่มีไขมันสะสมปานกลางถึงมาก(moderate-to-severe convexity or fullness from submental fat) หรือที่คนไทยเราชอบเรียกว่า”เหนี่ยงใต้คาง” แต่ใช้ได้”เฉพาะ”ในผู้ใหญ่เท่านั้นนะค่ะ (18+ ค่ะ)

“ข้อห้าม” ของยานี้คือห้ามฉีด หากมีการติดเชื้อบริเวณใต้คางรวมถึงสิวอักเสบหรือรูขุมขนอักเสบฉะนั้นยานี้ควรได้รับการฉีดโดยแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญเท่านั้นนะคะโดยจะฉีดไปที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง(subcutaneous fat tissue) บริเวณคาง(submental area) เท่านั้น. หากใช้ตามข้อบ่งชี้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ค่ะ

ขณะฉีดรู้สึกอย่างไร

ผู้ป่วยอาจรู้สึกแสบร้อนนาน 10-15 นาทีทันทีหลังการรักษา ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดหลังจากฉีด Bra Fat  คืออาการบวมและช้ำเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจมีอาการแดงและรู้สึกไม่สบายหลังการทำทรีตเม้นต์  โดยอาการบวมของยาจะไม่นาน สูงสุดประมาณ 20 ถึง 28 ชั่วโมงหลังการฉีด และส่วนใหญ่หายไปหลังจาก 48 ชั่วโมง แต่บางครั้งอาจพบอาการบวมนานขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่คุณได้รับและสภาพผิวของคุณ ผู้ป่วยที่มีไขมันจำนวนมากอาจมีอาการบวมมากขึ้น

กว่าจะเห็นผล ใช้เวลานานแค่ไหน

ผลลัพธ์ไม่ได้เห็นทันทีหลังฉีดนะค่ะ ผลของการฉีดแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่า และดีขึ้นเรื่อยๆ จน 1 เดือน  ผลจะอยู่ได้นานเท่าไรจากงานวิจัยพบว่าเซลล์ไขมันที่ถูก “กิน” หรือละลายโดยการฉีด Fat bra จะไม่กลับมาอีก แต่ก็ต้องขึ้นกับการดูแลร่างกายของเราด้วย หากเราควบคุมไม่ให้น้ำหนักขึ้นอีก มันก็จะไม่กลับมาอีกเลยค่ะ ถือว่าผลที่ได้คุ้มค่าต่อการเจ็บเลยทีเดียว

ข้อดีของการฉีดสลายไขมันมีอะไรบ้าง?

  • ไม่เจ็บตัวเหมือนการดูดไขมัน และแผลเล็กมากทำให้ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ
  • สามารถทำได้ทุกส่วนของร่างกายโดยไม่มีผลข้างเคียงใดใด
  • สะดวกเพราะใช้เวลาน้อยขั้นตอนไม่ซับซ้อนและสามารถเลือกฉีดเฉพาะบริเวณที่ต้องการได้
  • ไขมันกลับมายากเพราะถูกขับออกโดยปัสสาวะและเหงื่อแล้ว
  • เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ไขมันลดลง 60%-90%
  • ผิวกระชับและไม่หย่อนยานเนื่องจากมีตัวยาผสมในตอนฉีด
  • เหมาะสำหรับคนที่กลัวการผ่าตัด
  • เหมาะสำหรับไขมันที่ลดยาก ไขมันบริเวณที่ฉีดจะค่อยๆ ยุบเอง ไม่เป็นคลื่น หรือไม่เป็นรอยบุ๋มของผิวให้ต้องหงุดหงิดใจ

ดูแลตัวเองยังไง หลังฉีดสลายไขมัน

  • ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ2 ลิตรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวยาที่ฉีดเข้าไปเพื่อเร่งการขับไขมันออกจากร่างกายได้ดีมากขึ้น
  • ควรออกกำลังกายเบาๆ เพื่อให้เหงื่อออกได้ดีมากขึ้นเช่นโยคะ แอโรบิค อย่างน้อยวันละ30 -45 นาทีต่อวัน
  • หลังฉีดอาจพบอาการบวมช้ำหรือเจ็บปวดบ้างหลังทำซึ่งถือเป็นปกติและจะหายไปเองภายใน1-2 วัน
  • ควรนวดคลึงบริเวณที่ฉีดหลังฉีดเสร็จทันทีเพื่อให้ตัวยากระจายตัวและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
  • ควรปรับเปลื่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมได้อีกไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หรือทานยานะค่ะ เอาแค่เลี่ยงพวกไขมัน แป้งในตอนดึกๆ ก็พอ และการสลายไขมัน ไม่ว่าจะวิธีไหน ไม่ได้แปลว่าไขมันจะกลับมาไม่ได้นะค่ะ เพราะฉะนั้นต้องระวังเรื่องอาหารควบคู่กันไปด้วยค่ะ

 

  

 

ภาพก่อนและหลังการรักษา

หลังการฉีด 1 ครั้ง (ผลขึ้นกับแต่ละบุคคล)

 

 

การกำจัดขน bikini อาจเป็นกิจกรรมประจำของสาวๆ หลายคน

และปัจุบันเราก็มีหลากหลายวิธีในการกำจัดขนbikini แต่ที่ได้ผลมากที่สุดปลอดภัยที่สุด เป็นที่นิยมมากที่สุดและจัดว่า ได้ผลถาวรก็คือการใช้เลเซอร์กำจัดขน โดยเลเซอร์ที่ใช้จะมีผลในการทำลายเฉพาะรากขนไม่ให้สร้างขนใหม่ขึ้นมาอีก โดยไม่ไปรบกวนผิวรอบข้าง เหมือนวิธีอื่นๆ นะค่ะ และที่หมอแนะนำเลเซอร์ก็เพราะมันมีผลพลอยได้คือ ทำให้บริเวณที่ใช้เลเซอร์กำจัดขนดูเรียบเนียนมากขึ้น เส้นขนใหม่ที่เกิดหลังจากนี้จะมีขนาดที่เล็กลงสีอ่อนลงและจะค่อยๆขึ้นน้อยลงจนหมดไปในที่สุด

นอกจากหมอจะแนะนำวิธีการกำจัดขน bikini แบบการใช้เลเซอร์แล้ว ปัจจุบันเราสามารถเลือกเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่ดี พร้อมกับหัวเลเซอร์ที่ใช้แล้วทิ้งเลย ไม่ต้องใช้ปะปนกับใครๆ โดยหัวเลเซอร์ตัวนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อผิวบริเวณนี้ของเราโดยเฉพาะค่ะ เพราะฉะนั้นตัดปัญหาเรื่องการ Burn การอักเสบ หรือบวมแดง ออกไปได้เลยค่ะ คนไข้บางท่านที่ใช้วิธี wax เคยมาพบหมอด้วยอาการเป็นแผลถลอก และอักเสบ น่าเห็นใจมากค่ะ (ไม่ใช่ว่าวิธี wax ไม่ดีนะค่ะ แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสียต่างกันไปแล้วแต่ใครสะดวกค่ะ)

เครื่องตัวนี้ เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ปี 2019

ได้มีการพัฒนาต่อเนื่องมากว่า 10 ปี จนปัจจุบัน ชื่อว่า

Soprano ICE Platinum

ถือว่าเป็นเครื่องกำจัดขนเครื่องเดียวที่ผสมผสานการทำงานของ 3. ความยาวคลื่นไว้ด้วยกัน

  • 1Alex 755 nm
  • 2 Speed 810 nm
  • 3 YAG 1064 nm

โดยทั้ง 3 ความยาวคลื่น ทำงานแตกต่างกันไป ทำให้เมื่อรวมกันแล้วจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการกำจัดขน แถมยังมีหัว cooling ช่วยเพิ่มความรู้สึก สบายขึ้น ไม่เจ็บเหมือนเครื่องเลเซอร์ อื่นๆ

และเนื่องจากเครื่องมีความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ผลพลอยได้คือทำให้ผิวบริเวณที่ใช้เลเซอร์กำจัดขนดูเรียบเนียนมากขึ้น เส้นขนใหม่ที่เกิดหลังจากนี้จะมีขนาดที่เล็กลงสีอ่อนลงและจะค่อยๆขึ้นน้อยลงจนหมดไปในที่สุดค่ะ

สำหรับการกำจัดขนบริเวณ Bikini มีข้อแนะนำดังนี้

  1. หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรกำจัดจนเกลี้ยงเพราะเป็นขนที่มีประโยชน์เป็นตัวรับการกระแทกเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทั้งช่วยป้องกันอวัยวะเพศเสียดสีโดยตรงกับเสื้อผ้าหรือกางเกงชั้นในค่ะ
  2. แต่ไม่ควรปล่อนให้ขนยาวมากจนเกินไปควรตัดเล็มให้เป็นระเบียบดูสวยงามมีรสนิยมเพราะหากมากเกินไปก็อาจทำให้อับชื้นหรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์นะค่ะ
  3. หากมีความจำเป็นต้องกำจัดควรรักษาความสะอาดทาโลชั่นบำรุงผิวบริเวณนั้นและไม่ควรใส่ชั้นในที่ฟิตตลอดเวลาเพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้
  4. แนะนำให้กำจัดขนbikini ด้วยเลเซอร์เพื่อความปลอดภัยควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานมีคุณหมอประจำนะค่ะ

เลเซอร์กำจัดขนBIKINIเจ็บไหม

ไม่เจ็บเลยค่ะถึงแม้จะเป็นบริเวณที่ผิวบางมากก็ตามก่อนทำจะมีการทาเจลเย็นในบริเวณที่ทำทำให้รู้สึกสบายขึ้นด้วยค่ะโดยระหว่างทำจะรู้สึกอุ่นๆไม่รู้สึกดีดหรือเจ็บเหมือนเครื่อง YAG ค่ะ

ขนจะขึ้นอีกไหม

โดยมากลูกค้าที่กำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์Soprano ICE Platinum ไปประมาณครั้งที่3-4 จะรู้สึกว่าขนขึ้นช้าลงและบางลงค่ะ  หลังการทำ5 ครั้งอาจจยังมีขนอยู่บ้างสามารถมาเก็บอีก3 ครั้งเว้นระยะห่างหน่อยได้นะค่ะหลังจาก8 ครั้งบางคนขนหายไปมากกว่า 3 ปี หลังจากนั้นอาจมีขนขึ้นมาบ้างแต่เป็นขนอ่อนและสีอ่อนค่ะสามารถเข้ามาเลเซอร์ซ้ำเป็นรายครั้งได้ค่ะ

หลังทำเป็นอย่างไรจะแดงแสบร้อนไหม

ผิวหนังในบริเวณที่ทำเลเซอร์กำจัดขนอาจรู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่แดง หรือแสบร้อนเลยค่ะ เนื่องจากเครื่องรุ่นนี้มีตัว cencer อุณหภูมิใต้ผิว เครื่องจะเตือนถ้าพลังงานที่สะสมใต้ผิวมากเกินไป ทำให้ผิวไม่ได้รับความเสียหายจากเลเซอร์ ไม่แดง ไม่แสบร้อนเหมือนเครื่องเก่าๆ

 

 

สำหรับการกำจัดขน คงเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยนะครับ จริงๆ แล้ววิธีกำจัดขนมีเยอะมาก ทั้งถอน โกน แว๊กซ์ หรือใช้สารเคมี แต่วิธีพวกนี้เป็นเพียงการกำจัดขนชั่วคราวเท่านั้นครับ สำหรับการกำจัดขนที่ถาวรคือการใช้เลเซอร์ครับ และพวกเลเซอร์ ก็ยังมีให้เลือกอีก 4-5 ตัว เดี๋ยวเรามาดูกันทีละตัว ดีกว่าครับ

1. IPL

คือ คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น 590-1,200nm เป็นการใช้แสงความเข้มสูง ผ่านมีตัวกรองแสงที่เป็นแท่งแก้วปริซึม เพื่อสร้างแสงมีความยาวคลื่นต่างๆกันออกมา โดยแสงที่ได้จะมีความยาวคลื่นได้หลากหลายขึ้นกับตัวกรองแสง สามารถทำลายรากขน แต่พลังงานไม่มากและไม่จำเพาะเพียงพอที่จะทำลายรากขนได้ทั้งหมด แค่พอกำจัดขนได้บ้างแต่จะเสี่ยงต่อผิวไหม้ ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพราะผิวหนังอาจดูดซับพลังงานที่มากเกินไปทำให้ผิวไหม้ได้โดยเฉพาะคนผิวสีเข้มครับ ตัวนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพน้อยที่สุดในการกำจัดขนนะครับ

จากรูปจะเห็นว่าIPL จะไม่เฉพาะเจาะจงลงไปที่รากขน ทำให้ประสิทธิภาพการกำจัดน้อยกว่า laser

2 Long-pulsed ruby laser

คือคือเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นสารผลึกของแข็ง(ผลึกทับทิม) มีลักษณะของคลื่นเป็นแบบพัลส์ยาวมีความยาวคลื่นอยู่ที่694 นาโนเมตรครับเนื้อเยื่อเป้าหมายคือเมลานิน(เม็ดสี) ความสามารถในการจับเมลานีน คือปานกลางพลังงานสามารถลงถึงระดับความลึกผิวหนังชั้นในส่วนกลาง(mid-dermis)ความสามารถกำจัดขนก็จะดีกว่า IPL แต่ก็ยังไม่ลึกถึงรากขนจริงๆ

3 Long-pulsed Alexandrite laser

คือคือเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นสารผลึกของแข็ง(ผลึกอเล็กแซนไดร์) มีความยาวคลื่นอยู่ที่755 นาโนเมตร เนื้อเยื่อเป้าหมายคือเมลานิน(เม็ดสี), ฮีโมโกบิน(เส้นเลือด), น้ำหมึกที่ใช้ในการสัก(สีดำ)

เลเซอร์สามารถลงถึงระดับผิวหนังชั้นในส่วนลึก(deep dermis) ความสามารถในการจับเมลานีนอยู่ในเกณฑ์ดี จึงทำให้เครื่องมือกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการขจัดขนได้ดีกว่าIPL และLong Pulsed Ruby laser

4. Long Pulse ND-YAG Laser

คือเลเซอร์ที่มีแหล่งกำเนิดคือNdYaG (ผลึกYttrium-aluminum garnet ที่มีสารเจือปนคือNeodymium) เรียกสั้นๆว่านีโอดีเมียม: แย๊กมีความยาวคลื่น1,064nm นิยมมากที่สุดในบ้านเราครับ ความยาวของคลื่นสูงเลเซอร์สามารถลงถึงระดับความลึกผิวหนังชั้นในส่วนลึก(deep dermis) ความลึกอยู่ที่ประมาณ7 มิลลิเมตรความสามารถการจับเมลานีน (เม็ดสี) ดีมาก

5. Diode Laser

คือเลเซอร์ที่มีตัวDiode เป็นแหล่งกำเนิดมีความยาวคลื่นค่อนข้างหลากหลาย800-810, 940, 1,064-1,350นาโนเมตรซึ่งสามารถดูดซับmelanin ค่อนข้างมากเนื้อเยื่อเป้าหมายคือเมลานิน(เม็ดสี), ฮีโมโกบิน(เส้นเลือด), น้ำหมึกที่ใช้ในการสัก(สีดำ) พลังงานสามารถลงลึกถึงระดับผิวหนังชั้นในส่วนลึก(deep dermis)จึงทำให้เครื่องมือกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการขจัดขนได้ดีมากๆ และใช้ได้กับหลากหลายลักษณะ

ก่อนจะมาคุยว่าอะไรดีกว่าอะไร หมออยากอธิบายเรื่องการทำงานของเลเซอร์กำจัดขนเพิ่มแบบนี้ครับ

หลักการทำงาน แสงเลเซอร์จะกำจัดขนโดยการส่งผ่านพลังงานแสงเลเซอร์ไปที่รากขนโดยเมลานิน(เซลล์เม็ดสี) ที่รากขนจะดูดซับพลังงานแสงหลังจากนั้นพลังงานแสงจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน  ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีเซลล์เม็ดสีถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเส้นขนรากขนและเนื้อเยื่อต่างๆที่ทำหน้าที่ผลิตขนก็จะถูกทำลายไปด้วยเช่นกันรวมถึงเนื้อเยื่อเชื่อมต่อบริเวณรากขนและเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงด้วย(mesenchyme) ทำให้ไม่สามารถผลิตstem cells ที่ทำให้ขนงอกได้  เป็นผลให้วงจรการเกิดขนใหม่จะช้าออกไปเรื่อยๆเส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดที่เล็กลงสีอ่อนลงและจะค่อยๆขึ้นน้อยลงและหากเลเซอร์ซ้ำๆเส้นขนก็จะค่อยๆหมดไปในที่สุดครับ

 

แล้วตกลงว่าเครื่องไหนดีกว่ากัน

จะดูว่าเครื่องไหนดี ก็ต้องมาดูกันว่าการกำจัดขนโดยเลเซอร์จะได้ผลดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

1.ขึ้นอยู่กับพลังงานที่สูงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำจัดขนถ้าพลังงานสูงพอก็จะสามารถส่งไปถึงบริเวณรากลึกของขนในรูขุมขนทำให้สามารถทำลายเซลล์เป้าหมายที่รูขุมขนได้ เพราะฉะนั้นเลเซอร์กลุ่มที่ลงลึกถึงรากรูขุมขนก็จะมี ND-YAG และ Diode Laser ที่มีความยาว900nm ขึ้นไป

2.ความลึกของรากขน (ความยาวคลื่นมีระดับการทะลุทะลวง(penetration depth) ลึกไปถึงรากขนหรือไม่) ข้อนี้ต้องยกให้ ND-YAGและ Diode Laser ที่มีความยาว 900nm ขั้นไปเหมือนกันครับ

3.สีผิวและสีขน (สีผิวและสีขนสีเข้มมีเม็ดสีเยอะผิวขาวและขนสีอ่อนมีเม็ดสีน้อยจึงเหมาะกันคลื่นที่มีความยาวต่างกัน) ถ้าคุณเป็นคนผิวขาวและเส้นขนสีดำกลุ่มนี้จะง่ายมากครับเครื่องไหนก็เอาอยู่IPL หมอว่าก็ยิงได้แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวขาวและเส้นขนสีอ่อนควรเลือกกลุ่ม2 Long-pulsed ruby laserหรือLong-pulsed Alexandrite laser ก็ได้ครับ

4.ความยาวคลื่น (มีผลต่อการดูดจับเม็ดสีเมลานีน  คลื่นยาวเหมาะกับคนที่มีสีผิวเข้มคลื่นสั้นเหมาะกับคนผิวขาว) อย่างเช่นLong pulse NdYAG  จะกำจัดขนอ่อน หรือขนมีสีน้ำตาลได้ไม่หมด ไม่ดีเท่ากลุ่มที่มีความยาวคลื่น 755nm alexandriteและ 810nm. diode laser ครับ

5.วงจรชีวิตของเส้นขน มีงานวิจัยพบว่าการกำจัดขนในวงจรชิวิตของขนที่ต่างกันให้ผลที่ต่างกันเลเซอร์แบบlong pulse ที่เราใช้กันให้ผลการรักษาได้ดีในเฉพาะระยะเจริญตัว(ระยะanagen) ของเส้นขนเท่านั้นนะครับ

ขอสรุปอีกรอบนะครับ

ปัจจุบันเราไม่ต้องเลือกมากแล้วครับ เพราะมีการพัฒนาเครื่องเลเซอร์กำจัดขนตัวใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานความยาวคลื่นไว้ ทั้งหมด 3 ระดับ เพื่อสามารถตอบโจทย์ครอบคลุม ทุกสีผิว ทุกสีขน และลักษณะเส้นขน ที่ต่างกันไป

เครื่องตัวนี้เรียกว่า Soprano ICE  ครับ มันรวบรวมความยาวคลื่นไว้ทั้งหมด ทั้ง 3 wave length จึงสามารถตอบโจทย์ครอบคลุมทุกลักษณะสีขน สีผิว และทุกลักษณะเส้นขน โดยเครื่องรุ่นนี้มีระบบความเย็น Cooling Touch มาช่วยป้องกันผิวหนังชั้นบนไม่ให้เกิดการไหม้ ทำให้สามารถใช้กำจัดขนในคนผิวเข้มได้ โดยไม่ต้องกลัวผิวไหม้ หรือ burn เลยครับ

และล่าสุดครับ ปีนี้ 2019 ได้มีการพัฒนา soprano ICE Platinum

เพิ่มเทคโนโลยีให้ระบบวิ่งวนสะสมพลังงาน ลดความเจ็บ ต่างจากเลเซอร์ชนิดเดิม ตอนทำจะรู้สึกสบายๆเหมือนมาทำสปา และใช้เวลาในการรักษาน้อยอีกด้วย

จุดเด่นของเครื่องอยู่ที่ ความยาวคลื่นที่ผสมผสาน 3 ระดับ คือ 755nm 810nm และ 1064nmทำให้ประสิทธิภาพในการจับเมลานีนในเส้นขนดีกว่า และความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้คลื่นสามารถทะลุสู่ผิวชั้นลึก และตื้นในเวลาเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เครื่อง Soprano ICE Platinum มีความสามารถในการกำจัดขน ได้ครอบคลุมทุกลักษณะเส้นขน และสีขนได้ดีที่สุดในปัจจุบันครับ

 

สาเหตุที่Soprano ICE Platinum ดีกว่าเครื่องตัวอื่น

ก่อนตอบคำถามนี้ต้องบอกกว่าว่า ที่คลินิก The Face Aesthetic เรามีทั้ง 4 เครื่องนะครับ ทั้ง IPL , Q switch (บางคลินิกเอามายิงกำจัดขนครับ ซึ่งไม่เวริ์ค หมอพูดเลย) ND-YAG, แล้วก็ Soprano ICE Platinum เลยกล้าตอบ ว่ามันดีกว่าตัวอื่นยังไง

Laser กำจัดขนSoprano ICE Platinum ดีกว่าตัวอื่นๆเพราะเป็นเครื่องกำจัดขนที่มีเทคโนโลยีล่าสุดปี2019 ผสมผสานของคลื่นเลเซอร์ทั้งหมด3 ระดับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการกำจัดขนที่ได้ผลดีที่สุดเพราะสามารถกำจัดได้ทุกประเภทของขนทุกสีขนทุกขนาดของขนหมอขออธิบายว่า ตัวคลื่น 3 ระดับนี้มันทำงานต่างกันยังไง แล้วเมื่อมารวมกัน มันทำให้ผลลัพธ์ของการกำจัดขนดีกว่ายังไงนะครับ

ALEX 755nm WAVELENGTH

ความยาวคลื่นAlexandrite มีประสิทธิภาพมากในเรื่องการดูดซับพลังงานเมลานินทำให้สามารถจับสีขนอ่อนๆ ได้เป็นอย่างดี และพวกขนเส้นเล็กๆก็สามารถจับได้โดยพลังงานจะลงไปทำงานกับผิวชั้นบนๆเหมาะมากกับผิวบริเวณคิ้วขนเหนือริมฝีปากขนอ่อนทั่วหน้าหรือบริเวณแก้มครับ

Speed 810nm WAVELENGTH

ความยาว810nm จะเป็นความยาวคลื่นระดับกลางมีอัตราการปล่อยพลังงานซ้ำสูงขึ้นและมีขนาดจุดในการยิงประมาณ2 ซม.ทำให้การรักษารวดเร็วขึ้นสำหรับคลื่น810nm มีระดับการดูดซึมเมลานินในระดับปานกลางทำให้ปลอดภัยสำหรับผิวคล้ำหรือผิวแทนความสามารถในการเจาะลึกลงชั้นผิวช่วงBulge(กระเปาะของรูขุมขน) ทำให้เหมาะสำหรับการรักษาแขนขา แก้มและเครามากที่สุดครับ

YAG 1064nm WAVELENGTH

สำหรับความยาวคลื่น 1064 นั้น จะดูดซึมเมลามีน ต่ำที่สุด แต่ความสามารถในการเจาะลึกลงชั้นผิวลึกที่สุด ทำให้เลเซอร์ลงไปถึงรากขน ความยาวคลื่นตัวนี้จะเหมาะกับ เส้นขนที่มีความหนา และมีสีดำมากที่สุด ขนอ่อนๆ หรือเส้นบางๆ จะไม่ค่อยเห็นผลครับ

รูปแสดงระดับการทำงานของคลื่นแต่ละตัวของเครื่อง Soprano ICE Platinum

 

ทีนี้พอทั้ง 3 ระดับ มารวมกัน ทำให้การกำจัดขนแม้จะเป็นครั้งหลังๆ ที่ขนเริ่มบาง สีเริ่มอ่อน ก็สามารถทำได้ และเห็นผลดี รวมทั้งเป็นการรักษาที่ปลอดภัย ไม่เจ็บ ยิ่งทำให้หมอทำงานง่ายขึ้น สามารถยิงซ้ำจนทั่วได้มากกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆ ครับ

 

 

เหตุผลที่หมอเลือกSoprano ICE Platinum

  1. เรื่องผลลัพธ์ที่ดีมั่นใจว่า ขนถูกกำจัดไปถาวร สีขนอ่อนแค่ไหนก็ไม่มีปัญหาครับ
  2. มั่นใจว่าผิวคนไข้ไม่ burn ครับ เวลาหมอทำงานจะไม่กังวลสามารถยิงซ้ำได้ตามที่ต้องการ
  3. ด้วยเครื่องที่มีระบบ cooling touch (ความเย็นที่หัวเลเซอร์)ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ หมอทำงานง่ายครับ ไม่ต้องหยุดพัก เหมือนเครื่อง YAG หรือเครื่องอื่นๆ
  4. ทำงานได้เร็วขึ้น อย่างปกติหมอทำ Full leg หรือ Full arm ด้วยเครื่อง YAG ต่ำๆ ต้องครึ่งชั่วโมง ถึง 45 นาที ถ้าใช้เครื่อง Soprano ICE Platinum สามารถทำเสร็จได้แค่20 นาทีครับ
  5. ผลพลอยได้ ที่เห็นชัด คือผิวบริเวณที่กำจัดคนนอกจากจะเรียบเนียนขึ้น ยังดูขาวใสขึ้น อีกด้วยครับ

 

การกำจัดขนไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป โดยเฉพาะสำหรับคุณผู้ชายนะครับ เมื่อก่อนที่เคยเจ็บ เคยแสบร้อน สมัยนี้ไม่ต้องทนเจ็บแล้วครับ แล้วเรื่องขนอ่อนๆ กำจัดไม่หมดซะที มาทางนี้เลยครับ !!!

 

 

ขนคุดคือขนที่ไม่สามารถงอกออกมาเป็นขนได้ตามปกติทำให้เกิดการขดตัวกันอยู่ภายในรูขุมขนหรือแทงย้อนกลับไปทางเดิมการอุดตันของขนในรูขุมขนที่เกิดขึ้นจะเห็นเป็นจุดดำๆและทำให้รูขุมขนเกิดการระคายเคืองเป็นตุ่มนูนขึ้นมาให้เห็นครับถ้าไม่อักเสบตุ่มจะคล้ายๆ สิวอุดตันเวลามองอาจไม่เห็นเด่นชัดหากเอามือลูบจะรู้สึกว่าเป็นเม็ดๆ หนามๆแต่ถ้าบริเวณที่เป็นขนคุดเกิดการอักเสบขึ้นจะบวมและเป็นหนองซึ่งจะคล้ายกับสิวและอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วยค่ะ

ส่วนขนคุดอีกประเภทที่มีชื่อคล้ายๆกันเรียกว่าโรคขนคุด(Keratosis pilaris) นั้นเกิดจากความผิดปกติของการสร้างเซลล์ผิวหนังที่ส่งผลให้มีการอุดตันของรูขุมขนด้วยสารเคราติน(keration) ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งส่งผลให้ขนไม่สามารถงอกทะลุรูขุมขนออกมาได้เกิดเป็นขนคุดที่อยู่ใต้ผิวหนังหรือในรูขุมขนเกิดอาการแดงการอักเสบเป็นหนองเป็นฝีรอยดำหรือแผลเป็นขึ้นอยู่กับความรุนแรงโดยขนคุดนี้มักเกิดขึ้นจากพันธุกรรมและเป็นเรื้อรังจะพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นอาการเป็นๆหายๆแต่อาจดีขึ้นได้หรือหายไปเองเมื่ออายุมากขึ้น

ขนคุดเกิดขึ้นได้จากอะไร

  1. การโกน, ถอน, wax ที่ไม่ถูกต้องและไม่ถูกวิธีเช่นการโกนขนหรือหนวดทวนทิศทางการงอกทำให้เกิดปลายแหลมไปทิ่มแทงรูขนให้เกิดอาการอักเสบได้
  2. ตำแหน่งสรีระทางกายภาพของแต่ละคนเช่นบริเวณท้ายทอยต้นคอใต้คางขาหนีบจะมีลักษณะที่พับทับกันในคนผมสั้นผมหยิกอาจเกิดการทิ่มผิวหนังบริเวณรอยพับนั้นจนเกิดการอักเสบหรืออาจจะทำให้ขนไม่ยอมขึ้นแล้วไปเบียดตัวอยู่ในรูขุมขนจนทำให้เป็นขนคุดได้เช่นกันค่ะ
  3. ปัจจัยอื่นๆเช่นผิวแห้งมากเกินไป, การผลัดเซลล์ผิวไม่ดีทำให้ผิวหนังชั้นบนหนาผิดปกติ, การขัดผิวแรงๆ, เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง, ร่างกายอ่อนแอ, การขาดวิตามินดี และกรรมพันธ์

 

 

 

 

 

 

 

 

การดูแลตนเองเมื่อเป็นขนคุด

  • บำรุงผิวเพื่อคงความชุ่มชื้นของผิวไว้ด้วยการทาโลชั่น, การใช้สบู่อ่อนๆ(เช่นสบู่เด็กอ่อน) และงดอาบน้ำอุ่น
  • ควรโกน, ถอน, wax ขนตามแนวการขึ้นของขน หรือถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงไปเลย ถ้าต้องการกำจัดขนควรใช้วิธีเลเซอร์จะดีกว่าค่ะ
  • ไม่ขัดถูผิวหนังแรงๆเพราะเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบของรูขุมขนได้
  • ห้ามแกะหรือเกาขนคุดเพราะอาจทำให้เกิดแผลและเกิดรอยดำขึ้นได้
  • ควรสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆเพื่อไม่ให้เสื้อผ้ารัดแน่นหรือเสียดสีบริเวณที่เป็นขนคุดทำให้เกิดอักเสบขึ้นมาอีกได

มีวิธีการรักษาขนคุดได้อย่างไรบ้าง

จริงๆแล้วหากมีอาการขนคุดหรือสงสัยว่าจะเป็นขนคุดต้องทราบก่อนว่าเกิดจากสาเหตุอะไรเป็นขนคุดชนิดไหนเพื่อการดูแลที่ถูกต้องดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยเพราะในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดที่รักษาให้หายขาดเป็นเพียงรักษาไปตามอาการแต่ถ้าหากได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องอาการก็จะทุเลาลงและเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกบ่อยๆวิธีรักษามีดังนี้

  1. การผลัดเซลล์ผิวลดการอุดตันโดยครีมหรือยาที่ใช้ทาเพื่อลดการหนาตัวของผิวเช่นSalicylic acid, AHA, ยากรดวิตามินเอการทายาหรือครีมเหล่านี้ต้องทาอย่างต่อเนื่องจึงจะช่วยลดการเกิดขนคุดได้แต่เมื่อหยุดทาก็อาจทำให้กลับมาเป็นอีกได้
  2. การใช้เลเซอร์กำจัดขน

การใช้เลเซอร์กำจัดขนเป็นเทคโนโลยีกำจัดขนในปัจจุบันที่มีความปลอดภัยสูงหลักการทำงานของเลเซอร์คือใช้แสงเลเซอร์ส่งไปที่รากขน ทำให้รากขนนั้นฝ่อลงส่งผลให้ขนที่งอกขึ้นมาใหม่มีขนาดเล็กลงและขนงอกช้าลงขนจะค่อยๆบางและหายไปในที่สุดการกำจัดขนแต่ละครั้งจึงจะได้ผลประมาณ20 – 30% และอาจต้องทำเลเซอร์หลายครั้งเพื่อให้รากขนหมดไปทั้งหมดตามที่ต้องการโดยทั่วไปต้องรักษาประมาณอย่างน้อย4-6 ครั้งในระยะเวลา5-8 สัปดาห์ติดต่อกันทั้งนี้จำนวนครั้งขึ้นอยู่ที่ปริมาณขนเดิมกรรมพันธุ์การตอบสนองเลเซอร์ของแต่ละบุคคลเช่นสีของขนและสีผิวค่ะ

การกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอรืเป็นคำที่เราได้ยินกันจนเบื่อแต่วันนี้คำนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะการกำจัดขนถาวรโดยใช้แสงความเข้มสูงและเลเซอร์แบบผสมผสานทำให้สิ่งที่คุณจะได้มันมากกว่าแค่การกำจัดขนมาดูกันค่ะ ว่ามันคืออะไร

 

ก่อนอื่นขอคุยเรื่องการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ที่นิยมกันมักจะมี 2-3 วิธี

  1. IPL คือคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น590-1,200 nm เป็นการใช้แสงความเข้มสูงผ่านมีตัวกรองแสงที่เป็นแท่งแก้วปริซึมเพื่อสร้างแสงมีความยาวคลื่นต่างๆกันออกมาโดยแสงที่ได้จะมีความยาวคลื่นได้หลากหลายขึ้นกับตัวกรองแสงสามารถทำลายรากขนแต่พลังงานไม่มากและไม่จำเพราะเพียงพอที่จะทำลายรากขนได้ทั้งหมดแค่พอกำจัดขนได้บ้างแต่จะเสี่ยงต่อผิวไหม้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพราะผิวหนังอาจดูดซับพลังงานที่มากเกินไปทำให้ผิวไหม้ได้โดยเฉพาะคนผิวสีเข้ม

จากรูปจะเห็นว่า IPL จะไม่เฉพาะเจาะจงลงไปที่รากขน ทำให้ประสิทธิภาพการกำจัดน้อยกว่า laser

  1. Long Pulse ND-YAG Laser คือเลเซอร์ที่มีแหล่งกำเนิดคือNdYaG มีความยาวคลื่นหลายแบบ1,064 nm ใช้มากที่สุดในผิวคนไทยเพราะสามารถใช้กำจัดขนได้กับคนที่ผิวหนังมีสีเข้มได้ดีด้วยความยาวของคลื่นสูงจึงสามารถทะลุไปยังใต้ผิวหนังชั้นลึกสามารถถูกดูดซับโดยmelaninได้ดีจึงกำจัดขนได้ดีและโดยการดูดซับพลังงานที่ผิวหนังด้านบนน้อยจึงเกิดผิวไหม้น้อยกว่า IPL มีประสิทธิภาพในการกำจัดขนสีดำได้ดีแต่ ข้อเสียของ Long pulse NdYAG คือเจ็บมากครับเจ็บทุกเส้นไม่ว่าเส้นจะหนาหรือบางและกำจัดขนอ่อนหรือขนมีสีน้ำตาลได้ไม่       หมดเหมือนพวกกลุ่มที่มีความยาวคลื่น 755nm alexandrite และ810nm. diode laser ครับ

3 Diode Laser  คือเลเซอร์ที่มีตัวDiodeเป็นแหล่งกำเนิดมีหลายความยาวคลื่น ตั้งแต่ 810 nm – 1,350 nm ถูกดูดซับโดย melanin มากที่สุด จึงทำให้เครื่องมือกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการขจัดขนได้ดีกว่าIPL แต่ถ้ารุ่นที่มีความยาวคลื่นที่น้อยกว่าNd:YAG  คลื่นก็อาจจะลงไปไม่ถึงรากขนดีเท่า

แต่สำหรับ Diode Laser ที่มีความยาวคลื่น 1,000 nm ขึ้นไปก็มีประสิทธิภาพในเรื่องกำจัดขนไม่ต่างจาก Nd: YAG เพราะพลังงานก็สามารถลงไปลึกถึงรากขนเช่นเดียวกันครับ

ต่อมาได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่เรียกว่าSoprano ICE โดยมีระบบความเย็นcooling touch มาช่วยป้องกันผิวหนังชั้นบนไม่ให้เกิดการไหม้ทำให้สามารถใช้กำจัดขนในคนผิวเข้มได้โดยไม่ต้องกลัวไหม้

และล่าสุดปีนี้2019 ได้มีการพัฒนาsoprano ICE Platinum มาใหม่ล่าสุดเพิ่มเทคโนโลยีให้ระบบวิ่งวนสะสมพลังงานลดความเจ็บต่างจากเลเซอร์ชนิดเดิมตอนทำจะรู้สึกสบายๆเหมือนมาทำสปา และใช้เวลาในการรักษาน้อยอีกด้วยด้วยการผสมผสาน ความยาวคลื่นถึง3 ระดับ คือ1064nm,755nm, 810 nmทำให้การกำจัดขนทำได้โดยไม่มีข้อจำกัดเลยค่ะ ไม่ว่าจะสีของเส้นขน ว่าสีเข้มหรือสีอ่อนผิวจะเข้มหรืออ่อน เส้นขนจะหนา หรือบาง เครื่อง Sopranon ICE Platinum ก็สามารถจับเส้นขน และทะลุทะลวงไปถึงรากขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สรุปว่า Soprano ICE Platinum ดีกว่าตัวอื่นๆยังไง

Laser กำจัดขนSoprano ICE Platinum นับเป็นเครื่องกำจัดขนที่มีเทคโนโลยีล่าสุดปี2019 ผสมผสานของคลื่นเลเซอร์ทั้งหมด3 ระดับเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการกำจัดขนที่ได้ผลดีที่สุดและมีผลถาวร

 

คลื่นพลังงานทั้ง3 ตัวจะทำงานแบบจำเพาะเจาะจง(Focus & Selective system) ไปจับกับรากขนเม็ดสีเมลานินในต่อมขนจะดูดซึมพลังงานจากเลเซอร์ก่อนที่ความร้อนจะกระจายออกไปเพื่อทำลายขนผ่านชั้นหนังกำพร้าไปสู่ชั้นหนังแท้โดยไม่ทำให้หนังกำพร้าเสียหายแม้แต่น้อยไม่ใช่การลอกหนังกำพร้าออกจึงทำให้ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษโดยไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงเห็นผลลัพธ์หลังการรักษาในทันทีและปลอดภัยสูงได้รับการรับรองมาตรฐานจากทั้งUS FDA และผ่านมาตรฐานการรับรองผลิตภัณฑ์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทยเรียบร้อย

 

พลังงานเลเซอร์ถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะเจาะจงกับเซลส์เม็ดสีในรากขนเมื่อเซลส์รากขนถูกทำลายขนก็จะหลุดไปและไม่ขึ้นใหม่แต่เนื่องจากเส้นขนแต่ละบริเวณมีลักษณะใหญ่เล็กแตกต่างกันสีขนสีผิวก็แตกต่างกันการทำซ้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การกำจัดขนถาวรหมดไปอย่างจริงๆ

 

สรุปว่า Soprano ICE Platinumไม่เจ็บ ไม่เป็นขนคุด หรือหนังไก่จริงหรือ

ความรู้สึกระหว่างกำจัดขนด้วยsoprano ICE Platinum จะรู้สึกอุ่นๆในบริเวณผิวหน้าแต่ถ้าเป็นผิวตัวแทบไม่รู้สึกใดๆไม่ต้องทายาชาแม้จะเป็นส่วนbikini ก็ยังสามารถทำได้เลยและไม่เจ็บไม่รู้สึกดีดบนผิวหนังเหมือนรุ่นก่อนๆข้อนี้กล้าท้าพิสูจน์เลยครับ ด้วยระบบ cooling touch เพิ่มความสบายให้ผิวส่วนบน ลดความแสบร้อนด้วยอุณหภูมิความเย็นบริเวณหัวยิงสูงปลอดภัยในคนผิวขาวผิวสองสีและผิวคล้ำแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นขนคุดรูขุมขนจะมีขนาดเล็กลงลดลักษณะผิวไม่เรียบเหมือนหนังไก่ ทำให้ผิวเรียบเนียน

 

เลเซอร์soprano ICE Platinum จะกำจัดขนถาวรได้มากน้อยแค่ไหน

เนื่องจากในแต่ละส่วนของร่างกายมีความหนาแน่นของรากขนไม่เท่ากันลักษณะขนไม่เหมือนกันโดยเฉลี่ยแล้วการทำเลเซอร์กำจัดขนในแต่ละครั้งจะทำให้รากขนในระยะเจริญถูกทำลายไปในปริมาณหนึ่งดังนั้นการกำจัดขนแต่ละครั้งจึงจะได้ผลประมาณ20-30% และอาจต้องทำเลเซอร์หลายครั้งเพื่อให้รากขนหมดไปทั้งหมดตามที่ต้องการ

 

จะต้องทำเลเซอร์กี่ครั้งขนบริเวณที่ทำถึงจะหมดไป และขนคุดดูดีขึ้น

อย่างที่บอกค่ะในแต่ละส่วนของร่างกายมีความหนาแน่นของรากขนไม่เท่ากันลักษณะขนก็ไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นจำนวนครั้งที่ทำก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่บริเวณค่ะโดยเฉลี่ยแล้วแนะนำให้ทำต่อเนื่องประมาณ4-6 ครั้ง

 

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนทำเลเซอร์

ภายใน1 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งที่จะเกิดผิวไหม้ได้ ไม่ควรถอนหรือแว็กซ์ขนให้โกนขนบริเวณที่จะทำการรักษาให้เหลือตอประมาณ1-2  mm เพื่อทำให้แสงเลเซอร์ลงไปสู่ผิวชั้นในได้ดีที่สุดทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ

 

ขั้นตอนการพักฟื้นหลังกำจัดขนด้วยเลเซอร์ใช้เวลานานหรือไม่

การทำเลเซอร์ไม่มีแผลจึงไม่ต้องพักฟื้นเลยค่ะบางเคสอาจมีรอยแดงแต่ก็จะหายไปใน 2-3 ชมสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติแต่หลังการทำผิวอาจแห้งควรบำรุงด้วยครีมที่มีส่วนผสมของmoisturizer ในบริเวณที่ทำมากขึ้นค่ะ

 

 

 

 

วิธีกำจัดขนบริเวณทั่วไป ที่นิยมในปัจจุบัน

1.ถอนเป็นวิธีดั้งเดิมโดยใช้อุปกรณ์ได้แก่แหนบคีมเส้นด้ายหรืออุปกรณ์ถอนขนชนิดต่างๆซึ่งได้รับความนิยมมีการรับจ้างถอนขนตามร้านค้าร้านเสริมสวยหรือรับจ้างตามบ้านก็มีข้อดีคือไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมายข้อเสียคือเจ็บหากทำเองอาจไม่ค่อยสะดวกหลังถอนอาจเกิดจุดแดงๆคันเจ็บเกิดการอักเสบที่รูขุมขนขนคุดจากการถอนผิดทิศทางหรือหากอุปกรณ์ถอนและวิธีถอนไม่สะอาดอาจเกิดการอักเสบหรือเป็นฝีได้

2.แว๊กซ์(Waxing) หลักการคล้ายการถอนขนเพียงแต่ใช้อุปกรณ์แว๊กซ์ขนซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบร้อนและแบบเย็นโดยการทาแล้วดึงแว๊กออกขนก็จะหลุดออกมาด้วยข้อเสียคือขนมักจะขึ้นใหม่เนื่องจากการแว๊กซ์เป็นแค่การดึงขนขึ้นมาไม่ได้ทำลายการสร้างขนส่วนข้อเสียก็เช่นเดียวกับการถอนขน หากบางร้านที่ไม่ได้มารตฐานอาจทำให้เกิดแผลได้ และเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือติดเชื้อตามมาครับ

3.ใช้สารเคมี(Depilation) เป็นการสลายเส้นขนให้กลายเป็นเจลแล้วเช็ดหรือล้างออกมักใช้สารไทโอไกลโคเลต(Thioglycolate) สลายส่วนประกอบของขนที่เป็นกำมะถัน(Disulfide Bond) นิยมใช้ในคนที่จะสวมชุดว่ายน้ำและในผู้ชายที่มีขนบริเวณใบหน้ามากข้อเสียคือมักทำให้ระคายเคืองผิวเจ็บแสบคันบางคนไวต่อสารเคมีมากหลังทำผิวจะมีสีคล้ำและเนื่องจากวิธีนี้ไม่ทำลายการสร้างขนขนมักจะขึ้นใหม่ภายในสองสัปดาห์

4.โกนวิธีนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะง่ายที่สุดทั้งยังมีอุปกรณ์สำหรับโกนชนิดใหม่ๆให้เลือกมากมายเช่นมีดโกนเครื่องโกนไฟฟ้าข้อดีคือการโกนไม่ทำให้ขนหนาขึ้นกว่าเดิมสะดวกประหยัดข้อเสียคือขนขึ้นเร็วเช่นหากโกนหนวดในบางรายต้องโกนวันละ2 ครั้งและอาจบาดเจ็บหลังโกนเพราะถูกมีดโกนบาดบางรายก็อาจบาดเจ็บจากการโกนขนที่อวัยวะเพศจนต้องเข้าห้องฉุกเฉินส่วนบางคนแพ้ครีมหรือมูสสำหรับโกนจึงเกิดการอักเสบเป็นสิวหลังโกนติดเชื้อจากแผลที่เกิดจากรอยบาดได้เช่นกันครับ

5.ฟอกสีแม้จะไม่ใช่วิธีกำจัดขนให้หายไปแต่การฟอกขนให้มีสีอ่อนทำให้มองไม่เห็นขนสารที่ใช้ฟอกมักจะประกอบไปด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และกำมะถันข้อเสียคืออาจระคายเคืองคันผิวผิวบริเวณที่มีขนที่ย้อมจะดูซีดจางไปด้วย

6. เลเซอร์กำจัดขน วิธีนี้เป็นการใช้แสงและความร้อนทำลายถึงเซลล์สร้างขนจึงเป็นการกำจัดขนอย่างถาวรจากงานวิจัยพบว่าการทำเลเซอร์กำจัดขนเพียงครั้งเดียวจะทำให้ขนงอกน้อยกว่าเดิมประมาณ 30% หากทำเลเซอร์กำจัดขนหลายครั้งส่วนใหญ่ขนมักไม่ขึ้นถาวร ซึ่งนับว่าเป็นทางเลือก ที่เหมาะสม น่าสนใจและแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดที่สุด เพราะเลเซอร์จะทำงานตรงไปที่รากขน แบบเฉพาะเจาะจง โดยเลเซอร์ที่ใช้จะมีผลในการทำลายเฉพาะรากขนไม่ให้สร้างขนใหม่ขึ้นมาอีกและทำให้บริเวณที่ใช้เลเซอร์กำจัดขนดูเรียบเนียนมากขึ้น

 

จะเห็นว่าการกำจัดขนด้วยการยิงเลเซอร์ เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย เป็นการกำจัดขนถาวร ที่ขนจะไม่ขึ้นอีกเมื่อทำซ้ำนะครับ และปัจจุบันราคาไม่แพงด้วยครับ เพราะฉะนั้นหมอแนะนำวิธีนี้ เผื่อใครกำลังมีความคิดอยากกำจัดขนถาวรครับ

 

บทความอื่นที่คุณอาจสนใจ

 

 

การปลูกผม FUE ไม่ยากตอนเริ่มทำนะครับ

ส่วนที่ยากคือ 72 ชั่วโมง หลังการปลูกถ่าย ที่คุณต้องปฎิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เพราะเส้นผมจะปลูกถ่ายสำเร็จหรือไม่ ขึ้นกัยช่วงการดูแลนี้ด้วยเช่นกันครับ

การปลูกผม FUE เป็นการรักษาที่ละเอียดอ่อนมาก ท่านควรปฎิบัติตนตามแพทย์สั่ง อย่างเคร่งครัด

  1. บริเวณที่ปลูกผม และบริเวณที่ย้ายรากผมจะถูกปิดด้วยผ้าพันแผลไว้ ไม่ควรแกะออกทันที ท่านสามารถถอดออกได้ในวันรุ่งขึ้น
  2. ควรคลุมผ้าหรือสวมหมวกทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง และควรหลีกเลี่ยงแดด
  3. ครีมบำรุงผม ควรทาบริเวณที่ย้ายรากผม 3 ครั้งต่อวัน ควรทาติดต่อกันอย่างน้อย 1 อาทิตย์
  4. Betosone ยาตัวนี้ เป็น antibiotic สามารถใช้ได้หากมีอาการแดง หรืออักเสบ บริเวณที่ปลูกผม
  5. Clindamycin gel ยาตัวนี้สามารถช่วยลด ผด สิวที่อาจเกิดขึ้น
  6. ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 48 ชัวโมง หลังการรักษาเพราะอาจทำให้เลือดออกบริเวณที่ปลูกผมได้
  7. ควรงด aspirin, motrin, NSAID 2 วันหลังการรักษา
  8. ไม่ควรก้มศรีษะ เพื่อหยิบสิ่งของ ควรใช้การย่อเข่าลงไปจะดีกว่า
  9. ควรนอนหงาย โดยใช้หมอนรองให้ศรีษะสูงขึ้น และใช้ผ้าเช็ดตัวม้วน วางใต้คอ เพื่อความสบาย พยายามอย่านอนตะแคง เพราะกราฟที่ปลูกอาจได้รับความเสียหายได้
  10. หลังการปลูกผม FUE ห้ามท่านออกกำลังกายใน7 วันแรก หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่อาจทำให้เกิดเหงื่อ หลังจากนั้นสามารถออกกำลังกายแบบเบาๆได้ และหลังจาก 14 วันท่านจึงสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ
  11. ห้ามว่ายน้ำอย่างน้อย 3 อาทิตย์หลังการปลูกผม FUE
  12. ห้ามใส่หมวกกันน๊อคอย่างน้อย 2 อาทิตย์ หลังการปลูกผม FUE

 

การดูแลผมบริเวณที่ปลูก

  1. ผมที่ปลูกจะสระได้หลัง 24-48 ชั่วโมง หลังการรักษา
  2. ควรสระด้วยน้ำที่อุณหภูมิห้อง ไม่ควรใช้ฝักบัว ควรรินน้ำจากภาชนะเพื่อไม่ให้ความแรงของน้ำมากจนเกินไป
  3. นวดแชมพูบนฝ่ามือของคุณก่อน แล้วค่อยๆ ลูบแชมพูเบาๆ บนศรีษะ (อย่าถู) ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที
  4. ล้างน้ำเปล่าอย่างเบาที่สุด แล้วใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกอย่างเบามือ ไม่แน่นำให้ใช้ไดร์เป่าผม
  5. สามารถสระผมในลักษณะนี้ได้ทุกวัน หลังจาก 7 วันสามารถเริ่มถูบริเวณที่ปลูกได้เบาๆ เพื่อช่วยกำจัดคราบสกปรก
  6. หลัง 15 วันสามารถสระผมได้ตามปกติ

 

บทความอื่นๆ ที่ท่านอาจสนใจ

การเตรียมตัว ก่อนการปลูกผมFUE

แน่นอนว่าเส้นผม เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับบุคลิกภาพของทุกคน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การมีผมหนาดกดำ ดูดีกว่าผมบางนะครับ ไม่เชื่อหมอ ก็ลองดูจากรูปของซีเลปเหล่านี้นะครับ ^^

 

ที่สำคัญคือเส้นผมที่นำมาปลูกถ่าย จะไม่มีทางหลุดร่วงอีกตลอดไป หมอเน้นว่าตลอดไปนะครับ เพราะมันมาจากแหล่งกำเนิดที่ไม่มีผลต่อฮอร์โมน เพราะฉะนั้นไม่ว่าท่านจะอายุมากขึ้น ไม่ว่าฮอร์โมนจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม เส้นผมที่ปลูกถ่ายจะยังเติบโตได้เหมือนเดิมครับ

และเมื่อท่านตัดสินใจว่าจะทำการปลูกถ่ายเส้นผมแล้ว แนะนำให้เตรียมตัวก่อนการทำดังนี้ครับ

ก่อนการเข้ารับการรักษา 2 สัปดาห์

  • ควรงดยา minoxidill หรือ Rogaine แอสไพริน หรือยาแก้อักเสบที่มีแอสไพริน งดวิตามินอี งดน้ำมันปลา และยาทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด สำหรับยาประจำตัวอื่นๆ สามารถทานได้ตามปกติ
  • หากท่านทานยาความดันโลหิตสูง โปรดแจ้งให้แพทย์ของท่านไม่ใช้ Beta blocker ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนการรักษา
  • ควรหยุดใช้น้ำมันแต่งผม น้ำยาดัดผม น้ำยาย้อมผม น้ำยายืดผม น้ำยาโกรกผม หรือสารเคมีแปลกๆ ก่อนการปลูกผม  อย่างน้อย 2 อาทิตย์
  • ท่านต้องทำสีผม ควรทำก่อนการรักษาอย่างน้อย 2 week เนื่องจากหลังการปลูกผม FUE ท่านไม่สามารถทำสีผมได้ อย่างน้อย 1 เดือน
  • ถ้าสามารถตัดผมสั้นได้ให้ตัดทันที เพื่อลดปริมาณสารเคมีที่ติดอยู่กับเส้นผมให้เหลือปริมาณน้อยที่สุด

ก่อนการรักษา 1 วัน

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  • แนะนำให้มีเพื่อน หรือคนมารับหลังการรักษา ไม่ควรขับรถเอง เพราะท่านต้องทานยาแก้อักเสบ และอาจมีอาการมึน หรือง่วง
  • ยืนยันนัดหมายของท่าน
  • สระผมด้วยแชมพูฆ่าเชื้อที่ได้รับจากคลินิก 1 คืนก่อนการรักษา

ในวันนัดทำ FUE

  • สระผมโดยใช้แชมพูฆ่าเชื้อที่ได้รับจากคลินิกอย่างน้อย 5 นาที
  • สวมเสื้อและกางเกง หรือกระโปรงที่สวมสบายไม่แน่นหรือรัดรูปเกินไป
  • ควรนำหมวกหรือผ้าคลุมผมเผื่อมากับคุณด้วย (ผ้าคลุมของคลินิกอาจไม่ถูกใจครับ)
  • สามารถทานอาหารเช้าเบาๆ แต่ไม่ควรดื่มชาและกาแฟ
  • ไม่ควรขับรถไปที่คลินิกในวันที่ทำการผ่าตัด
  • อย่านำสิ่งของมีค่าไปที่คลินิก
  • คลินิกอาจจะโกนผมของท่านอีกครั้งเผื่อความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม ปกติการนัดปลูกผมไม่สามารถนัดปุ๊ปปั๊ปครับ เพราะการทำงานแต่ละครั้งเราใช้เวลาต่อเคส ค่อนข้างนาน บางเคส 2-3 วัน กรณีปลูกจำนวนกราฟเกิน 3,000 กราฟ

เพราะฉะนั้นอาจต้องเผื่อระยะเวลาสักหน่อย โดยปกติ time line จะประมาณนี้ครับ

  • Day 1 ปรึกษาคุณหมอตรวจเลือด และนัดวัดเข้ารับการปลูกถ่ายผม
  • Day 2 เตรียมสระผม และหนังศีรษะเพื่อปลูกถ่าย
  • Day 2 เข้ารับการปลูกผม (เริ่มเวลา 9:00 – 20:00)
  • Day 3 วันรุ่งขึ้นต้องเข้ามาสระผม และ follow up กับคุณหมอ เพื่อดูแผลหลังการทำทรีทเม้นต์

รณีที่ ยืนยันเข้ารับการปลูกผม FUE ทางคลินิกรบกวนทำมัดจำ 10,000 บาท เพื่อล๊อควันทำ FUE

  • หากไม่ show up ในวันที่นัด คลินิกขออนุญาติไม่คืนเงินมัดจำของท่าน
  • หากมีกรณีฉุกเฉิน ไม่สามารถมาตามนัดได้ สามารถเลื่อนนัดได้ 2 ครั้ง (แจ้งล่วงหน้า 15 วัน)
  • หากผลตรวจเลือดไม่ผ่าน ทางคลินิกยินดีคืนเงินเต็มจำนวนทันที

หากสนใจสามารถติดต่อนัดหมาย เพื่อพบแพทย์ได้เลยที่ หมายเลข 02-7122334 หรือ 089-6979151 ครับ

ทำไมต้องปลูกถ่ายผมที่ The Face

  1. คุณหมอดูแลเอง ทุกเคส ทุกขั้นตอน
  2. เทคนิคที่เราใช้ เป็นเทคโนโลยีล่าสุด เพิ่มความแม่นยำในการปัก ทำให้เพิ่มเปอร์เซ็นต์ success rateผมที่งอกมากขึ้น ใช้เวลาน้อยลง เจ็บน้อยลง
  3. ให้ความสำคัญในเรื่องเล็กน้อย ด้วยหลักการ First out – First in ทำให้เราลดเวลาในการย้ายกราฟผม ทำให้รากผมยังมีความแข็งแรงมากที่สุด โดยปกติจะอยู่ที่ 2-3 ชม ขึ้นกับปริมาณรากผม
  4. เราเก็บแบ่งผมที่ย้ายรากมาไว้ในภาชนะ พิเศษที่มีอุณหภูมิ และสารซึ่งมีคุณสมบัติในเซลล์เลียนแบบของเหลวในร่างกายมากที่สุด เพื่อยืดอายุของเซลล์ผม เวลาอยู่นอกร่างกาย พร้อมลดการตอบสนองต่อความเครียดของเซลล์
  5. ผู้ช่วยที่มีความชำนาญ ปักมาแล้วมากกว่า 7,000 เคส

 

บทความอื่นๆ ที่ท่านอาจสนใจ

 

 

การปลูกผมแบบ FUE ต้องโกนผมเท่านั้น

ไม่จริงครับ  เราสามารถปลูกผม FUE ได้โดยไม่ต้องโกนผม แต่แน่นอนการทำงานของหมอจะยากขึ้น โอกาสการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นนิดหน่อย และราคาแพงขึ้น เวลาที่ใช้นานขึ้น

แต่ผลที่ได้ คือความสวยงาม เพราะแทบมองไม่ออกว่าปลูกถ่ายเส้นผม โดยส่วนใหญ่หมอจะแนะนำกับคุณผู้หญิงมากกว่าครับ แต่ข้อจำกัดคือสามารถทำได้แค่ครั้งละ 500 – 1,000 กราฟ เท่านั้นครับ เพราะฉะนั้นถึงเป็นคุณผู้หญิงแต่ถ้ามีปัญหาผมน้อยจริงๆ หมอก็แนะนำแบบโกนอยู่ดีครับ อาจจะดูไม่ค่อยสวย แต่ผลลัพธ์

 

ถ้าเคยทำ FUT มาก่อน ไม่สามารถปลูกแบบ FUE ได้อีกแล้ว

ไม่จริงครับ เราสามารถทำการปลูกผม FUE ได้ แม้ผู้ที่เคยทำ FUT มาแล้ว และผลลัพธ์ก็ออกมาดีด้วยครับ เคสนี้เคยปลูก แบบ FUT มาแล้ว และมาทำเพิ่ม แบบ FUE อีกรอบครับ

 

ถ้ามีแผลเป็น ทำปลูกผมไม่ได้

ปลูกได้ครับ สามารถปลูกทับบริเวณรอยแผลเป็นได้เลย และทำให้รอยแผลเป็นที่เห็นชัด จางลงด้วยครับ เคสที่เป็นแผลเป็น ผลออกมาดีเลยครับ

 

อายุเยอะเกิน 60 ปี แล้วปลูกผมจะไม่เห็นผล

ไม่จริงครับ ปกติฮอร์โมนของเราทำงานตลอดเวลา แน่นอนว่าเซลล์ทุกเซลล์จะทำได้ดีเมื่ออายุเรายังน้อยๆ และนั่นคืออีกเหตุผลที่ทำให้เราผมร่วง ผมบาง หรือศรีษะล้าน แต่การปลูกผมนั้นเราย้ายรากมาจากท้ายทอยซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีผลกับฮอร์โมนแม้แต่น้อยเลยครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าอายุเยอะแล้วจะทำ FUE ไม่ได้ ไม่จริงครับ สามารถทำได้และให้ผลตามมาตรฐานด้วยครับ ข้อจำกัดเดียวที่อยากแนะนำคือผมที่ท้ายทอย ควรมีขนาดใหญ่ และปริมาณความหนาแน่นในระดับนึงครับ

 

ผมมันเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงผมบางได้หรือไม่?

ใช่ครับ ผมมันหรือหนังศีรษะมัน เป็นของคู่กัน คนที่มีหนังศีรษะมัน มักจะมีอาการผมร่วงด้วย แต่คนที่ผมร่วงบางคนไม่มีปัญหาหนังศีรษะมัน นั่นแสดงว่า คนที่มีหนังศีรษะมันมากมีแนวโน้มที่จะมีผมบางศีรษะล้านสูงกว่าคนปกติ การรักษาผมร่วงในกรณีนี้จำเป็นต้องรักษาภาวะหนังศีรษะมันให้ได้ก่อน เพราะว่าผมที่เกิดขึ้นใหม่ที่เป็นขนอ่อนจะหลุดร่วงได้ง่ายมากเมื่อมีหนังศีรษะมัน ซึ่งเชื่อว่าไขมันที่ถูกสร้างจากต่อมไขมันบริเวณรากผมจะจับตัวกันจนแข็งเกรอะไปเบียดเอาเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงรากผมทำให้ขาดเลือด รากผมจึงไม่แข็งแรงครับ

 

ผมร่วงและบางจากกรรมพันธุ์เกิดได้แต่ในผู้ชายใช่หรือไม่

ไม่ใช่ ผมร่วง ผมบางจากสาเหตุกรรมพันธุ์ สามารถเกิดได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่ในผู้ชายจะพบมากกว่า ประมาณ ร้อยละ 90 ในผู้ชายมีส่าเหตุมาจาเรื่องของยีนที่ถ่ายทอดมาจากทั้งพ่อและแม่ก็ได้)

 

คนที่เป็นผมร่วงและบางจากกรรมพันธุ์ต้องมีพ่อแม่ ผมบางและศีรษะล้านให้เห็นเสมอ ใช่หรือไม่

ไม่จำเป็นต้องมีพ่อหรือแม่ แสดงผมบางศีรษะล้านให้เห็น ไม่จำเป็นต้องมีพี่น้องเป็นผมร่วงผมบางแสดงให้เห็น เพราะเชื่อว่ายีนนี้เป็นยีนแฝงที่ถ่ายทอดมาจากทั้งพ่อและแม่ก็ได้ บางคนได้รับยีนมา แต่ไม่มีอาการผมบาง ศีรษะล้านแสดงออก เพราะยังมีปัจจัยองค์ประกอบอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น อายุ สภาพแวดล้อม ภาวะโภชนาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน นิสัยส่วนตัวในการใช้สารเคมีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความเครียด การออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ หรือโรคภัยประจำตัวที่ต้องกินยาบางอย่างประจำ ต่างๆ เหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้อาการ ศีรษะล้าน

 

ผมร่วงผมบางจากกรรมพันธุ์ ไม่มีวิธีรักษาใช่หรือไม่

จะพูดว่าไม่มีวิธีรักษาเลยก็เห็นจะไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าการรักษาที่ยอมรับว่าได้ผลและถาวร มีวิธีเดียว คือ การปลูกถ่ายย้ายเซลล์รากผม หรือ ศัลยกรรมปลูกผม (Hair Transplantation) แต่ไม่ใช่ทุกรายที่จะปลูกผมวิธีนี้ได้ มันมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนเส้นผมที่จะย้ายมาปลูก ร่วมกับปริมาณเส้นผมในตำแหน่งท้ายทอย ที่จะนำมาปลูกว่ามี่ปริมาณอยู่เพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้แล้วพื้นที่บนหนังศีรษะที่มีปัญหาจะเหมาะหรือไม่อันนี้ต้องให้หมอศัลยกรรมปลูกผมเป็นคนประเมิน และความจริงอีกอย่างคือการรักษาวิธีนี้ค่าใช้จ่ายมันสูงมาก บางคนหมดไปหลายแสนบาทก็มี

ยิ่งปัจจุบันมีเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบไม่มีแผลผ่าตัดตรงท้ายทอย (FUE – Follicular Unit Extraction) ด้วยราคาค่าทำศัลยกรรมปลูกผมถาวรจะสูงขึ้นหลายเท่า

คนที่ผมร่วงและบางจากกรรมพันธุ์ต้องมีพ่อแม่ ผมบางและศีรษะล้านให้เห็นเสมอ ใช่หรือไม่

ไม่จำเป็นต้องมีพ่อหรือแม่ แสดงผมบางศีรษะล้านให้เห็น ไม่จำเป็นต้องมีพี่น้องเป็นผมร่วงผมบางแสดงให้เห็น เพราะเชื่อว่ายีนนี้เป็นยีนแฝงที่ถ่ายทอดมาจากทั้งพ่อและแม่ก็ได้ บางคนได้รับยีนมา แต่ไม่มีอาการผมบาง ศีรษะล้านแสดงออก เพราะยังมีปัจจัยองค์ประกอบอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น อายุ สภาพแวดล้อม ภาวะโภชนาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน นิสัยส่วนตัวในการใช้สารเคมีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความเครียด การออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ หรือโรคภัยประจำตัวที่ต้องกินยาบางอย่างประจำ ต่างๆ เหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้อาการ ศีรษะล้าน

 

ถ้ามีปัญหาผมร่วงผมบางจากกรรมพันธุ์แล้วไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น

ต้องทำความเข้าใจมากๆตรงนี้ว่า ผมร่วง ผมบาง จากกรรมพันธุ์ ไม่มีอันตรายใดๆในเรื่องทางกาย ไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ หากมีความวิตกกังวลในเรื่องบุคลิกภาพ กังวล ไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อนั้นจึงเป็นปัญหา หากตัดสินใจจะรักษาด้วยวิธีใดๆ ต้องยอมรับว่าแต่ละวิธีมีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป และต้องยอมรับว่าถ้าไม่ใช้ วิธีศัลยกรรมปลูกผม แล้ว ทุกวิธีล้วนแต่เป็นการประคองแบบชั่วคราว ไม่มีวิธีใดเป็นการรักษาให้หายขาดแบบถาวร ถ้ายอมรับสภาพได้ ไม่มีความกังวลกับเรื่องบุคลิกและรูปลักษณ์ภายนอก ก็ไม่ต้องรักษา ปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องภาวะผมร่วงผมบางก็จะดำเนินต่อไปเหมือนเข็มนาฬิกา ส่วนจะล้านเร็วล้านช้าอย่างไร มันเป็นปัจจัยแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันครับ

 

บทความอื่นๆ ที่ท่านอาจสนใจ

  • การปลูกถ่ายผม FUE
  • การเตรียมตัวก่อนการปลูกผม
  • Promotion ปลูกถ่ายเส้นผม
  • ขั้นตอนการปฎิบัติตน หลังการปลูกผม FUE
  • our professional Team การปลูกผม FUE