เรื่องของความสวยความงาม เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสาวๆมานานแสนนาน เราให้ความสำคัญกับการดูแลรูปร่างหน้าตาของตัวเองเป็นอันดับแรกๆ ในทุกช่วงวัยจริงไหมคะ และสาวๆที่รักสวยรักงามในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป จะเริ่มเผชิญกับปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ซึ่งจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนมากในช่วงวัยนี้ ใครที่รำคาญใจกับริ้วรอยเหล่านั้น ก็ต้องเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น จนต้องประโคมครีมลดรอยเหี่ยวย่น ลดริ้วรอยกันซะยกใหญ่ และครีมพวกนี้มักจะมีราคาแพง และใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ จึงเป็นที่มาของการอยากสวยทางลัดด้วย “การฉีดสารเติมเต็ม” อย่างที่เราคุ้นหูกันในชื่อว่า “ฟิลเลอร์” นั่นเอง

หลายๆคนเข้าใจผิด คิดว่าฟิลเลอร์และซิลิโคนเหลวเหมือนกัน

หลายๆคนเข้าใจผิด คิดว่าฟิลเลอร์และซิลิโคนเหลวเหมือนกัน ความจริงแล้วทั้งฟิลเลอร์และซิลิโคนเหลว ถูกจัดให้เป็นสารเติมเต็มเหมือนกันก็จริง แต่เป็นคนละชนิดกัน ฟิลเลอร์ จะเป็นสารสังเคราะห์ประเภทหนึ่ง ที่สามารถนำมาฉีดเติมเต็มเนื้อเยื่ออ่อนของมนุษย์ได้ ใช้เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของร่างกาย แต่ซิลิโคนเหลว ก็เป็นฟิลเลอร์ชนิดหนึ่ง แต่เป็นสารสังเคราะห์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย ได้พบว่าซิลิโคนเหลวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนมานานมาก แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดสารเหล่านี้ให้หมดไป สารเติมเต็มที่ องค์การอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย อนุญาตให้นำมาใช้ทำฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มได้คือสาร Hyaluroic acid หรือ Hya (ไฮย่า) เพราะเป็นสารที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

คุณสมบัติของฟิลเลอร์

คุณสมบัติของฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย หรือบกพร่อง แก้ปัญหาร่องลึก ริ้วรอยบริเวณใบหน้าหรือปรับแก้รูปทรงของใบหน้า ข้อดีของฟิลเลอร์คือจะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เป็นอันตราย หากได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สามารถย่อยสลายไปได้ตามกระบวนการทำงานของร่างกาย ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี หรือมากกว่า ขึ้นกับการใช้ชีวิต และชนิดของฟิลเลอร์

คุณสมบัติของซิลิโคนเหลว

คุณสมบัติของซิลิโคนเหลว ซิลิโคนเหลวเป็นสารเติมเต็มเช่นกัน ซึ่งเคยเป็นที่นิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ด้วยปัญหาที่ตามมาของการฉีดซิลิโคนเหลว ทำให้ความนิยมค่อยๆลดลงไป การฉีดซิลิโคนเหลวในระยะแรก จะเห็นผลทันที ผิวหน้าจะเต่งตึงแลดูอ่อนเยาว์ และมีราคาที่ถูก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดสารซิลิโคนเหลวเข้าไปแล้ว ซิลิโคนเหลวสามารถไหลย้อนกลับ ทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ในร่างกาย ทำให้การผิวหนังห้อยย้อย หรือผิวตึงเกินไป ทำให้ผิวดูขรุขระไม่สวยงาม และที่สำคัญคือ ซิลิโคนเหลวไม่สามารถสลายออกจากร่างกายไปได้ จะต้องทำการผ่าตัดให้แพทย์ขูดออกเท่านั้น

ดังนั้น หากไม่อยากตกเป็นเหยื่อจากปังอาจกลายเป็นพัง และผลเสียอีกมากมายที่เกิดต่อกายและใจ ควรจะต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะไปใช้บริการสถานเสริมความงาม ที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัย และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพื่อความสวยแบบไม่เสี่ยงของคุณเอง

ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็น “ก้อน” จัดว่าเป็นปัญหาหลักๆของการฉีดฟิลเลอร์เลยนะคะ หลายๆคลินิก มีการโปรโมทมากมายถึงสรรพคุณ บางคลินิกโอ้อวดเกินความจริง แต่มีเคสที่เสียหายจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหลุดออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เรามาดูกันค่ะ ว่าทำไมบางคลินิกถึงฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนใต้ผิวหนัง

การฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน มีหลายสาเหตุ

  1. เลือกใช้ชนิดฟิลเลอร์ที่ไม่ตรงกับตำแหน่งที่ฉีด เช่น ใช้ฟิลเลอร์ที่มีความแข็งและเหนียวค่อนข้างมาก นำมาใช้ฉีดบริเวณใต้ตา ฟิลเลอร์จึงจับตัวเป็นก้อนแข็ง
  2. การฉีดไม่ตรงกับตำแหน่งที่มีปัญหา เช่น ฉีดริ้วรอยลึกเกินไป หรือฉีดเติมร่องลึกที่ตื้นเกินไป
  3. แพทย์ที่ฉีดให้ ไม่มีความชำนาญทางด้านการฉีดฟิลเลอร์
  4. ใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

ฟิลเลอร์ จะให้ผลลัพธ์หลังฉีดทันที วิธีการที่ง่ายที่สุด ในการเทสผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองนั่นคือ การลองขยับกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ตึงที่สุด อาจจะลองยิ้มถ้าหากคุณฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หรือยกคิ้วขึ้นหากฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผาก ถ้าฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ จะเห็นเป็นก้อนๆอยู่ใต้ผิวหนัง ให้รีบแจ้งแพทย์ เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที เพราะหากปล่อยให้ฟิลเลอร์ยังเป็นก้อน อาจจะต้องมาฉีดสลายในภายหลัง เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา กว่าจะสวยนี่ก็ลำบากไปเยอะเลยค่ะ

แต่ในกรณีที่ฉีดแล้วเป็นก้อนจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นก้อนใหญ่มาก ให้รอดูผลหลังฉีดประมาณ 3 วัน เพราะบางทีอาจจะเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดหลังจากฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะมีอาการบวมเฉยๆ เดี๋ยวจะหายบวมไปเอง อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ฟิลเลอร์จะค่อยๆผสานรวมตัวกันกับเนื้อเยื่อของเรา ก้อนจะค่อยๆคลายไปเองค่ะ ไม่ต้องไปสัมผัสหรือนวดคลึงผิวหนังแต่อย่างใด

ข้อดีของฟิลเลอร์มีเยอะมาก แต่ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาเท่านั้น พร้อมทั้งสถานบริการที่ปลอดภัย ไม่อย่างนั้น อาจจะต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาเพื่อรักษาความพังจากฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อยากสวยแบบไม่เจ็บตัวบ่อย ควรศึกษาข้อมูลให้มากๆนะคะ

เราคงได้ยินเรื่องร้อยไหม กันมาเยอะมากๆ และบางคนก็ร้อยไหมมาแล้ว แทบทุกชนิด แต่วันนี้หมออยากแนะนำการร้อยไหมอีกประเภทครับ เป็นไหมชนิดพิเศษ ที่ไม่ละลาย ไหมชนิดนี้มีความพิเศษก็ตรงที่ มันไม่ละลาย!! นี่แหละครับ ทำให้ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่ไม่กระชับ หย่อนคล้อย ให้กลับมายก เต่งตึง เข้ารูป รวมทั้งสามารถปรับโครงหน้า ได้ดีขึ้น อยู่นานขึ้นครับ

นอกจากข้อดีข้างต้นแล้ว เจ้าไหมสปริงลิฟ นี้ก็ยังกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหมเช่นกันครับ โดยปกติจะเห็นผลครั้งแรกหลังทำ และภายใน 1- 2 อาทิตย์ และเห็นผลได้ชัดเจนขึ้นในอีก จนกระทั่งเดือนที่ 3 โดยผลจะ stable และจะอยู่ได้นานเกือบ 5 ปี ทีเดียวครับ

ไหมสปริงลิฟ (SPRING THREAD LIFING) กับไหมอื่นๆ มีอยู่กี่ชนิด อะไรบ้าง

    1. Gold Thread
      หรือไหมทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ขนาดประมาณเส้นผม ซึ่งเป็นไหมที่ไม่ละลาย โดยทองคำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น และมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ แต่เพราะด้ายทองไม่มีปมหรือแง่งใดๆ จึงไม่มีผลในแง่ของ Mechanic Lifting มากนัก จึงต้องรอผลจากการกระตุ้นของร่างกาย ให้ซ่อมแซมตัวเอง จะเริ่มเห็นผลเมื่อ 1 เดือนเป็นต้นไปครับ ข้อเสียของไหมทองคำ คือ ค่าใช้จ่ายสูงมาก หลังทำต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน หรือทำทรีทเมนต์ที่มีการนำพาความร้อน หรือไฟฟ้า เช่นเลเซอร์ ต่างๆ เนื่องจากทองเป็นโลหะที่นำความร้อนได้ดีที่สุด และไม่เหมาะในผู้ที่แพ้โลหะครับ
    2. Feather-Lift หรือ Aptos ® threads เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายได้ (monofilament material – “polypropylene”) ซึ่งมีลักษณะเป็นฟันปลา เป็นเงี่ยงๆ แหลมๆ และเป็นไหมชนิดที่ไม่ละลาย ปัจจุบันไม่นิยมแล้ว เพราะมักเกิดปัญหาในระยะยาว เช่น นานๆ ไปอาจมีแง่งไหมโผล่ออกจากผิว ต้องไปผ่าเอาออก และต้องใช้ประสบการณ์ของแพทย์สูงมาก
    3. PDO ไหม PDO เป็นไหมละลายชนิดเดียวกับไหมที่ใช้ในการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งปลอดภัย และร่างกายจะค่อยๆ กำจัดออกไปจนหมดภายในระยะเวลา 6 เดือนซึ่งแตกต่างจากไหมยกกระชับใบหน้าชนิดอื่นในสมัยก่อนครับ ปัจจุบันเราก็นำมาร้อยผิวหน้า และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง
    4. Spring Lifting หรือไหม PDO รุ่นใหม่มีความพิเศษมากขึ้น คือจะมีซิลิโคนลักษณะกลม พันอยู่รอบเส้นไหมทั้งเส้นบางครั้งจึงเรียกว่า “ไหมเกลียว” ซึ่งตัวซิลิโคนนี้จะทำหน้าที่ช่วยยกกระชับได้มากขึ้น เป็นไหมชนิดที่ไม่ละลายมีประสิทธิภาพในการเกาะเกี่ยวเนื้อเยื้อผิวมากขึ้น ยกกระชับมากขึ้น ดึงผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับได้มาก
    5. Fast Lifting คือไหม PDO รุ่นล่าสุดที่มีลักษณะของเงี่ยงคล้ายขอตกปลาอยู่ตลอดเส้น มักถูกเรียกว่า “ไหมเงี่ยง” เมื่อร้อยเส้นไหมไปที่ชั้นผิว ตัวเงี่ยงจะช่วยเกี่ยวรั้งเนื้อเยื่อผิวให้ยกกระชับขึ้นทันที หลังการร้อยจึงเห็นผลชัดเจนกว่าไหมแบบเส้นเรียบๆ
    6. Turbo Lifting หรือ Silhouette Soft Lifting  เป็นไหมละลายรุ่นล่าสุดที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน เส้นไหมที่ใช้ในโปรแกรม Turbo Lift จะมีความพิเศษมาก เพราะเป็นเส้นไหมที่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นเส้นไหมเย็บชนิดละลายผลิตจาก Polypropylene มัดเป็นปม และระหว่างปม จะมีกรวยรูปร่างคล้ายกรวยไอศรีม จึงนิยมเรียกอีกชื่อว่า “ไหมกรวย”ส่วนที่เป็นกรวยสามารถละลายได้เช่นเดียวกัน ผลิตจาก Lactide/Glycolide มีใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี ในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ (Biocompatibility) ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก โดยเส้นไหมละลาย และกรวยจะค่อยๆ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง
      นอกจากจะเห็นผลทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก ปัจจุบันจึงได้รับความนิยมเช่นกันครับ

  
รูปแสดงไหมแบบต่างๆ Spring Lift, Turbo Lift, Brab Lift

การร้อยไหมแบบ SPRING LIFT ของ THE FACE AESTHETIC เป็นอย่างไร

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดการร้อยไหม Spring Lift ของ The Face Aesthetic นั้น หมอจะพิจารณาปัญหาของคนไข้แต่ละท่าน และ design รูปหน้า โดยอาจแนะนำ ไหมหลากหลายแบบ เพื่อแก้ปัญหาในตรงจุดจริงๆ แต่จะเน้นไหมสปริง ตามแนวเนื้อเยื้อหลักๆ ครับ ตัว Spring Lift หมอจะใช้เทคนิคที่ร้อยให้ลึกขึ้นโดยเฉพาะเส้นบริเวณใต้ cheek bones เพื่อให้ยก tissue ได้ดีขึ้นครับ

การร้อยไหมสปริงมีความปลอดภัยแค่ไหน?

เส้นไหมจะถูกออกแบบมาให้มีลักษณะ มน กลม โค้ง ซึ่งตัดปัญหาการทิ่มทะลุผิวของเงี่ยง ไม่สร้างความเสียหายให้ผิวหนังรอบข้าง เส้นไหมผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว ไหมเป็น medical grade silicone ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในวงการแพทย์ และวงการศัลยกรรมอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน สำหรับการร้อยไหม Spring Lifting จะสามารถปรับแต่งการยกกระชับได้ โดยการปลดล๊อคเขี้ยวที่เกี่ยวเนื้อเยื่อให้คลายตัวภายใน 1 สัปดาห์ หลังการร้อยได้ครับ

เมื่อไรจึงจะเห็นผล และผลการรักษาอยู่ได้นานแค่ไหน?

สามารถเห็นผลทันทีหลังการร้อย และขณะที่ไหมอยู่ใต้ผิวหนัง จะกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Local microcirculation) มีผลให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม จึงเกิดการยกกระชับมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปผิวหน้าจะยิ่งดีขึ้นกระชับขึ้นเรื่อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ และได้ผลต่อเนื่องนานถึง 12 เดือน ผลการรักษาจะอยู่ได้นานกว่าไหมประเภทอื่น เนื่องจากเป็นไหมชนิดที่ไม่ละลาย แต่ก็ขึ้นกับพฤติกรรมของคนไข้ด้วยครับ แต่เฉลี่ยจะอยู่ที่ 3-5 ปี ครับ

ได้ยินมาว่าการร้อยไหม อาจทำให้เกิดพังผืดใต้ผิวหนัง และเป็นรอยแผลเป็นได้

จริงๆ แล้ว พังผืดใต้ผิวหนังก็คือแผลเป็นใต้ผิวหนังนั่นเอง ซึ่งก็เกิดจากการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง การร้อยไหมเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หรือก็คือการสร้างพังผืดใต้ผิวหนังในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้ผิวด้านนอกดูเปล่งปลั่ง ตึงกระชับเช่นเดียวกับวิธีอื่นๆ ครับ เพราะฉะนั้นหมอคิดว่ามันคือเรื่องปกติ แต่ถ้าในกรณีที่แพทย์ที่ทำไม่มีประสบการณ์หรือทำผิดวิธี เช่นร้อยไหมเข้าไปตื้นเกินไป หรือผิดจังหวะก็จะทำให้เกิดพังผืดที่ผิดชั้น อาจไปเกิดในบริเวณผิวหนังชั้นบนได้ ทำให้มองเห็นเป็นรอนๆ บนผิวด้านนอกเหมือนกับแผลเป็นครับ ตำแหน่งที่ต้องระวังก็จะเป็นแถว จมูก หรือหน้าผากครับ เพราะฉะนั้นการร้อยไหมในบริเวณเหล่านี้ ถ้าไม่จำเป็นก็เลี่ยงดีกว่าครับ หรือไม่คุณก็ต้องเลือกทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ที่มั่นใจเท่านั้นครับ

เตรียมตัวก่อนการร้อยไหมสปริง

เนื่องจากตัวไหมสปริงเป็นไหมไม่ละลาย ทำให้อาจจะต้องเตรียมตัวเยอะนิดนึงครับ โดยรวมๆ ตามนี้เลยครับ

  1. งดยาต้านการอักเสบ เช่นพวก แอสไพริน อาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือก อย่างน้อย 2 อาทิตย์ครับ
  2. อาหารเสริม กลุ่มวิตามินอี ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อิฟนิ่งพิมโรส พวกนี้อาจทำให้เลือดออกมากในระหว่างการร้อยไหมครับ ควรหยุดก่อน 3-5 วัน
  3. ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเรื่องโรคประจำตัวของคุณครับ เช่น เบาหว่าน โรคหัวใจ และยาที่แพ้ เช่น เพนนิซีลิน เป็นต้น
  4. ก่อนการร้อยต้องสระผมและหมักผมด้วย Chlorhexidine scrub shampoo จำนวน 2 รอบ (โดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผมหลังการสระ)ก่อนเข้ารับการร้อยไหมครับ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

 

รูปก่อน และหลังการร้อยไหมสปริง

หลังร้อยไหม ร่องแก้ตื้นขึ้น โครงหน้า และกรอบหน้าเรียวชัดขึ้น

   

หลังร้อยไหม แก้มยกขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น แฟตที่คาง และเหนียงยกกระชับขึ้น

 
หลังร้อยไหม รอยมุมปากจางลง กรอบหน้าชัด ได้รูปขึ้น


หลังร้อยไหม รูปหน้าโดยรวมยกกระชับขึ้น มีโครงหน้าชัดขึ้น

หลังร้อยไหม ผิวกระชับขึ้น ริ้วรอยข้างมุมปากหายไปทั้งหมด รอยร่องแก้มตื้นขึ้นชัดเจน

HIFU – Ultra Lift ที่สุดแห่งการยกกระชับ

นวัตกรรมยกกระชับแข่งขันกันรุนแรงมาก และเมื่อพูดถึงเรื่องการยกกระชับ อีกตัวที่เราจะลืมไม่ได้ คือ

HIFU ย่อมาจากภาษาอังกฤษ High Intensity Focus Ultrasound คือการนำคลื่นเสียงความถี่สูง ที่สามารถปล่อยคลื่นโดยโฟกัสเป็นจุดๆ ผ่านเนื้อเยื้อลงลึกถึงโครงสร้างเนื้อเยื่อชั้นลึก (SMAS) แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน จะทำให้เส้นใยผังผืดหดกลับ กระชับตึงขึ้น กระตุ้นการทำงานของไฟโบรบลาสต์เซลล์

 

ผลก็คือทำให้เกิดกระบวนการเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ของร่างกาย และจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนครับ

พูดให้เข้าใจมากขึ้นคือ คลื่นอัลตราซาวด์ที่ถูกโฟกัส การปล่อยพลังงานออกมาเฉพาะจุด และแต่ละจุดก็มีพลังงานสูงพอที่จะลงไปถึงเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก SMAS ได้ครับ ซึ่งหลักการ High Intensity Focus Ultrasound นับเป็นนวัตกรรมเดียวที่สามารถทำงานลงลึกถึงผิวหนัง ชั้นเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้าเลยครับ

ด้วยหลักการการส่งผ่านความร้อน HIFU นี้ ทำให้เกิดรอยหดตัวในชั้น SMAS ขนาดประมาณ 1 มม. คล้ายกับการเย็บเนื้อใต้ผิวหนัง ให้เป็นจุดห่างกัน1 มม. เรียงเป็นแนวต่อเนื่องแบบการเย็บ และละเอียดกว่าการร้อยไหม และที่สำคัญยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นๆ อีกใน 1-2 เดือน และเห็นผลอย่างชัดเจนต่อเนื่อง เป็นเวลาสองถึงสามเดือนขึ้นไป รวมถึงจะได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อทำซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี

 

สำหรับความร้อนที่ส่งผ่าน คลื่นจะเป็นอุณหภูมิที่ 65 – 70 องศา ซึ่งอยู่ในช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างคอลลาเจนของผิว

 

 

HIFU – ULTRA LIFT ส่งพลังงานลงลึก ถึง 3 ระดับ

การที่ Ultra Lift ส่งพลังงานคลื่นอัลตร้าซาวน์ลงลึกถึง 3 ชั้นผิวของใบหน้า ด้วยหัว Tip ที่แตกต่างกัน 3 ระดับ และอุณหภูมิที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณที่ทำ ด้วยหลักการนี้ ทำให้ทุกชั้นผิวที่ได้รับการส่งพลังงานจะถูกยกขึ้น พร้อมๆ กัน เปรียบเสมือนการศัลยกรรมดึงหน้า แบบไม่ต้องผ่าตัดเลยครับ

 

ภาพแสดงระยะของการลงลึกถึงชั้นผิวได้ 3 ระดับ

 

  •  ส่งพลังงานลงลึกระดับ 4.5 mm.  ไปยัง ชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ปรับโครงสร้างให้เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนบนเกิดการเรียงตัวในแนวเดียวกันให้ผิวยกกระชับขึ้น

  •  ส่งพลังงานลงลึกระดับ 1.5 mm.  ไปยัง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง (Superficial Dermis)  และ ระดับ 3.0 mm.  ไปยัง เนื้อเยื่อผิวหนังชั้นลึก (Deep Dermis) กระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน และ เส้นใยอีลาสติน เพื่อคงดุลยภาพของผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูผิวท่เสื่อมสภาพ ให้กลับสู่สภาพปกติ ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

 

 

 

Q : HIFU – ULTRA LIFT เหมาะกับใคร ?  สามารถรักษาปัญหาอะไรได้บ้าง?

A: เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวทุกคน ซึ่งทรีทเม้นต์ Ultra Lift สามารถรักษาปัญหาผิวได้ครอบคลุมตามนี้ครับ

  • ริ้วรอยใต้ตา หางตา
  • ริ้วรอยหน้าผาก
  • ปรับโครงหน้า
  • ปรับกรอบหน้า
  • ปรับหน้าเรียว
  • ยกคิ้ว
  • ยกหนังตา
  • ร่องแก้ม
  • มุมปาก
  • คางสองชั้น
  • รอยเหี่ยวย่น บริเวณลำคอ
  • เหนียง
  • ผิวหน้าที่ไม่กระชับ หย่อนคล้อย ไม่เรียบ
  • รูขุมขนไม่กระชับ

Q: ปัญหาพวกนั้น ก็ใช้วิธีอื่นได้ ทำไมต้อง HIFU ต่างจากเครื่องมืออื่นๆอย่างไร

A: แต่ละวิธีก็แตกต่างกันไปครับ ถ้าเทียบกับทรีทเม้นต์อื่นๆ แล้ว  HIFU ก็มีข้อดีหลายอย่าง

  • เพราะ HIFU ช่วยยกกระชับผิวได้ที่เนื้อเยื่อเหนือกล้ามเนื้อ (SMAS) ซึ่งเทคโนโลยีอื่น ๆ ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ ยกเว้นการทำศัลยกรรมเท่านั้นครับ
  • วิธีนี้ละเอียดกว่าร้อยไหม เพราะคลื่นอัลตราซาวน์ สามารถลงไปทำงาน ครอบคลุมพื้นผิวมากกว่า การร้อยไหม
  • ได้ผลการรักษาที่แน่นอนกว่า เพราะหมอสามารถกำหนดความลึกจากหัว tip แต่ละระดับได้อย่างแม่นยำ
  • การรักษาไม่เจ็บ อาจทาหรือไม่ทายาชาก็ได้ (แนะนำให้ทา เพื่อความสบายในขณะทำทรีทเม้นต์) ระหว่างทำไม่ทรมาน ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มีรอยแดง  ไม่บวม ไม่ช้ำ ไม่เกิดรอยแผล ไม่มีรอยไหม้ หลังรักษาสามารถทำกิจกรรมตามปกติได้เลย และแต่งหน้าได้เลยทันทีครับ
  • ปล่อยพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ลงลึก และ แผ่กว้าง ทำให้พลังงานถูกส่งลงสู่ผิวได้อย่างตรงจุด โดยมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน ที่เหมาะสมต่อบริเวณที่ทำ จึงไม่ทำลายของเนื้อเยื่อโดยรอบ
  • ผลการรักษาจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย ถ้าเทียบกับพวก Toxin หรือฟิลเลอร์ที่ผลการรักษาจะค่อยๆ ลดลง
  • สามารถรักษาร่วมกับทรีทเม้นต์ อื่นๆ ได้ เช่นผู้ที่เคยผ่านการฉีดฟิลเลอร์หรือการร้อยไหมมา ก็สามารถทำ HIFU ได้เช่นกัน เนื่องจากเทคโนโลยีชนิดนี้ จะส่งผลต่อเซลล์ผิวชั้นลึก ซึ่งเป็นคนละชั้นกับกลุ่ม ฟิลเลอร์ Toxin หรือพวกไหม เพียงแค่ควรเว้นระยะ 1-2 เดือน แล้วค่อยรักษาด้วย HIFU ก็จะยิ่งทำให้ใบหน้าดูกระชับ ได้รูปและช่วยเสริมให้เกิดการรักษาตัว ให้หายเร็วขึ้นครับ

 


รูปเปรียบเทียบพลังงานของทรีทเม้นต์แต่ละประเภท

 

Q:  ผลจากการรักษา HIFU – ULTRA LIFT ?

A:  ผลของการทำขึ้นกับสภาพโครงสร้างผิวและใบหน้าแต่ละคนด้วยครับ เพราะผลที่ได้คือการกระตุ้นการสร้าง collagen คุณจะเห็นผลจากการทำตั้งแต่ครั้งแรก ประมาณ 20% – 30% และจะค่อยๆ เห็นผลการรักษาเรื่อยๆ  เนื่องจากเนื้อเยื่อและคอลลาเจนใหม่ จะเกิดขึ้นสมบูรณ์หลัง 1-3 เดือน และจะเห็นผลอย่างชัดเจน อย่างต่อเนื่อง หลังการรักษาประมาณ 1-3 เดือน ผลการรักษาจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปีครับ

 

เพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้น และน่าพอใจมากที่สุด ควรทำซ้ำ ทุก 6 เดือน

** จากการสอบถามผู้ที่ใช้บริการจริง สำหรับทรีทเม้นต์ eyebrow lifting พบว่า 9 ใน 10 คนที่ได้รับการรักษา จะสามารถรับรู้ถึงผลการรักษาอย่างชัดเจนว่า คิ้วยกขึ้น ทำให้ดวงตาดูโตขึ้น เพิ่มความอ่อนเยาว์บนใบหน้า นอกจากนี้แล้วยังรู้สึกว่าผิวตึง รูขุมขนเล็กลง ผิวยกกระชับ เรียบเนียนขึ้นทั้งบริเวณหน้า และคอ โดยไม่ต้องทำศัลยกรรม

 

Q: HIFU ปลอดภัยหรือเปล่า ?

A:  เทคโนโลยีอัลตร้าซาวด์ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี และมีการใช้ HIFU โดยแพทย์ผิวหนัง ทั่วโลกมามากกว่า 3,000 ราย พบว่ามีความปลอดภัยสูง และเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพและผลการรักษาอย่างมาก ที่สำคัญตัวเครื่องผ่านการรับรองมาตรฐาน อย เรียบร้อยแล้ว

 

Q : ได้ยินมาว่าคลื่น ULTRASOUND ทำให้เกิดมะเร็ง

A : ไม่เกิดแน่นอน หลายคนคงสับสนเพราะจริงๆ คลื่นที่ทำอันตรายต่อผิวนั้นเป็นultraviolet ไม่ใช่ ultrasound และจริงๆ แล้วคลื่น ultrasound มีใช้มานานมากกว่า 50 ปี แล้ว และที่เรารู้จักกันดี คือใช้เพื่อตรวจครรภ์ เพราะฉะนั้นมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย ได้เลยครับ

Q : หยุดทำแล้วเหี่ยวเพิ่มเลยไหม

A : ไม่ครับ จริงๆ การดูแลผิวก็เหมือนการออกกำลังกาย ถ้าหยุด ร่างกายก็ยังแข็งแรงจากการออกกำลังกายที่ผ่านมา แล้วก็ค่อยๆ อ่อนแอลง เช่นเดียวกัน หลังการทำ  Ultra Liftแล้วภายใน 1 ปี ถ้าไม่ได้ทำซ้ำเลย ผิวก็จะเริ่มกระบวนการเสื่อมตามปกติของร่างกายครับ

Q : ควรทำช่วงอายุเท่าไร

A : เริ่มอายุเท่าไรก็ได้ครับ ถ้ารู้สึกผิวหย่อนคล้อยก็สามารถทำได้ครับ เพราะไม่มีอันตรายใดๆ  ถ้าจะให้ตอบว่าไม่ควรทำอายุเท่าไรจะง่ายกว่า หมอขอตอบว่าคือกลุ่มวัยรุ่น 18-28 อาจจะยังไม่ควรทำ Ultra Lift เพราะยังไม่มีปัญหาผิวที่แท้จริง ที่จริงแล้วกลุ่มนี้จะเห็นผลดีนะครับ เพราะผิวยังแข็งแรง แต่ที่ไม่แนะนำเพราะมักจะไม่พบปัญหาผิวอะไรชัดเจน ยังไม่เหี่ยว ยังไม่มีริ้วรอย ผลจากการรักษาก็เลยยังไม่เห็นชัดเจน อีกกลุ่มที่หมอไม่แนะนำเลยคือกลุ่มอายุ 50 ขึ้นไป เนื่องจากกลุ่มนี้ ผิวในชั้น SMAS จะไม่แข็งแรงแล้ว เมื่อทำทรีทเม้นต์ก็จะไม่เห็นผลเท่าที่ควรครับ เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ผิวมีปัญหา หย่อนคล้อยมากๆ แล้วค่อยมารักษานะครับ

แต่ช่วงอายุที่หมอแนะนำ และเป็นกลุ่มที่น่าจะเห็นผลการรักษาที่ดีมากคือ ช่วงอายุ 30-45 เพราะกลุ่มนี้ ผิวชั้น SMAS ยังมีความแข็งแรง ไม่หย่อนมากเกินไปครับ เมื่อทำทรีทเม้นต์ Ultra Lift แล้วผิวจะตอบสนองดีครับ

Q : ระยะเวลาในการรับบริการ ULTRA LIFT

A : 30 – 60 นาที โดยประมาณ ขึ้นกับบริเวณที่ทำ และปัญหาผิวของแต่ละท่านครับ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หมอแนะนำให้ทำปีละ 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างจากการทำครั้งแรกอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่ผิวได้รับการกระตุ้นให้เกิดการเรียงตัวของคอลลาเจน และ อีลาสตินใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

 

Q : หลังการทำจะรู้สึกอย่างไร

A : ผิวอาจจะเกิดอาการแห้ง หรือ ลอกบ้างเล็กน้อย ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ หลังการทำ Ultra Lift ควรดื่มน้ำมากๆ ทาครีมบำรุงให้ชุ่มชื้น และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปครับ

 

Q : ต้องดูแลผิวอย่างไร หลังการทำ ULTRA LIFT

A : ผิวอาจแดง หรือลอกบ้างเล็กน้อย หากมีอาการปวด ก็ทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ครับ
หลังทำ HIFU ควรเว้นการนวดหน้า หรือถูผิวหน้าแรงๆ
หลังการทำ HIFU ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ เพราะเป็นตัวการหลักที่ทำลาย คอลลาเจนครับ
หลักการทำ HIFU สามารถทำทรีทเม้นต์อื่นๆ ได้ทันทีครับ เช่น การฉีด toxin การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดเมโส เพราะมันอยู่คนละชั้นผิวครับ
แต่หลังการฉีด Toxin ฟิลเลอร์ หรือเมโส ให้เว้นการทำ HIFU ไปก่อนประมาณ 1 เดือนครับ เพราะ HIFU มีเรื่องความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้องอาจทำให้สารที่ฉีด สลายไปเร็วขึ้นครับ

Q : ใครที่ไม่เหมาะกับการทำ ULTRA LIFT

A : ผู้ที่เป็นสิวขั้นรุนแรง หรือสิวอักเสบเรื้อรัง ควรรักษาสิวให้หายก่อนครับ

 

 

รูปก่อนและหลังทำทรีทเม้นต์ Ultra Lift

 

ความจริงเกี่ยวกับสเต็มเซลล์บำบัด

Stem cell therapy

สเต็มเซลล์คืออะไร

เซลล์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยประมาณแล้ว คนเราจะมีเซลล์อยู่ถึง100 ล้านล้าน เซลล์ ประกอบเป็นอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเรา เซลล์เหล่านื้ทำหน้าที่ต่างกัน เพื่อให้ร่างกายทำงานอย่างเป็นระบบ เช่นการเต้นของหัวใจ การคิดในสมอง การกรองเลือดในไต หรือการทดแทนเซลล์ของผิวหลังจากที่แซลล์เก่าลอกออก  เป็นต้น

รูปแสดงเซลต่างๆ ในร่างกาย

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิด คืออะไร

เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์คือเซลล์ชนิดพิเศษ ที่พบในร่างกายของคนเรา โดยพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต สเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) มีศักยภาพ สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัด และสามารถเปลี่ยนแปลง ไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิด ในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ และเซลล์เม็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญในการทดแทน และซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย

ทำไมสเต็มเซลล์ถึงสำคัญสำหรับสุขภาพของคุณ

โดยปกติแล้ว เมื่อร่างกายเติบโตจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ เซลล์ที่เคยแข็งแรงก็จะค่อยๆ อ่อนแอลง ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย หรือแสดงอาการผิดปกติออกมาครับ ในทุกๆ วัน ร่างกายของคนเรา จะมีการตายของเซลล์ เกิดขึ้น เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีอายุเพียง 120 วัน เซลล์ผิวหนังมีอายุ 28 วัน

และในเวลาที่เราบาดเจ็บหรือป่วย เซลล์ของเราก็บาดเจ็บหรือตายด้วย  เมื่อเหตุการณ์พวกนี้เกิดขื้น สเต็มเซลล์ก็จะเตรียมพร้อมทำหน้าที่ซ่อมแซมบาดแผล และสร้างแซลล์ใหม่ เพื่อมาทดแทนแซลล์เก่า ที่ตายไปตามเวลา เพราะฉะนั้นสเต็มเซลล์สำคัญกับร่างกายเรามากๆ เพราะมันทำหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราแก่ก่อนอายุ สเต็มแซลล์ก็เป็นเหมือนกองทัพแพทย์ตัวเล็กๆ ในร่างกายเราเลยครับ

รูปแสดง embryonic stem cells ที่ได้จากมนุษย์ โดยสเปริมผสมกับไข่ และเกิดเป็นตัวอ่อน (embryo)

ในคนที่ยังอายุน้อย สเต็มเซลล์จะสามารถแบ่งตัวมาทดแทน เซลล์ที่ตายเหล่านี้ ได้ทันไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่อายุมากขึ้น ปริมาณสเต็มเซลล์ก็มีน้อยลง ทำให้การทดแทนเซลล์น้อยลง ร่างกายก็จะค่อยๆ เสื่อม ไปในทุกอวัยวะ หรือที่เรามักเรียกกันว่าโรคชราครับ

ทำไมคนหันมาสนใจสเต็มเซลล์

มีการศึกษาถึงจำนวนของสเต็มเซลล์ในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรงเบาหวาน และโรคเรื้อรัง พบว่า จำนวนเซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีจำนวนน้อยกว่าคนปกติ อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสรุปได้ว่าสเต็มเซลล์ของผู้ป่วยคงจะได้รับผลกระทบจากโรค เช่นเดียวกับเซลล์อื่นๆ ทำให้เกิดความคิดว่า ถ้าเราสามารถเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ให้กับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ก็อาจจะช่วยป้องกันโรค หรือทำให้โรคที่เป็นอยู่ดีขึ้นได้

รูปแสดงลักษณะของเซลล์แต่ละชนิดในร่างกาย

ด้วยเหตุผลข้างต้น แพทย์จึงให้ความสนใจเรื่องสเต็มเซลล์ โดยมีความหวังว่า อาจจะสามารถนำมาช่วยรักษาโรคต่างๆ ในมนุษย์ได้ ควบคู่กับการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว

สเต็มเซลล์ เกิดขึ้นเมื่อไร

การใช้สเต็มเซลล์ เพื่อรักษาโรค มีมานานมากแล้วนะครับ เกินกว่า 90 ปีละครับ เริ่มแรกคือสกัดจากสัตว์

โดยนายแพทย์ พอล นีฮาน ซึ่งได้รับยกย่อยให้เป็นบิดาของการทำ live cell therapy เริ่มแรกโดยการเอาเซลล์จากตัวอ่อนของแกะ มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพื่อช่วยรักษาฟื้นฟู โดยมีผลเป็นที่น่าพอใจ และวิธีดังกล่าวได้รับการจัดเป็นหนึ่งในการรักษา ของแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ​

รูป Dr.Paul Niehans

เคยได้ยินว่า การใช้สเต็มเซลล์เป็นสิ่งผิดจริยธรรม

ในระยะแรกๆ สเต็มเซลล์ที่นักวิทยาศาสตร์พบ เป็นสเต็มเซลล์ที่แยกมาจากไข่ ที่ได้รับการปฎิสนธิแล้ว (สเต็มเซลล์จากตัวอ่อน) โดยเอามาเพาะให้เป็นเซลล์ต่างๆ ได้แทบทุกชนิดครับ แต่จากการที่ไข่ได้รับการปฎิสนธิแล้ว ถือว่าชีวิตกำเนิดแล้ว ทำให้เกิดข้อโต้แย้งทางศีลธรรมอย่างมาก (ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ถึงกับออกกฎหมาย ปฎิเสธทุนวิจัยทางด้าน embryonic stem cell เลยครับ) แต่ในปัจจุบันก็มีผู้ที่สนับสนุน และเห็นว่าไข่ที่ได้รับการปฎิสนธิแล้ว เพียง 5 วัน ยังไม่ได้สร้างอวัยวะใดๆ ไม่ถือว่ามีชีวิต และปัจจุบันการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ สามารถนำมาจากอวัยวะอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไข่ได้อีกมากมาย ทำให้เรื่องความรู้สึกผิดจริยธรรม ค่อยๆ เบาบางลง (และประธานาธิบดี โอบามา ก็ออกมาแก้กฎหมายดังกล่าว เรียบร้อยแล้วครับ)

แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าจนพบว่า มีแหล่งของสเต็มเซลล์อื่นๆ ที่สามารถนำมาศึกษาวิจัยได้ โดยสเต็มเซลล์เหล่านี้เรียกว่า Adult Stem Cells หรือสเต็มเซลล์เต็มวัย เช่นสเต็มเซลล์จากเลือด, สายสะดือ, รก, ไขกระดูก เป็นต้น

รูปแสดง บริเวณต่างๆ ของร่างกาย ที่เราสามารถเอา stem cell มาใช้ได้

หลักการทำงานของสเต็มเซลล์เป็นยังไง

กลไกการทำงานของสเต็มเซลล์นั้น เกิดหลังจากเซลล์ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกาย เซลล์จะเดินทางไปที่อวัยวะที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด เช่น เซลล์หัวใจจะวิ่งไปที่หัวใจ เซลล์ปอดจะไปที่ปอด เซลล์ตับก็จะกลับไปที่ตับ และเมื่อพบว่าเซลล์ของอวัยวะดังกล่าวเสื่อม สเต็มเซลล์ก็จะสร้างสารชีวภาพ หลากหลายชนิดขึ้นมา ซ่อมแซมเซลล์เก่า หรือเซลล์ที่เสื่อมเหล่านั้น

การทำงานหลักๆ ของ stem cell

ความแตกต่างของสเต็มเซลล์และเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย

ย้ำอีกทีนะครับ ความแตกต่างของสเต็มเซลล์และเซลล์ต่างๆในร่างกาย ต่างกันตรงที่ความสามารถ ในการแบ่งตัวของเซลล์ สเต็มเซลล์เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวได้ไม่จำกัด ในเวลานาน ในขณะที่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ไม่สามารถแบ่งตัวได้ กล่าวคือไม่สามารถรักษา หรือพัฒนาเซลล์ตัวเอง ให้กลับมามีสภาพเหมือนปกติ หรือซ่อมแซมตัวเองได้นั่นเองครับ แต่เนื่องจากระยะเวลา ในการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ ในห้องปฎิบัติการนั้น ค่อนข้างยุ่งยาก และใช้เวลานาน เพราะในหนึ่งครั้งของการรักษา ด้วยการฉีดสเต็มเซลล์เข้าสู่ร่างกายนั้น ใช้ปริมาณของเซลล์เป็นจำนวนมาก ความต้องการใช้จึงมากกว่ากำลังผลิต ทำให้ราคาค่อนข้างสูง และยังไม่เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน

ตกลงว่าสเต็มเซลล์มีกี่ประเภทกันแน่

1 Embryonic Stem Cell เป็นเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์​

เซลล์พวกนี้คือ  “สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์” (Embryonic Stem Cell)  ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นกับสเต็มเซลล์ตัวอ่อน เพราะว่าหน้าที่ของสเต็มเซลล์ตัวอ่อน เป็นเหมือนเซลล์ต้นกำเนิดที่มีความสามารถที่จะถูกพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆ ของร่างกายได้ สามารถสร้างทุกอวัยวะ รวมทั้งเนื้อเยื่อในร่างกายได้ทั้งหมด ทำให้สเต็มเซลล์อ่อน มีคุณสมบัติที่สามารถรักษาโรคที่เซลล์เสื่อมได้แทบทุกชนิด สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนที่นักวิทยาศาสตร์เอามาใช้ ส่วนใหญ่ได้มาจากเซลล์ที่เหลือจากการทำกิ๊ฟ จากถุงน้ำคล่ำ เซลล์ที่เหลือเหล่านี้ถ้าไม่ใช้ก็จะถูกโยนทิ้งไปอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไรครับ เนื่องจากยังมีข้อครหาหลายๆ จุด โดยเฉพาะด้านกฏหมาย และจริยธรรมครับ

รูปแสดง embryo stem cell

2 Adult Stem Cell เป็นเซลล์เนื้อเยื้อโตเต็มวัย โดยนำมาจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น ไขสันหลัง ฟัน ไขมัน เลือด ของเราเอง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแต่ละอวัยวะ จะมีสเต็มเซลล์ ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับอวัยวะนั้นๆ ครับ ตัวอย่างเช่นเลือดของเรา ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสเต็มเซลล์ ที่อยู่ในไขกระดูก ซึ่งในปัจจุบันมีการนำมาใช้ในวงการความงามกันอย่างกว้างขวาง เช่นการเสริมหน้าอก การปรับรูปหน้า การฉีดเติมเต็ม

รูปแสดง adult stem cell จากส่วนต่างๆ ของร่างกาย

สเต็มเซลล์จากเซลล์ตัวอ่อน กับตัวเต็มวัยต่างกันยังไง

จำง่ายๆ เลยครับ เซลล์เด็กยังไม่โตทำให้หน้าที่หลักๆ คือ แบ่งตัวเพื่อขยายขนาด และเพิ่มจำนวน ทำให้ร่างกายแต่ละส่วนโตขึ้น ส่วนเซลล์เต็มวัย จะไม่ทำหน้าที่แบ่งตัวละครับ แต่จะหันมาซ่อมแซมเซลล์ที่อักเสบ บาดเจ็บ หรือเสียหาย ให้กลับมาทำงานปกติครับ เพราะฉะนั้นต่างกันดังนี้ครับ

1 เซลล์ตัวอ่อน สามารถพัฒนาไปเป็นอวัยวะ ต่างๆ ในร่างกายได้

2 เซลล์โตเต็มวัย  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยะต่างๆ ได้ แต่เน้นรักษาฟื้นฟูเซลล์ที่บาดเจ็บ เสียหาย

3 เลือดจากน้ำคล่ำ ตัวนี้มันก็คล้ายกับเซลล์ตัวอ่อน ซึ่งสามารถพัฒนาไปเป็นแบบอื่นๆ ได้

แล้วที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เอาสเต็มเซลล์มาจากไหน

ถ้าเป็น Embryonic Stem Cell สามารถเก็บได้จากตัวอ่อน แต่การนำ embryonic stem cellมาใช้เสมือนเป็นการฆ่าตัวอ่อน จึงมีหลายๆ กลุ่มที่ไม่ยอมรับครับ แถมต่อต้านว่าผิดจริยธรรม ปัจจุบันเราจึงหันมาให้ความสนใจกับ Adult Stem Cell ซึ่งได้มาจากหลายแหล่ง เช่น เลือด ไขกระดูก เลือดจากสายรก (สายสะดือ) ไขมัน ฟันน้ำนม เรียกได้ว่า สามารถหาได้จากเกือบทุกอวัยวะในร่างกาย แต่แหล่งที่เอามา ก็จะมีข้อดี ข้อเสียในการนำมาใช้ แตกต่างกันไป

Stem Cell จากเลือด

เลือดของเราปกติ จะมี stem cell อยู่แล้วแต่ปริมาณน้อยมาก หากเราต้องการเร่งให้ไขกระดูกปล่อย stem cell ออกมาสู่ระบบเลือดให้มากขึ้น เราจะฉีด ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ที่เรียกว่า G-CSF (Granulocyte Colony Stimulating Factor) ข้อดีของวิธีนี้คือ เราสามารถเก็บ Stem Cell ได้ตามจำนวนที่ต้องการ แต่ข้อเสียคือ อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา G-CSF และ stem cell ที่ได้จะมี  T-cell ซึ่งเสมียนหน่วยความทรงจำว่าร่างกายเคยเป็นโรคอะไรมาแล้ว T-cell นี้อาจทำให้ร่างกายไม่ยอมรับการปลูกถ่าย และยิ่งอายุมากขึ้น ศักยภาพของ Stem cell ในร่างกายก็ลดลงครับ

รูปแสดง สเต็มเซลล์จากเลือด

Stem cell จากเลือดในสายรก

การเก็บเลือดจากสายรก จะทำได้แค่ช่วงที่เด็กแรกคลอดเท่านั้น ข้อดี คือมีปริมาณ T-cellน้อยมาก เพราะเด็กยังไม่เคยสัมผัสโรค วิธีการจัดเก็บง่าย ไม่มีความเจ็บปวดทั้งแม่และเด็ก แต่ข้อเสียคือปริมาณที่เก็บได้มีจำนวนน้อย จึงไม่เพียงพอต่อการใช้งานในหลายๆ กรณี

รูปแสดง สเต็มเซลล์จากสายรก

Stem cell จากไขกระดูก

ไขกระดูกถือเป็น แหล่งผลิตสเต็มเซลล์ เลยก็ว่าได้เพราะในกระดูกคนเรามี Stem cell มากเพียงพอ ที่จะเอามาใช้ ซึ่งในปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องการปลูกถ่ายไขกระดูกใช่ไหมครับ ปัจจุบันแพทย์สภาก็ให้การยอมรับเรื่องการรักษาโรคในระบบเลือดต่างๆ เช่น ลูคีเมีย หรือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไขกระดูกฝ่อ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคภูมิต้านทานผิดปกติบางชนิด และโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบเลือด แต่วิธีการนำมาใช้ยุ่งยาก และค่อนข้างเจ็บครับ โดยแพทย์ต้องวางยาสลบ เพื่อเจาะเข้าไปในกระดูกเชิงกรานให้ถึงไขกระดูก แล้วดูด stem cell ที่อยู่ในโพรงไขกระดูกออกมา คนไข้ต้องใช้เวลาพักฟื้นต่อที่บ้าน 5-7 วัน

รูปแสดง สเต็มเซลล์จากไขกระดูก

สเต็มเซลล์ แบบไหนที่สามารถใช้ได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย

ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทำให้มีการพัฒนาการสกัด Stem Cell ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันแหล่งของ Stem Cell ที่ได้รับการยอมรับว่านำมาใช้ได้ผลมากที่สุด ถูกสกัดมาจากไขกระดูก เพราะคือแหล่งผลิต สเต็มเซลล์อยู่แล้ว ทำให้เซลล์ที่ได้จากไขกระดูก เป็นเซลล์ใหม่ที่มีคุณภาพมากที่สุด และมีการใช้ stem cell จากไขกระดูกมากนานกว่า 10 ปีแล้ว

สำหรับ stem cell ที่ได้จากไขกระดูก คือสเต็มแซลล์จากเนื้อเยื้อ ที่โตเต็มวัยแล้ว (Adult Stem Cell) จึงมีความปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าเป็นเซลล์ เฉพาะเจาะจง สามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์เฉพาะ ในเนื้อเยื่อนั้นๆ เท่านั้น ในปัจจุบันโรคที่ทางการแพทย์ยอมรับ และให้การรับรองว่าสามารถ ใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการรักษา คือโรคในกลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติ ในระบบเลือด เช่นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย โรคโลหิตจาง หรือทาลัสซีเมีย ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยวิธีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก ทำให้วงการแพทย์ มั่นใจ ใน stem cell ที่ได้จากไขกระดูก มากกว่าแบบอื่นๆ

แล้วเซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์​ (MESENCHYMAL STEM CELL) คืออะไร

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในไขกระดูก ยังมีสเต็มเซลล์อีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Mesenchymal stem cell (MSC) ซึ่งเป็นเซลล์ที่แยกมาจากไขกระดูกซึ่งสามารถแบ่งตัวเองได้ มีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายเซลล์ Fibroblast (เซลล์ชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่สร้าง คอลลาเจนในชั้นผิวหนัง) ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปในไตของ quinea-pigs จะกระตุ้นให้เกิดเนื้อเยื้อกระดูก และเซลล์ไขกระดูอยู่ภายในเนื้อไตได้ ซึ่งในภายหลัง เซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น mesenchymal stromal cell หรือ mesenchymal stem cell (MSC) และนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า นอกจากไขกระดูกแล้ว เรายังสามารถเพาะเลี้ยง MSC ได้จากสายสะดือ จากรก จากฟันน้ำนม จากเซลล์ไขมัน จากผิวหนัง จากฟันน้ำนม และแม้แต่เลือดประจำเดือน เซลล์ MSC นี้ ถ้าได้รับการเลี้ยงในภาวะที่เหมาะสม จะสามารถเจริญไปเป็น เซลล์ไขมัน เซลล์กระดูก และเซลล์กระดูกอ่อนได้

เซลล์ต้นกำเนิดมีเซนไคม์​ (MESENCHYMAL STEM CELL) มีความพิเศษยังไง

คุณสมบัติพิเศษประการหนึ่งของ MSC คือความสามารถในการที่จะเดินทางไปยังแหล่ง ที่มีการอักเสบ  และสร้างสารชีวภาพที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื้อ, ต้านการอักเสบ และปรับสมดุล ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงได้มีการศึกษาถึงคุณสมบัติของ MSC ที่ได้จากการเพาะเลี้ยง ในการรักษาและป้องกันโรค ในกลุ่มภูมิคุ้มกันไวเกิน (autoimmuene disease) ตัวอย่างเช่น การใช้ MSC เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ GvHD และลดการเกิด graft rejection ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก ยังสามารถใช้ในการรักษาโรคทางสมอง ที่เรียกว่า Multiple Sclerosis โรครูมาตอยด์, Crohn’s Disease, และใช้แทน anti-interleukin receptor ในคนที่ปลูกถ่ายไต

เป็นที่ทราบดีว่าโรคส่วนใหญ่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง (Chronin Inflammation) ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคสมองเสื่อม โรคหลอดเลือดสมองแตก หรือแม้แต่โรคมะเร็ง ก็เกิดจากการอักเสบเรื้อรังทั้งสิ้น จึงมีผู้นำ MSC ไปใช้เพื่อลดการอักเสบในภาวะดังกล่าว เช่น ฉีดเข้าหลอดเลือด ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ หรือสมองขาดเลือด ใช้ฉีดเข้าข้อเข่า ในผู้ป่วยที่มีปัญหาข้อเสื่อม ซึ่งผลการวิจัยหลายๆ ตัวก็ออกมาในแง่ บวก และในต่างประเทศถึงขั้นจดทะเบียนและสามารถนำมาใช้ในการรักษาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่ทั้งนี้ แพทย์สภาในประเทศไทย ก็ยังไม่ยินยอมให้นำมารักษากันอย่างถูกต้องนะครับ เพียงแต่เปิดกว้างไว้ว่าเป็นแพทย์ทางเลือกเท่านั้น ดังนั้นถ้าท่านที่สนใจคงต้องลองพิจารณากันถี่ถ้วนนะครับผม ^^

“วิวัฒนาการขั้นสูงสุด กับการยกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า”

 

เจาะลึก FACE LOCKED BY AIR JET  ดึงหน้า โดยไม่ต้องศัลยกรรม

Face Locked by Air Jet นับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในเรื่องของการยกกระชับ ผลลัพธ์ที่ได้เสมือนการผ่าตัดศัลยกรรม เป็นการใช้แรงดันอากาศ​พลังงานสูงมาก       ส่งผ่านสารอาหารผิวนับล้านเข้าสู่ผิวในชั้น SMAS ทำให้เกิดการฟื้นฟู และซ่อมแซมใต้ชั้นผิว ถือเป็นการพลิกโฉมการยกกระชับ ด้วยการพัฒนา นวัตกรรมที่ไม่ใช้ความร้อน ในการยกกระชับผิว

Face Locked by Air Jet เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการรักษาปัญหาริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยอย่างสิ้นเชิง !!!!   ทำให้เกิดการฟื้นฟูผิว อย่างทันทีทันใด ด้วยกระสุนของสาร solution จำนวนมหาศาลที่ลงสู่ชั้นผิวชั้นลึกเป็นวงกว้าง แบบ 3 มิติ ทำให้ผลที่ได้ดีขึ้นกว่าเทคโนโลยีเก่าๆ

 

การยกกระชับมีหลากหลายเทคโนโลยี

ไม่ว่าจะเป็น Toxin การฉีดฟิลเลอร์ ที่เรารู้จักกันมา แต่หลักการที่หวังผลระยะยาว ของการยกกระชับ คือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งโดยปกติแล้ว เราจะคุ้นเคยกับเทคนิคการใช้ความร้อน เข้ามากระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่เทคนิคการใช้ความร้อนนี้ อาจจะส่งผลเสียต่อผิวในระยะยาว ไม่ว่าความร้อนจะมากหรือน้อย ยังไงซะคงจะดีกว่าถ้าเทียบกับการที่ไม่ใช้ความร้อนเลย แต่ตอนนี้เรามีนวัตกรรมยกกระชับผิวใหม่ล่าสุด ไม่มีความร้อนมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว

สำหรับ เทคนิคการยกกระชับของ Air Jet นั้น เรียกว่า เทคโนโลยี Jet Bullet Effect  เป็นการส่งยา และ สารอาหารผิวที่จำเป็นต่างๆ ลงไปในชั้นผิวหนังแท้ ด้วยการส่งผ่านสารอาหารผิว ด้วยควาเร็วที่สูงมาก คล้ายกระสุนนาโน ความเร็วของ เจทอยู่ที่ 150 m/sec ผ่านผิวทำให้เกิดจุดเล็กๆ บนผิวชั้นบน ขนาด 200  micron (ซึ่งถือว่าเล็กมากๆ ) โดยสารอาหารและตัวยาต่างๆ จะกระจายออกรอบทิศทาง เกิดบาดแผลเล็กๆ แบบ 3D Subcision เพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวและ คอลลาเจนใหม่ในบริเวณกว้าง คิดเป็นพื้นที่ 1.2 ตารางเซนติเมตร  โดยไม่มีการใช้ความร้อน เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ในระหว่างการฟื้นฟูสภาพผิว ผิวจะมีการดูดซึมสารอาหารเข้าไปด้วย ทำให้ได้  ชั้นผิวใหม่ที่หนาตัวขึ้น เต่งตึง และชุ่มชื้น ชั้นผิวใหม่จะช่วยดึงรั้ง อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวและรูปหน้าที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้

 

สำหรับการยกกระชับแล้ว ชั้นผิวหนังที่เรา focus ก็สำคัญคะ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ชั้นผิวหนัง SMAS  ใช่ไหมคะ

 

ผิวหนังเรามีหน้าตาแบบรูปด้านบน ซึ่งแบ่งเป็นชั้นต่างๆ หลากหลาย แต่ที่เราให้ความสำคัญกับชั้นเนื้อเยื่อ SMAS  (Superficial MusculoAponeurotic system) เนื่องจากเป็นชั้นที่แพทย์ผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อการดึงหน้าให้ยกกระชับคะ ชั้นเนื้อเยื้อ SMAS ซึ่งเป็นแผ่นเนื้อเยื่อพังผืด มีความเหนียว และหนา อยู่บริเวณใต้ชั้นไขมันผิวหนัง ชั้น SMAS นี้มีความสัมพันธ์กับผิวหนัง และชั้นไขมันใต้ผิวหนังด้านบน การดึงชั้น SMAS ให้ตึง จะทำให้ผิวชั้นบนเหมือนถูกดึงให้ตึงไปด้วย พูดกันชัดๆ นะคะ    คือ หากต้องการยกกระชับให้ได้ผล เราต้องใช้วิธีการทำงานเพื่อให้ลงลึกไปถึงชั้น SMAS นี้คะ

เมื่อดูจากภาพการเปรียบเทียบความลึกในการรักษา จะเห็นว่า Face Locked by Air Jet สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS และการรักษาจะเน้นยิง ตรงจุดเดียวกับการทำศัลยกรรมดึงหน้า คือ บริเวณไรผม บริเวณหลังหู และหน้าหู ซึ่งจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเทียบเท่าการผ่าตัดดึงใบหน้าเลยทีเดียว

 

ผลการยกกระชับด้วย Air Jet สามารถเห็นความแตกต่างทันทีหลังการทำ และระหว่างการทำไม่ต้องทาหรือฉีดยาชาแต่อย่างใด เพราะระหว่างการรักษาจะไม่รู้สึกเจ็บเลย เพียงแต่ตึงๆ จากแรงสั่นสะเทือนและแรงกดตอนทำเท่านั้น

 

หลังการทำทันทีจะมีตุ่มเล็กๆลักษณะคล้ายยุงกัดบริเวณที่ทำซึ่งจะหายไปภายใน 2 ชั่วโมง หลังการทำการรักษา 1 วัน จะมีจุดที่ตัวยาเข้าไปในผิวจุดเล็กๆ ระดับไมครอน ซึ่งสามารถแต่งหน้าทับได้ จุดจะหายไปภายในหนึ่งอาทิตย์ ในการทำโปรแกรมยกกระชับหน้าจะทำการรักษาบริเวณใต้ไรผม จึงไม่สามารถมองเห็นจุดเล็กๆ หลังทำการรักษาได้ ทำให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการถูกน้ำ 2-3 วัน ดังนั้นระยะเวลาในการพักฟื้นของผิวแทบจะไม่ถึง 1 วัน ซึ่งนับว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเทคนิคอื่นๆ

 

ภาพ: ความสามารถในการสร้างเนื้อเยื่อ ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังแข็งแรง และหนาขึ้น ​​อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งใน ระยะสั้นและ ระยะยาว

 

ภาพ: การวิเคราะห์ เนื้อเยื่อ ด้วยการย้อมสี เนื้อเยื้อคอลลาเจน Reticulin ของผู้เข้ารับการรักษา อายุ 39 หลังจากรักษาครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลา 4 เดือน ผลคือ ผิวหนัง หนาขึ้นโดยประมาณ 2 เท่า และเส้นใยคอลลาเจน เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

ทำไมหลังทำการทรีทเม้นต์ Face Locked by Air Jet รู้สึกผิวยกกระชับแค่ช่วงแรก

ผลลัพธ์ในการทำทรีทเม้นต์นี้ แม้จะเห็นผลทันที แต่เมื่อผ่านไป 1เดือน หรือ 28 วัน (เป็นช่วงอายุของเซลล์ผิว ที่จะเกิดใหม่ทุกๆ 28 วัน) ผิวในชั้น smas ที่เรายิงลงไป เพิ่มจะเริมแสดงผล และผลจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนคงที่ภายใน 2-3 เดือน

 


ภาพแสดงการสร้างคอลลาเจนของชั้นผิว หลังการทำทรีทเม้นต์ Face Locked by Air Jet

 

มีคำถามต่อไปว่า แล้วผลการฟื้นฟูผิวด้วย FACE LOCKED BY AIR JET อยู่ได้นานไหม

ผลลัพธ์อยู่ได้นานตั้งแต่ 12 – 24 เดือน ซึ่งอาจกลับมาทำใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และโปรแกรมการรักษาผิวอื่นๆ ที่ได้รับหลังการทำ Air Jet  ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำครบ 3 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และยาวนานกว่า

 

แล้วเรื่องความปลอดภัย

Airjet เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัย โดยไม่มีความเสี่ยงในการเกิดรอยไหม้ หรือ แผลเป็นที่เกิดจากความร้อนเลย เมื่อเทียบกับเลเซอร์ หรือเทคนิคอื่นที่มีความร้อนมาเกี่ยวข้อง รวมถึงเครื่อง Air Jet ได้ผ่านการรับรองจากประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจได้ 100% ในเรื่องความปลอดภัย

 

สามารถทำหลังทำเลเซอร์หรือการลอกหน้าด้วยสารเคมีได้หรือไม่

ไม่แนะนำให้ทำทันที ควรรอให้ผิวได้รับการรักษาหายสนิทเป็นปกติก่อน

 

สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

หลักๆของเครื่องสามารถตอบโจทย์เรื่องกายยกกระชับ โดยเป็นที่นิยมมากที่ประเทศเกาหลี โดยเฉพาะการเก็บกรอบหน้า จะทำให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น เมื่อใช้บริเวณกรอบหน้า คาง เหนียง  แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นการนำพาสารโดยใช้เทคนิค สูญากาศ ก็สามาถนำมาใช้แก้ปัญหาผิวอื่นได้อีกด้วย

 

ควรทำกี่ครั้ง

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ทำการรักษาประมาณ 3 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และยาวนานกว่า

 

อะไรคือข้อดีของการรักษานี้

เกิดสองผลลัพท์ที่ทำให้ผิวดู อ่อนวัย ส่วนแรกคือการส่งโมเลกุลลงไป เพื่อฟื้นฟูผิวที่ขาดสารสำคัญต่างๆ ทำให้ผิวดูดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่วนที่สองคือ เกิดการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวใหม่ ผิวหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น และความเต่งตึง กระชับอยู่นานยิ่งขึ้น

 

เปรียบเทียบกับ TREATMENT ยกกระชับแบบอื่นๆ


ภาพก่อน และหลังทำทรีทเม้นต์ Face Lock by Air Jet ทันที (ทำเพียงด้านเดียว)

         

   

ภาพหลังทำ Face Lift by Air Jet จากประเทศเกาหลี 

 

THERMAGE CPT

Thermage (Solta Medical ,USA) เป็นเครื่องมือที่ได้รับการรับรองจาก US-FDA ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุในรูปแบบเฉพาะที่เรียกว่า Monopolar Capacitively-Coupled Radiofrequency (RF) เพื่อที่จะกระชับผิวและปรับรูปทรง (tighten and contour)  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีลิขสิทธิ์ที่สามารถปล่อยพลังงานความร้อนที่มีระเบียบลงไปได้ลึกถึงผิวหนังชั้นในหรือหนังแท้ (dermis) และเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิว (subcutaneous tissue) ช่วยยกกระชับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่เครื่องมืออื่นๆ นั้นไม่สามารถทำได้ หรือให้การรักษาได้เพียงผิวหนังชั้นบน (superficial skin layers) เท่านั้น

 

พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (High Radio Frequency: RF) ของ Thermage CPTTM จะถูกเปลี่ยนเป็นก้อนมวลความร้อนครอบคลุมทั้งผิวหนังชั้นใน Dermis และพลังงานความร้อนนี้ยังถูกส่งไปตามเนื้อเยื่อ (Fibrous Septae) ที่แทรกตัวอยู่ในชั้นไขมันใต้ผิวหนังอีกด้วย ส่งผลให้ไปกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของเส้นใยคอลลาเจน (collagen) และอิลาสติน (elastin) ที่ยึดเกาะกันอยู่ในชั้นผิวหนังให้เป็นเสมือนเกลียวเชือก ซึ่งการหดตัวกระชับขึ้นของเกลียวเส้นใยเหล่านี้ จะส่งผลให้ผิวชั้นนอกกระชับตึงตามไปด้วย พร้อมไปกระตุ้นคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมและกระตุ้นให้มีการสร้างใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อย ตึง กระชับขึ้น  และปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และไม่มีแผลเย็บใดๆ

นอกจากนี้พลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นยังลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยสลายไขมันสะสมส่วนเกินบนใบหน้า หรือบริเวณที่ทำการรักษา ช่วยให้การปรับรูปหน้าเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ไขมันสะสมบริเวณแก้มและใต้คางที่เป็นปัญหาหลักของผู้ที่มีใบหน้าใหญ่ แก้มเยอะ หรือมีคางสองชั้น ทำให้รูปหน้าไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสมทำให้เกิด การกระชับผิวแบบ 3 มิติ

 

ภาพแสดงการทำงานของ Thermage CPT

 

เทอร์มาจรุ่นใหม่ล่าสุด “Thermage CPT”

Thermage CPT รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งมีเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดความเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ดังนี้

1. Deep Heating : เพราะเป็นคลื่น RF ชนิด monopolar พลังงานจึงถูกส่งผ่านลงไปได้ลึกถึงชั้น dermis และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง Hypodermis

2. Integrated Cooling มีการพ่นความเย็นมาปกป้องผิวชั้นนอกในขณะที่เครื่องทำงานส่งความร้อนลงไปในผิวชั้นลึก

3. Comfort Pulse Technology –Software ตัวใหม่พัฒนามาจาก Body Tip 16.0 ซึ่งช่วยให้การส่งผ่านพลังงานความร้อน พลังงานจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะในแต่ละระยะจะมีระบบความเย็นปล่อยแทรกมาด้วยทำให้คนไข้รู้สึกสบาย

4.Vibration-ระบบ CPT (Face Hand piece) สามารถเลือกการใช้งานให้เป็นระบบสั่นได้ ในการศึกษาพบว่า ระบบสั่นทำให้คนไข้รู้สึกสบายมากขึ้น

5. Redesigned Tips – รูปแบบใหม่ของหัวทิป ออกแบบให้แผ่นเฟรมบางลงเพื่อช่วยให้การส่งผ่านความร้อนได้มากกว่าหัวทิปรุ่นเก่า และความร้อนสามารถกระจายตัวได้สม่ำเสมอทั่วทั้ง tip ไม่กระจุกตัวที่ขอบ ผลการรักษาช่วยให้ชั้นผิวสามารถสะสมความร้อนได้สูงกว่าเดิม

Thermage CPT รักษาบริเวณใดได้บ้าง

1. เทอร์มาจ สามารถรักษาผิวหนังที่หย่อนคล้อยได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว

2. ใบหน้า ได้แก่ เปลือกตา แก้มที่มีความหย่อนคล้อย ใต้คาง เป็นต้น

3. ลำตัว ได้แก่ ท้องแขน สะโพก ต้นขา และหน้าท้อง

ต้องทำการรักษากี่ครั้ง / ผลอยู่ได้นานเท่าไหร่

1. ทำการรักษาเพียงครั้งเดียว ผลการรักษาอยู่ได้ประมาณ 1- 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง

2. อายุ สภาพผิว การรับพลังงานขณะรักษาของคนไข้

ทำแล้วเจ็บหรือไม่

ขณะส่งผ่านพลังงานจะรู้สึกร้อนลึกๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ความรู้สึกร้อนดังกล่าวบ่งชี้ว่าคอลลาเจนได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสมในระดับที่ทำให้ผิวกระชับตัวได้ดี คนไข้ควรรู้สึกร้อนในระดับที่ทนได้ ซึ่งแต่ละไม่เท่ากัน และแพทย์จะเป็นผู้ควบคุมพลังงานที่ใช้ในการรักษาให้เหมาะสมกับคนไข้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

มีข้อจำกัดในการรักษาหรือไม่

เทอร์มาจไม่เหมาะจะทำการรักษาในผู้ที่ติด Pacemaker และผู้ป่วย โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

ผลการรักษาด้วยเทอร์มาจ

1. ผลที่ได้รับมีทั้งส่วนที่เห็นได้ทันทีหลังรักษา( เกิดจากการหดกระชับตัวของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้ว) และผลที่เกิดต่อเนื่อง (เกิดจากการสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้นๆ) และคอลลาเจนที่มีความแข็งแรงขึ้นนี้ ยังช่วยชะลอให้ขบวนการเสื่อมตามวัยของคุณเกิดขึ้นช้าลงอีกด้วย

2. สภาพผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป และได้ผลเต็มที่ที่ประมาณ 6 เดือนหลังการรักษา  และคงผลได้ยาวนาน 1-3 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะผิว การใช้ชีวิต และการเสื่อมตามวัยของแต่ละคน

THERMAGE CPT TREATMENT

1. FACE

เหมาะกับ

  • ผิวหน้าหย่อน (skin laxity) เล็กน้อยถึงปานกลาง
  • มีลักษณะอาการ แก้มห้อย ผิวใต้คางหย่อน แนวขากรรไกรไม่คมชัด
  • อายุระหว่าง 35-60 ปี จะได้ผลดีที่สุด
  • ต้องการผลที่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนการผ่าตัดดึงหน้า

ผลการรักษา

  • ผิวที่เนียนเรียบและยกกระชับอีกครั้ง
  • ความหย่อนคล้อยของผิว บริเวณแก้ม ขากรรไกรและใต้คางยกกระชับและเข้ารูปมากขึ้น
  • ริ้วรอยรอบดวงตา รอบริมฝีปากและหน้าผาก ดูจางลง
  • ร่องแก้มตื้นขึ้น

2. EYES
เทอร์มาจเป็นเครื่องมือชนิดแรกและชนิดเดียวที่ได้รับการรับรองจาก US-FDA ในการทำการรักษาบนเปลือกตาโดยตรง
เหมาะกับ

  • มีริ้วรอยรอบดวงตา
  • ผิวหนังรอบตาเริ่มหย่อนคล้อย ตก
  • ต้องการให้ดวงตาเบิกโต สวยขึ้น
  • ต้องการยกคิ้วให้ได้รูป
  • ผิวเปลือกตาไม่เรียบตึงแต่เป็นริ้วย่นๆ ทำให้ทาตาหรือเขียนขอบตายาก

ผลการรักษา

  • ริ้วรอยรอบตาลดลง
  •  ผิวรอบตาดูแน่นกระชับ เรียบเนียนขึ้น ผิวหย่อนใต้ตาลดลง
  • ดวงตาได้รูป สวยขึ้น
  • คิ้วได้รูป
  • ลดอาการหนังตาบนหย่อน และผิวเปลือกตาที่เรียบขึ้น

3. BODY

เหมาะกับ

  • ผิวหย่อน มีริ้วรอยย่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก แขน ขา หรือหลังมือ
  • มีเซลลูไลท์

​ผลการรักษา

  • รูปร่างดีขึ้น เข้ารูปกว่าเดิม
  • ผิวเรียบเนียน แน่นกระชับ ดูยกขึ้น และมีริ้วรอยย่นลดลง
  • เซลลูไลท์ลดลง

เมโสแฟต คืออะไร

Mesotheraphy Fat  หรือ Meso-Fat เป็นเทคนิคการฉีดสารที่ประกอบไปด้วย Active Ingredient ซึ่งเป็นแร่ธาตุ และอาหารผิวหลายชนิด ลงไปบริเวณผิวที่ต้องการ มีผลกระตุ้น กระบวนการสลาย ไขมัน และลดการบวมคั่งของของเหลวในบริเวณนั้นๆ  ทรีทเม้นต์นี้สามารถช่วยแก้ไขปัญหา ไขมันส่วนเกิน ในหลายๆ จุดตามที่ต้องการ ทั้งบริเวณผิวหน้า และผิวตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ขนาดของเซลล์ไขมันค่อยๆ ลดลง ผลดีคือผิวจะไม่เหี่ยว เหมือนการดูดไขมัน ออกไปทั้งหมด ทีเดียว

ทรีทเม้นต์ NANO MESO FAT ปลอดภัยไหม

นับว่าเป็นทรีทเม้นต์ ที่ปลอดภัยมาก เพราะสาร  Nano Fat ที่ใช้ เป็นสารที่ได้รับใบอนุญาติจาก อย แล้ว และเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอาการแพ้ และไม่สะสมตกค้าง ในร่างกาย

รูปแสดง ชั้นไขมันของผิวหนัง

 

 

ทรีทเม้นต์ NANO MESO FAT ต่างจากแบบทั่วๆ ไปอย่างไร

เนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีนาโน ทำให้ได้โมเลกุลที่เล็กมากๆ ระดับ นาโน ทำให้การทำงานรวดเร็วมากขึ้นหลายเท่าตัว  และเมื่อตัวยาที่มีขนาดเล็กมากๆ การทำปฏิกริยากับ เซลลูไลท์ และเซลล์ไขมันจะเกิดขึ้นทันทีที่ฉีด จะเห็นได้จากเวลาคุณหมอเดินยา จะรู้สึกซ่าๆ ใต้ผิวบริเวณที่ฉีดทันที จะไม่ใช่การปวดเหมือนการฉีดแฟตทั่วๆ ไป และจะเห็นผลทันทีหลังการฉีด ไม่จำเป็นต้องรอ ผิวไม่บวมก่อน 2-3 วันแล้วค่อยยุบ เหมือนตัวเก่าๆ

 

 

รูปเปรียบเทียบ ขนาดไขมัน ของคนปกติ กับคนอ้วน

 

 

หลักการทำงานของ NANO MESO FAT

สารที่มีขนาดเล็กมากๆ จะ เข้าไปจับกับเซลล์ไขมันที่เป็นก้อนใหญ่ๆ ให้แตกออกเป็นก้อนเล็กๆ และเมื่อก้อนมันเล็กลง และสลายเป็นไขมันเหลว ทำให้ร่างกายเราสามารถกำจัดออก ด้วยวิธีเผาผลาญตามธรรมชาติของร่างกาย ผ่านระบบต่อมน้ำเหลือง ทางปัสสาวะ ทางอุจจาระ

NANO MESO FAT สามารถฉีดตรงไหนได้บ้าง

1. ลดไขมันที่แก้มให้หน้าเรียวเล็ก
2. ลดไขมันบริเวณเหนียง (ใต้คาง)
3. ลดไขมันที่ต้นขา ต้นแขน และบริเวณน่อง
4. ลดไขมันที่พุง หน้าท้อง เอวด้านหลัง
5. ลดไขมันบริเวณขอบรักแร้

6. ลดไขมันส่วนเกินที่หลัง

ขั้นตอนการทำ

·      คุณหมอจะฉีดเข้าสาร Nano Meso Fat เข้าไปในชั้นไขมัน โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม-12 มม. เพื่อสลายเซลส์ไขมัน
·      ตอนที่เข็มฉีด Nano Meso-Fat เข้าที่ผิว จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่ในช่วงเดินยา จะรู้สึกซ่าๆ แต่อาการจะอยู่ประมาณ 5-10 นาทีก็จะหาย และจะเห็นผลทันทีหลังการฉีด 5-10 นาที
·      โดยปริมาณที่ฉีด ขึ้นกับปัญหาของแต่ละท่าน โดยปกติ จะใช้ประมาณ 0.5-1 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม โดยเทคนิคเมโสเธอราพี (Mesotherapy) นั่นเอง

 

 

ผลที่ได้จากการฉีด

หลังจากฉีดสารสลายไขมันเข้าที่บริเวณชั้นไขมันใต้ผิวหนังแล้ว  โดยธรรมชาติ ไขมันจะเริ่มหดตัว หรือเริ่มลดจำนวนเซลล์ไขมันลงประมาณ 30 – 50% ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และไขมัน จะสลายตัว เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกประมาณ 50-80% ภายใน 1 อาทิตย์ อย่างไรก็ตามไขมันที่เรากำจัดไปแล้ว สามารถกลับมาได้ใหม่ ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้น จึงควรปฏิบัติตัว ตามแพทย์แนะนำ และควรทำทรีทเม้นต์ซ้ำ อย่างน้อย 3-5 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานขึ้น

รูปแสดง Befor – After


style=”text-align: center;”>
ฉีดเฉพาะด้านขวามือ เท่านั้น

ข้อดีของการฉีด NANO MESO FAT เมโสแฟต

·ปลอดภัย ไม่มีอันตราย เพราะสารฉีดผลิตจากธรรมชาติ และผลที่ได้ก็ดูเป็นธรรมชาติ แนะนำให้ทำโดสต่ำๆ ก่อน แต่ทำหลายๆ ครั้ง ผิวจะค่อยๆ ปรับตัว
ทำให้ไม่เหี่ยวย่น
·ไม่ทำลายเซลล์​ ไม่เหมือนการดูดไขมันที่ผิวจะเหี่ยวลงทันทีหลังทำ โดยต้องไปรักษา รอยเหี่ยว จากการดูดไขมันอีกต่อหนึ่ง
·เห็นผลทันที ภายใน 5-10 นาที และผลจะต่อเนื่องภายใน 7 วัน

·ไม่เสียเวลาเตรียมตัว ไม่ต้องใช้ยาชา

·ไม่มีข้อจำกัดหลังการทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เล่นกีฬาได้ ว่ายน้ำ ซาวน่า ทำทรีทเม้นต์อื่นๆ รวมถึงเลเซอร์ ได้ตามปกติ ปกติการทำทรีทเม้นต์ Nano Meso Fat เมโสแฟต นอกจากจะลดปริมาณไขมันแล้ว ยังเพิ่มความชุ่มชื่น นุ่มนวลให้แก่ผิว และผิวจะค่อยๆ ยกกระชับขึ้นใน 7-14 วันหลังการฉีดอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ในคนไข้บางคน หลังจากฉีดลดไขมันเฉพาะที่แล้ว โดยเฉพาะที่คาง หน้าท้องหรือท้องแขน เมื่อไขมันลดได้เกือบหมดแล้ว อาจมีอาการผิวหนังหย่อนคล้อย  ดังนั้นการทำ RF + การฉีด Meso Firming จะช่วยทำให้การหย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้เร็วขึ้น

ระยะห่างในการฉีด Nano Meso Fat : ทุก 1 – 2 สัปดาห์ สามารถใช้ชีวิตตามปกติ หลังการฉีด สามารถทาแป้ง แต่งหน้าได้ตามปกติ

ต้องฉีดบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล  NANO MESO FAT

ในช่วงแรกสามารถฉีดได้ทุกสัปดาห์ จนกว่าผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ จำนวนในการฉีดจะขึ้นกับปัญหาของแต่ละท่าน แต่แนะนำให้ค่อยๆ ฉีดทีละน้อยๆ เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้วถ้าไม่พอใจค่อยเพิ่มโดสทีหลังจะดีกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ขั้นต่ำ ควรจะทำให้ครบคอร์ส ประมาณ 3-5 ครั้ง หรือตามแพทย์แนะนำ

ผลที่ได้จะอยู่นานแค่ไหน:  ปกติผลที่ได้จะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับพฤติกรรม และการใช้ชีวิต หลังการฉีด ของแต่ละท่านด้วย ถ้ามีการควบคุมอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกาย ก็จะทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น

ข้อปฎิบัติหลังการฉีด MESO FAT

1.ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะร่างกายจะกำจัดไขมันส่วนใหญ่ออกทางปัสสาวะ ดังนั้นยิ่งดื่มน้ำ มากเท่าไหร่ ไขมันจะถูกกำจัดออกไปมากและเร็วยิ่งขึ้น
2.ควรออกกำลังกายเบา ๆ ครั้งละ 30 นาทีประมาณ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้ร่างกาย เผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
3.เลี่ยงอาหารรสเค็ม หรืออาหารที่มีส่วนผสมของเกลือ อีกทั้งควรเปลี่ยนพฤติกรรม การทานอาหารจำพวก แป้ง น้ำตาลและไขมันให้น้อยลง เพื่อหลีกเลี่ยง การสะสม ของไขมันอีกครั้ง
4.หลีกเลี่ยงการอบซาวด์น่า นวดหน้า นวดตัวหรือทำทรีตเมนต์ เพื่อลดการฟกช้ำ ในบริเวณ ดังกล่าว

Tr Lifting ร้อยไหมแบบ 4D

การร้อยไหมยกกระชับ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าที่ไม่กระชับ หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึง เข้ารูป รวมทั้งสามารถปรับโครงหน้า หรือแก้ปัญหาเฉพาะจุด ด้วยการนำเส้นไหมชนิดพิเศษมาร้อยบริเวณใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม โดยเห็นผลครั้งแรกหลังทำภายใน 1- 2 อาทิตย์ และเห็นผลได้ชัดเจนขึ้นในอีก 1-2 เดือนถัดมา ปัจจุบันการร้อยไหมพัฒนาไปมาก มีหลากหลายเทคนิค หลากหลายชนิดไหม โดยเฉพาะเทคนิคการร้อยผสมเส้นไหม ทำให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น ซึ่งเรียกว่า 4D

ด้วยเหตุนี้ทำให้คนที่กลัวการผ่าตัด หรือกลัวการดมยาสลบ หรือผลข้างเคียง จากการผ่าตัด แต่ก็อยากให้ตัวเองดูดี ผิวดูอ่อนเยาว์หันมาสนใจการร้อยไหมมากขึ้น เนื่องจาก 1.ไม่ใช่การผ่าตัด จึงไม่มีแผลขนาดใหญ่ อาจมีรอยเข็มเล็กๆ เท่านั้น 2.หลังการทำจึงไม่ต้องพักฟื้น ล้างหน้า แต่งหน้า ทาครีมได้ตามปกติ

ไหมที่จะร้อยก็มีอยู่กี่ชนิด อะไรบ้าง

1. Gold Thread

เป็นการนำไหมที่ทำด้วยทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ขนาดประมาณเส้นผม ซึ่งเป็นไหมที่ไม่ละลาย โดยทองคำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น และมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ แต่เพราะด้ายทองไม่มีปมหรือแง่งใดๆ จึงไม่มีผลในแง่ของ Mechanic Lifting มากนัก จึงต้องรอผลจากการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซม จะเริ่มเห็นผลเมื่อ 1 เดือนเป็นต้นไป ข้อเสียของไหมทองคำ คือ ค่าใช้จ่ายสูงมาก หลังทำต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน หรือทำทรีทเมนต์ที่มีการนำพาความร้อน หรือไฟฟ้า เช่นเลเซอร์​ต่างๆ เนื่องจากทองเป็นโลหะที่นำความร้อนได้ดีที่สุด และไม่เหมาะในผู้ที่แพ้โลหะ

2. Feather-Lift หรือ Aptos ® threads เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายได้ (monofilament material – “polypropylene”) ซึ่งมีลักษณะเป็นฟันปลา เป็นเงี่ยงๆ และเป็นไหมชนิดที่ไม่ละลาย ปัจจุบันไม่นิยมแล้ว เพราะมักเกิดปัญหาในระยะยาว เช่น นานๆ ไปอาจมีแง่งไหมโผล่ออกจากผิว ต้องไปผ่าเอาออก และต้องใช้ประสบการณ์ของแพทย์สูงมาก

3. PDO ไหม PDO เป็นไหมละลายชนิดเดียวกับไหมที่ใช้ในการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งปลอดภัย และร่างกายจะค่อยๆ กำจัดออกไปจนหมดภายในระยะเวลา 6 เดือนซึ่งแตกต่างจากไหมยกกระชับใบหน้าชนิดอื่นในสมัยก่อน

4.Spring Lifting หรือไหม PDO รุ่นใหม่มีความพิเศษมากขึ้น คือจะมีซิลิโคนลักษณะกลม พันอยู่รอบเส้นไหมทั้งเส้นบางครั้งจึงเรียกว่า “ไหมเกลียว” ซึ่งตัวซิลิโคนนี้จะทำหน้าที่ช่วยยกกระชับได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพในการเกาะเกี่ยวเนื้อเยื้อผิวมากขึ้น ทำให้สามารถดึงผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับได้มาก

5. Fast Lifting คือไหม PDO รุ่นล่าสุดที่มีลักษณะของเงี่ยงคล้ายขอตกปลาอยู่ตลอดเส้น มักถูกเรียกว่า “ไหมเงี่ยง” เมื่อร้อยเส้นไหมไปที่ชั้นผิว ตัวเงี่ยงจะช่วยเกี่ยวรั้งเนื้อเยื่อผิวให้ยกกระชับขึ้นทันที หลังการร้อยจึงเห็นผลชัดเจนกว่าไหมแบบเส้นเรียบๆ

6. Turbo Lifting หรือ Silhouette Soft Lifting เป็นไหมละลายรุ่นล่าสุดที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน เส้นไหมที่ใช้ในโปรแกรม Turbo Lift จะมีความพิเศษมาก เพราะเป็นเส้นไหมที่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นเส้นไหมเย็บชนิดละลายผลิตจาก Polypropylene มัดเป็นปม และระหว่างปม จะมีกรวยรูปร่างคล้ายกรวยไอศรีม จึงนิยมเรียกอีกชื่อว่า “ไหมกรวย”ส่วนที่เป็นกรวยสามารถละลายได้เช่นเดียวกัน ผลิตจาก Lactide/Glycolide มีใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี ในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ (Biocompatibility) ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก โดยเส้นไหมละลาย และกรวยจะค่อยๆ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง

นอกจากจะเห็นผลทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก ปัจจุบันจึงได้รับความนิยมมากกว่าไหมประเภทอื่น

การร้อยไหมแบบ 4D ของ The Face Aesthetic เป็นอย่างไร

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การร้อยไหม 4D ของ The Face Aesthetic นั้น คุณหมอจะพิจารณาปัญหาของคนไข้แต่ละท่าน และ design รูปหน้า โดยจะใช้ไหมหลากหลายแบบ เพื่อแก้ปัญหาในตรงจุดจริงๆ เนื่องจากบางส่วนของใบหน้า หรือปัญหาในแต่ละส่วน เหมาะกับไหมที่แตกต่างกันไป เช่นการร้อยไหม Turbo Lifting จะเหมาะกับการร้อยปรับกรอบหน้าให้ชัดเจนขึ้น เป็นต้น

การร้อยไหมมีความปลอดภัยแค่ไหน?

เส้นไหมจะเป็นไหมละลายที่เรียกว่า PDO เป็นเส้นไหมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว ใช้ในการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจมานานหลายปี มีความปลอดภัยสูง ไม่สร้างความเสียหายให้ผิวหนังรอบข้าง โดยเส้นไหมที่ใช้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันจึงมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น แข็งแรงมากขึ้น เล็กขึ้นที่ ยืดหยุ่นได้ดีขึ้น ที่สำคัญเส้นไหมจะสามารถย่อยสลายไปเองในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน และซิลิโคนที่ใช้ในกลุ่มไหมบางประเภท (เช่นข้อ 4 ข้อ5 และข้อ6) ก็เป็น medical grade silicone ที่ได้รับการรับรองให้ใช้ในวงการแพทย์ และวงการศัลยกรรมอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน สำหรับการร้อยไหม Thread Lifting จะร้อยลงไปในชั้นไขมัน จึงไม่สร้างความเสียหายให้ผิวส่วนบนแต่อย่างใด

เมื่อไรจึงจะเห็นผล และผลการรักษาอยู่ได้นานแค่ไหน?

ขึ้นกับประเภทไหมที่ร้อย ปกติผิวหน้าจะค่อยๆ ตึงกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และจะค่อยๆ เห็นผลมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือน และผิวจะดูกระชับขึ้นเรื่อยๆ และสามารถคงสภาพได้นานประมาณ 2-3 ปี ยกเว้นไหม Silhouette Soft Lifting สามารถเห็นผลทันทีหลังการร้อย และขณะที่ไหมอยู่ใต้ผิวหนัง จะกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ (Local microcirculation) มีผลให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม จึงเกิดการยกกระชับมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปผิวหน้าจะยิ่งดีขึ้นกระชับขึ้นเรื่อยๆ และได้ผลต่อเนื่องนานถึง 12-24 เดือน

รูปภาพแสดงการร้อยไหม Turbo Lifting (เห็นความแตกต่างทันทีหลังการร้อย)

ข้อจำกัดหรือข้อควรปฏิบัติก่อนการรับการรักษา มีอะไรบ้าง?

ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมกลุุ่ม Fish Oil หรือ Primrose และห้ามรับประทานยาลดการอักเสบ หรือ แอสไพริน ก่อนการรักษา 1 สัปดาห์

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

ก่อนการร้อยไหม แพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะร้อยไหม และฉีดยาชาเฉพาะบริเวณร่วมด้วย การร้อยไหมใช้เวลาโดยรวมประมาณ ครึ่งชั่วโมงถึง สองชั่วโมง ขึ้นกับประเภทไหม และจำนวนเส้นไหม หลังการร้อยอาจเกิดการบวมช้ำซึ่งไม่มากเท่าไหร่ และถือเป็นเรื่องปกติ ราว 3-4 วัน จะหายไป

หลังการร้อยไหม ควรปฏิบัติตนอย่างไร?

หลังการร้อยไหม สามารถล้างหน้า แต่งหน้าได้ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และวันรุ่งขึ้นก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่ควรขยี้หน้า หรือถูหน้าแรงๆ ในช่วง 1 อาทิตย์แรก ควรทานยาตามแพทย์สั่ง

ยกกระชับ 3 มิติ คืออะไร

เป็นโปรแกรมรักษาปัญหาผิวพรรณที่หย่อนคล้อยไม่กระชับ ให้กลับเต่งตึงกระชับขึ้น ด้วยการผสมผสานการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่ในช่วงที่เหมาะสม ร่วมกับการผลักสารอาหารให้แก่ผิว เพื่อเสริมความแข็งแรงของเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระชับ รูขุมขนเล็กลง ฟื้นฟูสภาพผิวหนังให้เปล่งปลั่งแข็งแรงอย่างเห็นได้ชัด

รักษาอะไรได้บ้าง?

สามารถรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อย ให้ยกกระชับ กระชับรูขุมขน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า แก้มย้อย ปรับโครงหน้าให้ดูได้รูปมากขึ้น

ข้อจำกัดหรือข้อควรปฏิบัติก่อนการรับการรักษา มีอะไรบ้าง?

สามารถทำได้ในทุกประเภทผิว เนื่องจากเป็นโปรแกรมที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ใช่เลเซอร์

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

ขั้นตอนในการรักษาเริ่มจาก การทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นจะทาครีมสูตรพิเศษสำหรับลดเซลลูไลท์ ยกกระชับผิวหน้าและใช้เครื่องมือนวดทั่วบริเวณใบหน้า โดยเครื่องมือจะส่งคลื่น RF ลงสู่ผิวชั้นลึก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึงขึ้นตามลำดับ

ภาพแสดงหลักการทำงานของเครื่อง 3D Lifting

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอุ่นๆ ถึงร้อนเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทายาชา

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

การรักษาใช้เวลาประมาณ 45 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

หลังทำการรักษาจะรู้สึกได้ทันทีว่าผิวตึงขึ้น รูขุมขนกระชับ ส่วนริ้วรอยและถุงใต้ตาจะเห็นผลชัดเจนหลังทำการรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณครั้งที่ 4 ระยะห่างในการรักษา ประมาณ 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน การทำการรักษาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ

ผลข้างเคียงจากการรักษา

อาจเกิดตุ่มน้ำใสหลังการทำ ซึ่งพบได้น้อยมาก มักพบเมื่อผู้รับการรักษาขยับตัวกระทันหันขณะทำการรักษา ทำให้เครื่องมือสัมผัสผิวเพียงบางส่วนทำให้เกิดความร้อนสูงขึ้นเฉียบพลันจึงเห็นเป็นตุ่มน้ำใส ปกติจะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง

การร้อยไหม Turbo Lift คืออะไร

โปรแกรม Turbo Lift เป็นโปรแกรมการร้อยไหมกรวย หรือไหมซิลลูเอท (Silhoutte) ที่ใช้เทคโนโลยี่ใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน

ขั้นตอนการรักษาไม่ยุ่งยาก ไม่มีแผลเปิด อาจมีรอยช้ำหรือบวมหลังการร้อยเพียงเล็กน้อย สำหรับเส้นไหมที่มีใช้ในโปรแกรม Turbo Lift มีความพิเศษมาก เพราะเป็นเส้นไหมที่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นเส้นไหมเย็บชนิดละลายผลิตจาก Polypropylene มัดเป็นปม และระหว่างปม จะมีกรวยรูปร่างคล้ายกรวยไอศรีม จึงนิยมเรียกอีกชื่อว่า “ไหมกรวย”ส่วนที่เป็นกรวยสามารถละลายได้เช่นเดียวกัน ผลิตจาก Lactide/Glycolide มีใช้ทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี ในการผ่าตัดหัวใจ ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ (Biocompatibility) ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก โดยเส้นไหมละลาย และกรวยจะค่อยๆ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง

นอกจากจะเห็นผลทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก ปัจจุบันจึงได้รับความนิยมมากกว่าไหมประเภทอื่น

ผลที่ได้จากการรักษาด้วย Turbo Lifting เป็นอย่างไร

หลังการร้อยไหมกรวย หรือไหมซิลลูเอท (Silhoutte) ผิวหน้าจะยก ตึงกระชับขึ้นทันทีหลังการรักษา และผิวจะค่อยๆ กระชับขึ้นอีกอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน

มีความปลอดภัยแค่ไหน

โปรแกรม Turbo Lift มีความปลอดภัยสูง กรวยละลายตามธรรมชาติไม่มีสารตกค้าง ได้รับการรับรองจาก อย. เรียบร้อยแล้ว

ผลการรักษาอยู่ได้นานแค่ไหน

ระยะเวลาที่เห็นผลชัดเจนที่สุดคือเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ผิวจะดูกระชับขึ้นเรื่อยๆ และสามารถคงสภาพได้นานประมาณ 2-3 ปี

ข้อจำกัดหรือข้อควรปฏิบัติก่อนการรับการรักษา มีอะไรบ้าง

ไม่ควรรับประทานอาหารเสริมกลุุ่ม Fish Oil หรือ Primrose และห้ามรับประทานยาลดการอักเสบ หรือ แอสไพริน ก่อนการรักษา 1 สัปดาห์

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร

ทำความสะอาดทั่วใบหน้าตามปรกติ ทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 60 นาที ฉีดยาชาเฉพาะที่ และเริ่มร้อยไหมในตำแหน่งที่ต้องการรักษา การร้อยไหม Turbo Lift ไม่มีแผลเปิดแต่อย่างใด ผู้รับการรักษาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังการรักษา

การร้อยไหมกรวย Turbo Lift หรือไหมซิลลูเอท (Silhoutte) นั้น จะเริ่มร้อยจาก Temperal area (ขมับ) เพื่อเป็นจุดตั้งต้น หรือจุดยึด จากนั้นจะแทงเข็มตรงผ่านมาในระดับไขมันใต้ผิวหนัง จนมาถึงบริเวณร่องแก้ม ต่อจากนั้นจึงค่อยๆ รูดผิวหนังย้อนรอยขึ้นไป เพื่อให้ Cone ที่อยู่ในเส้นไหมแขวนผิวหนังไว้ด้านบน (Mechanic lift) แล้วซ่อนใว้ตรงไรผม เพื่อดึงเนื้อด้านร่องแก้มให้ตึงขึ้น ไหมชนิดนี้มีความสามารถในการดึงใบหน้าให้ตึงได้ค่อนข้างดีมาก เพราะคุณหมอจะยึดตรีงไว้บริเวณขมับ เส้นไหมจะมีแนวรั้ง ไม่ใช่การแขวนอยู่ใต้ชั้นผิวลอยๆ เหมือนวิธีอื่นๆ โดยเส้นไหมละลาย และกรวยจะค่อยๆ ละลายไปภายใน 6-8 เดือน ไม่เหลือตกค้างให้เกิดผลข้างเคียงภายหลัง

นอกจากจะเห็นผลทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก ปัจจุบันจึงได้รับความนิยมมากกว่าไหมประเภทอื่น

ขณะร้อยไหม Turbo Lifting จะรู้สึกอย่างไรบ้าง

การรักษาจะมีการให้ยาชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการร้อยไหม อาจรู้สึกตึงๆ ในจังหวะของการดึงเส้นไหม เพื่อยกกระชับผิว

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน

ประมาณ 30นาที ถึง 2ชม ขึ้นกับบริเวณที่ร้อย และจำนวนเส้นไหมที่ร้อย

รูป ก่อน – หลังร้อยไหมกรวย Turbo Lift


Filler (ฟิลเลอร์) คือสารเติมเต็มชนิด Hyaluronic คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะอ่อนแอ แห้ง และบางลง ก่อให้เกิดริ้วรอย จนทำให้เกิดร่องลึก ณ จุดสำคัญๆบนใบหน้า เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณสาร Hyaluronic ตามธรรมชาติที่มีอยู่ใต้ผิวหนังจะลดลง การเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ ซี่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ใต้ผิวหนังอยู่แล้วถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากวิธีหนึ่ง โดยแพทย์จะฉีดเพื่อเติมเต็มหลุมร่องลึก ทำให้ผิวบริเวณที่มีปัญหา เต็มและเต่งตึงขึ้น รอยริ้วต่างๆ จางลง

ผลที่ได้จากการรักษาด้วย FILLER เป็นอย่างไร

ผิวกระชับ ริ้วรอยจางลง ใบหน้าได้รูป ผิวบริเวณทีรักษาเต็ม และตึงตัวขึ้น

Filler ร่องแก้ม


Before                  After

Filler จมูก

Before                After

Filler ใต้ตา

Before                 After

FILLER สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

ร่องน้ำตาลึก รอยตีนกา และรอยคล้ำใต้ตา
ริมฝีปากเหี่ยวย่น ขอบปากไม่ชัด มุมปากตก Filler จะช่วยให้รูปปากดูอวบอิ่ม เรียบเนียน
ริ้วรอยร่องแก้ม
ยกกระชับใบหน้า ช่วยให้ผิวมีการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน
เติมสันจมูก ปรับรูปจมูก เติมปลายจมูกหยดน้ำ
ปรับแต่งรูปหน้า เติมโหนกแก้ม เพื่อให้หน้ามีมิติมากขึ้น

เมื่อไรจึงจะเห็นผล และผลการรักษาด้วย FILLER อยู่ได้นานแค่ไหน

หลังฉีด Filler ไปประมาณ 1-2 วันจะเริ่มเห็นได้ว่าริ้วรอยลดลง ปริมาณเหงื่อลดลง จะเห็นได้ชัดว่าใบหน้ากระชับขึ้นหลังฉีดไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลการรักษาด้วย Filler อยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนการฉีดฟิลเลอร์ FILLER

ห้ามรับประทานยาลดการอักเสบ หรือ แอสไพริน ก่อนการฉีด 1 สัปดาห์

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ FILLER เป็นอย่างไร

เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นแพทย์จะทายาชาเพื่อลดความเจ็บในการฉีด หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะประคบเย็นแล้วแต่กรณี

ขณะฉีดฟิลเลอร์ FILLER จะรู้สึกอย่างไรบ้าง

อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยบางบริเวณ ไม่มากเหมือนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และเนื่องจาก filler ตัวใหม่ๆ มียาชาผสมอยู่แล้ว จึงช่วยลดอาการเจ็บได้มากทีเดียว

ในการฉีดแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน

ประมาณ 15-45 นาทีแล้วแต่บริเวณรักษา

ต้องฉีดกี่ครั้งจะเห็นผล

การฉีด Filler จะเห็นผลในครั้งแรก และสามารถฉีดเพิ่มได้เมื่อ 2 สัปดาห์ผ่านไปในกรณีที่ผลการรักษาไม่เป็นที่พอใจของผู้รับการรักษาและแพทย์มีความเห็นตรงกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะทำการรักษาครั้งต่อไปเมื่อ Filler หมดฤทธิ์คือประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี

ต้องรักษาบ่อยแค่ไหน

เนื่องจาก Filler จะค่อยๆสลายตัวและถูกขับออกจากร่างกาย เช่นเดียวกับยาและสารบำรุงอื่นๆ จึงต้องรับการฉีดซ้ำอีกภายใน 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อไม่ให้ริ้วรอยกลับคืนเหมือนเดิม

หลังการฉีด FILLER ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 3 วัน หลังการฉีด
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือสัมผัสความร้อนจัด เช่น ซาวน่า ฮอตสปา 3 วันหลังการฉีด

ผลข้างเคียงจากการรักษา

จากรายงานพบผลข้างเคียงจากการฉีด Filler มีน้อยมาก อาจเกิดในบางรายเท่านั้น เช่น บวม เจ็บ ปวด ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเอง

รูปก่อนหลัง การรักษาด้วย Filler

ปากกระจับ


ฟิลเลอร์ขมับ เพื่อปรับรุปหน้า


ฟิลเลอร์ขมับ ปรับโครงหน้า


ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้าคาง

Dual Yellow เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในการดูแลรักษาผิวหน้า โดยผสมผสาน 2 เลเซอร์ เพื่อทำหน้าที่ช่วยจัดการในเรื่องริ้วรอย ปัญหาเรื่องสีผิว รอยคล้ำ และแผลเป็นชนิดต่างๆ ไปพร้อมกัน

Dual Yellow ของ The Face Aesthetic เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ได้อัพเดท softwear ในปี 2018 โดยพัฒนาหัวทิปใหม่ล่าสุด 5 mm ที่คลอบคลุมพื้นที่ทำการรักษามากขึ้น ได้พลังงานสูงขึ้น โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ คนไข้จะรู้สึกสบาย แต่ได้ผลลัพท์ชัดเจนมากขึ้น สำหรับเครื่อง Dual Yellow รุ่นล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยีของการปล่อยพลังงานแสงเลเซอร์ที่เรียกว่า Fast Edge MicroPulses หรือ FEM technology คือ เทคโนโลยีที่ให้พลังงานเลเซอร์สูงสุดที่ 3 กิโลวัตต์ (kW) ในระยะเวลา (pulse duration) สั้นๆ ทั้งหมด 22,000 pulses/วินาที ทำให้เกิดกระบวนการ Photo Chemical Effect ใต้ผิวเพื่อไปทำลายเม็ดสีดำ (Melanin) และรอยแดง โดยไม่ทำให้เกิด Thermal Damage ทำให้ผิวรอบข้างไม่เสียหายจาก เลเซอร์

มีหลักการทำงานอย่างไร?

Dual Yellow ใช้ Copper – Bromide มาเป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน ซึ่งให้แสงเลเซอร์ออกมา 2 ชนิด คือ

1. เลเซอร์แสงสีเหลืองความยาวคลื่น 578 nm. มีคุณสมบัติในการกำจัดเม็ดสีอ๊อกซี่ฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) ที่เป็นต้นเหตุของรอยแดง รอยเส้นเลือด จึงทำให้รอยแดงจางลง และยังช่วยรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดได้ นอกจากนี้ยังสามารถรักษาสิวอักเสบได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ P. acnes และยังทำให้ต่อมไขมันในชั้นผิว (Sebaceous gland) หดเล็กลง ส่งผลให้มีการผลิต sebum ลดลง จึงช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดีรวมทั้งยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของผิว ทำให้รูขุมขนกระชับ ลดเลือนริ้วรอยโดยไม่ทำอันตรายแก่ผิวหนังชั้นบน จึงไม่เกิดบาดแผลหรือจ้ำเลือดภายหลังการรักษา

2. เลเซอร์แสงสีเขียวความยาวคลื่น 511 nm. มุ่งตรงไปยังเม็ดสีเมลานิน (Melanin) จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาความผิดปกติของเม็ดสีส่วนเกินในผิวหนังชั้นบน ทำให้จุดด่างดำจางลง รวมถึงกระ ฝ้าและความหมองคล้ำของผิวดีขึ้น แต่ไม่ทำให้ผิวรอบข้างเสียหาย ทำให้ผิวขาว ใส รอยแดง เส้นเลือดฝอยจางลง มากกว่าการทำ IPL ถึง 10 เท่า และช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นทันทีหลังรับการรักษาในครั้งแรก

นอกจากนี้ Dual Yellow ยังสามารถปรับให้แสงเลเซอร์ออกมาพร้อมกันทั้ง 2 ชนิด จะให้เลเซอร์ที่มีพลังงานสูงมากพอที่จะกำจัดตุ่มเนื้องอกบางชนิดได้ สุดท้ายจากการผสมผสานการใช้เทคโนโลยี Fast Edge Micropulse จะมีผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัง ทำให้ช่วยป้องกัน และรักษาริ้วรอยของผิวหน้าได้ รวมถึงจัดการ ไฝแดง ปานแดง เส้นเลือดฝอย ติ่งเนื้อ ไฝ เนื้องอกใต้ตา รอยจุดด่างดำ ฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพดีกับทุกสีผิว

สรุปว่า DUAL YELLOW ทำอะไรได้บ้าง

  • ริ้วรอย โดยเฉพาะ รอยขมวดคิ้ว รอยบนหน้าผาก ตีนกา รอยใต้ตา ร่องแก้ม
  • รอยแดงและเส้นเลือด เช่น รอยสิว ไฝแดง ปานแดง เส้นเลือดฝอย
  • กระ ฝ้า ปานดำ รอยแผลเป็นสีดำต่างๆ
  • ติ่งเนื้อ ไฝ เนื้องอกใต้ตา หูด
  • รอยแตกลาย ท้องลาย
  • รอยแผลผ่าตัดและรอยแผลอุบัติเหตุ
  • สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ

ถ้าเทียบกับ IPL หรือเลเซอร์ตัวอื่น ในการรักษาฝ้า DUAL YELLOW ดีกว่ายังไง

Dual Yellow laser มีประสิทธิภาพที่มากกว่า IPL ถึง 10 เท่า เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ได้รับการยอมรับให้เป็น Gold Standard สำหรับ Melasma Treatment เนื่องจาก Dual Yellow Laser สามารถผลิตแสงเลเซอร์ได้ถึง 2 ชนิด ซึ่งช่วยรักษาความผิดปกติของเม็ดสี (Melanin) และรักษาความผิดปกติของเส้นเลือด ใช้ในการรักษารอยแดงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ Dual Yellow ยังสามารถเลือกให้ปล่อยแสงเลเซอร์ทั้ง 2 ชนิดออกมาพร้อมกันได้อีกด้วย จึงทำให้มีประสิทธิภาพในการรักษาเพิ่มขึ้น ช่วยลด VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี (Melanin) ใต้ผิว ทั้งยังลดเส้นเลือด และเม็ดสี (Melanin) ที่เป็นปัจจัยหลักของการเกิดฝ้า
ทำให้ลดโอกาสเกิดการกลับมาเป็นใหม่ของฝ้า และลดฝ้าที่เกิดจากเส้นเลือดได้ดีมากอีกด้วย

DUAL YELLOW ปลอดภัยหรือไม่?

เครื่อง Dual Yellow เป็นเทคโนโลยีใหม่ของบริษัทนอร์เซลด์ แห่งประเทศออสเตรเลีย ผู้ผลิตเลเซอร์รักษากระฝ้า หน้าใส เส้นเลือดขอดต่างๅ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
Dual Yellow lase rเป็นเลเซอร์ที่มีความจำเพาะเจาะจงสูง แสงเลเซอร์จะทำลายเฉพาะเป้าหมายที่เจาะจง ไม่มีผลต่อผิวหนังปกติด้านข้าง จึงไม่ค่อยพบผลข้างเคียงเช่น แผล จ้ำเลือดและสีผิวที่เปลี่ยนไป อีกทั้ง Dual Yellow laser ยังสามารถรักษาได้ทุกสีผิวได้อย่างปลอดภัย และยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และประเทศไทย เรียบร้อยแล้ว ทำให้มั่นใจได้ ว่ามีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด

ต้องทำการรักษาอย่างไร กี่ครั้ง?

โดยปกติแล้ว ผลการรักษา สามารถเริ่มสังเกตุเห็นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษา แต่ในกรณีที่มีรอยชัดมาก หรือเป็นมานาน แนะนำทำการรักษาต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง

ขั้นตอนการทำ เป็นอย่างไร?

Dual Yellow มีความปลอดภัยมาก ไม่รุนแรงจึงไม่จำเป็นต้องทายาชาก่อน ระหว่างการรักษา จะรู้สึกเหมือนเข็มแตะที่ผิวเบาๆ และภายหลังการรักษาผิวหน้า อาจจะรู้สึกอุ่นและแดงเล็กน้อย แต่จะหายไปได้เองหลังจากนั้น ปกติในการรักษารอยดำ รอยแดง และเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า ถ้ากำหนดพลังงานได้เหมาะสม น่าจะหายไปได้หมดในครั้งแรก แต่ถ้าเป็นการรักษาริ้วรอย รอยสิว รอยแตกลาย คงต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง และผิวจะค่อยๆ ดีขึ้น

DUAL YELLOW ภายหลังการรักษาต้องดูแลอย่างไร?

ส่วนมากกลับไปทำงานได้เลย ภายหลังการรักษา ถ้ามีอาการแสบร้อน ควรใช้ผ้าเย็นประคบไว้ก่อนจนดีขึ้น ควรจะทายากันแดดไว้ตลอดหลังการรักษา งดการขัดผิวหรือทายาที่แสบร้อน

 

 

CytoCare (ไซโตแคร์) ที่สุดของอาหารผิว

CytoCare หรือที่เรารู้จักกันว่า Skin Booster มันคือสารอะไรกันแน่ ??? แล้วดียังไง??? วันนี้มาดูกันครับ

ส่วนประกอบหลักๆ ของ CYTOCARE (ไซโตแคร์)

ประกอบด้วย

  • กรดไฮยาลูโรนิก และมีอาหารผิวมากมายกว่า 53 ชนิด ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ
    กรด Free Hyaluronic acid (Bio Revitalisation) มากถึง 32 mg ต่อ 1 Vial
  • กรดอะมิโน เปปไทด์
  • วิตามินนานาชนิด
  • Co Q10
  • กรดนิวคลิอิก
  • สารต้านอนุมูลอิสระ
  • แร่ธาตุที่จำเป็นต่อ Cell ผิว

รูปแสดงสารอาหารผิวใน cytocare

CYTOCARE ช่วยเรื่องอะไร

ด้วยส่วนประกอบที่มีประโยชน์มากมาย คุณสมบัติของมันจึงช่วยรักษาสมดุลผิวทางชีวภาพ คืนความชุ่มชื้นให้ผิว รวมไปถึงป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น ช่วยลดการเสื่อมสภาพในระดับโมเลกุลของผิว เสมือนการเกิดใหม่ของ ASC stemcell ที่ผิว และปรับโครงสร้างผิวใหม่ สรุปเป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายนะครับ

  1. กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เหมือนผิวเด็กกรดอะมิโนเป็นตัวสร้างการสังเคราะห์โครงสร้างโปรตีนภายในเซลล์ที่มีอยู่รวมถึงการสร้างเซลล์ใหม่
  2. ฟื้นฟูผิวที่ขาดน้ำ หมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ริ้วรอยแห่งวัยให้เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน
  3. สร้างคอลลาเจน เร่งผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ปกป้องผิวจากแสงแดด , ฝุ่นควัน, ฯลฯ
  4. ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น ทำให้ผิวไม่เสื่อมก่อนวัยอันควร
  5. วิตามินและเกลืออนินทรีย์ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของจุลภาคการหายใจด้วยเซลล์และการแลกเปลี่ยนสารอาหาร
  6. DMAE ช่วยกระตุ้นการทำงานของ fibroblast และ myofibroblasts ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ใหม่
  7. ยับยั้ง phosphodiesterase ช่วยให้ผล lipolytic ของผลิตภัณฑ์จำนวนมาก


CYTOCARE ปลอดภัยแค่ไหน

ไซโตแคร์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาหารผิวที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม ประกอบด้วยสารที่ธรรมชาติที่โดยปกติแล้วร่างกายเราสร้างขึ้นเองได้ทั้งสิ้น และยังเป็นทรีทต์เม้นต์ที่ผ่านการรับรอง และทดสอบประสิทธิภาพทางการแพทย์ของฝรั่งเศส (Laboratory of skin subsititutes – Department of plastic surgery civil hospices of Lyon – Hospital complex Edouard Herriot, France) ปลอดภัย 100% ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ใดๆ รวมทั้งได้รับการรับรองมาตรฐานจากยุโรป CE , ISO 13485 เพราะฉะนั้นเรามั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้ครับ


เหมาะกับใคร และไม่เหมาะกับใครบ้าง

Cytocare เหมาะกับผู้ที่ผิวแห้ง ไม่สดใส มีปัญหาริ้วรอยบางๆ ครับ
และไม่เหมาะกับ บุคคลที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือบุคคลที่แพ้กรดไฮยาลูโรนิคครับ

ทำบริเวณไหนได้บ้าง

สามารถทำทรีทเม้นต์ ได้แทบทุกจุดที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื่นครับ
สำหรับผิวโดยรวม – เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน ผิวสว่างใส ดูมีออร่า
หน้าผาก – ช่วยลดริ้วรอยเส้น บางๆ บริเวณหน้าผาก ทำให้ผิวเรียบเนียน
รอบดวงตา – ลดรอยคล้ำใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา
รอยหลุมสิว – ทำให้หลุมสิวดูตื้น เรียบเนียนขึ้น
รอบริมฝีปาก – ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณริมฝีปากลดเลือนลง
คอและเนินอก – ลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียนขึ้น
หลังมือ – ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียน และกระชับ

ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

โปรโตคอลที่แนะนำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือ 4 ครั้งโดยใช้ช่วงเวลา 2-3 เดือน จากนั้นจึงบำรุงรักษาผลลัพธ์ตามระยะเวลา 1 ครั้งทุกๆ 3 เดือน ซึ่งโปรโตคอลสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอายุของผิว และปัญหาของผิวครับ
แต่โดยปกติแล้ว หลังทำ 2-3 วัน จะรู้สึกครับว่าผิวดูชุ่มชื่นขึ้น มีสุขภาพดีที่สุด แต่งหน้าง่ายขึ้น หน้าไม่มัน และเมื่อทำครบเซสชั่น ว่าเห็นผลได้นานถึง 2 เดือนครับ

ผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์นี้มีอะไรบ้าง?

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้เช่นเดียวกับการฉีดทั่วๆ ไปครับ มากที่สุดอาจมีอาการบวมแดงและอาการบวมเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีดยา 2-3 วัน ครับ

ทำไมทำแล้วไม่เห็นผล

หลายท่านเคยถามหมอว่าทำไมทำแล้วยังรู้สึกไม่แตกต่าง คงต้องถามกลับครับ ว่าทำครบ session หรือเปล่า แล้วทำครบ 2 เดือนแล้วยังครับ เพราะกระบวนการสร้างคอลลาเจน จะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนครับ
อีกปัจจัยที่ค่อนข้างมีผล คือเทคนิคการฉีดของคุณหมอครับ เพราะปกติถ้าไม่เน้นปัญหาแต่ละจุด คุณหมออาจจะฉีดพรมทั้วหน้า แต่ปกติแล้วในแต่ละจุดก็จะมีเทคนิคแตกต่างกันครับ อย่างที่หมอฉีดจะเลือกดูว่าบริเวณไหน ควรใช้เทคนิคไหน อย่างแถวหางตา เราจะต้องฉีดเป็น Fan injection หน้าผากจะฉีด Retrotracing ส่วนมุมปากควรเป็ฯ cross hatching และแก้มหมอจะดูปัญหาว่าควรเป็นแบบ point by point หรือ Nappage ครับ

 

ภาพแสดงผิวก่อนและหลังการฉีด Cytocare



MADE COLLAGEN
MADE COLLAGEN

ล้างพิษ กับ 16 จุด แบบฮมีโอพาธีย์ Homeopathy

ฉีดมาเด้ คอลลาเจน หน้าใส เงาวิ้ง ดูเปล่งประกายมีออร่า

รู้จักกับโฮมีโอพาธีย์ Homeopathy

Homeopathy คือหลักการรักษาโดยใช้สิ่งที่คล้ายกันมารักษาสิ่งที่คล้ายกัน หรือที่เรียกว่า “หนามยอกเอาหนามบ่ง” เพราะฉะนั้นสำหรับ Homeopathy ถ้าเป็นโรคอะไรก็จะใช้สิ่งนั้นรักษา เช่น แพ้ปรอทก็จะใช้ปรอทในปริมาณน้อย ๆ รักษา

หลักการรักษาโดยการใช้สารธรรมชาติมากระตุ้นให้ร่างกายรักษานี้ เป็นศาสตร์การบำบัดมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมัน โดยการค้นพบของนายแพทย์ ซามุเอล ฮาเนมัน (Dr.Samuel Hanemann) มีอายุมากกว่า 200 ปี เน้นแนวธรรมชาติบำบัด ที่ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ทำให้ร่างกายได้รับสารเคมี ไม่ทำให้เป็นพิษ โดยตัวโฮมีโอพาธีย์ มีสารที่อ่อนโยนต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้ผิวแข็งแรง โดยเฉพาะขบวนการกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นฟู เยียวยา อาการเจ็บป่วยด้วยตนเอง นอกจากโฮมีโอพาธีช่วยในการรักษาโรคแล้ว ยังช่วยในการดูแลเรื่องน้ำหนัก กระชับสัดส่วนและเรื่องความงามอีกด้วย

การรักษาแบบนี้ มีข้อดียังไง

หัวใจของโฮมีโอพาธี คือจะเน้นที่การฟื้นฟูบำบัดสมดุลพลังงานร่างกาย โดยอิงหลักการทำงานตามธรรมชาติ ของร่างกาย ที่ต้องพึ่งพาพลังงานภายในร่างกาย ในการปรับ ฟื้นฟูตัวเอง คือดีจากภายในแล้วค่อย ๆ สวยเปล่งปลั่งไปที่ภายนอก เช่น หากพลังงานในร่างกายเราสมดุลระบบภูมคุ้มกันก็จะสูงตามไปซึ่งจะทำให้เรา ไม่แพ้ง่าย ไม่เป็นสิว หรือไม่เป็นแผลเป็นหรือรอยดำ เป็นต้น ดังนั้น โฮมีโอพาธี จึงเสมือนการรักษาที่หวังผลในระยะยาว และเป็นการล้างสารพิษที่ร่างกาย หรือผิวได้รับสะสมมา เพื่อความแข็งแรงของผิว อย่างยั่งยืน

มาเด้ คืออะไรกันแน่

มาเด้ คือสูตรผสมของสารสะกัดจากธรรมชาติที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลส์บำบัดมีทั้ง พลาสเซนต้า และคอลลาเจน โดยสารทั้งหมดจะต้องผ่านขบวนการเตรียมสูตรยาแบบ โฮมีโอพาธีย์ เป็นศาสตร์การบำบัดที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมันนี โดยการค้นพบของนายแพทย์ ซามุเอล ฮาเนมัน มีอายุกว่า200ปึ โดยการทำให้สารนั้นๆ เจือจางลงตามสูตรยาก่อน จึงทำให้ได้ผลการรักษาที่ดี และไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งก็เป็นหลักการที่คล้ายการฉีดวัคซีนนั่นเอง

MADE COLLAGEN ช่วยบำบัดริ้วรอยอย่างไร

MADE collagen จะช่วยบำบัดริ้วรอยที่ต้นกำเนิดของริ้วรอยนั้นๆ โดยสูตรยาจะช่วยกันออกฤทธิ์ อย่างเป็นขบวนการและเป็นจังหวะ เพราะจะฉีดตามจุดของการฝังเข็มตามตำแหน่งต่างๆ 16 จุดทั่วใบหน้า ในปริมาณ 4 ซี.ซี. เพื่อกระตุ้นให้ออกฤทธิ์และเห็นเอฟเฟ็กต์ทั้งใบหน้า

ตัวยาแต่ละตัวจะออกฤทธิ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน จึงทำให้ผลการบำบัดออกมาดีที่สุด โดยหลักๆแล้ว จะออกฤทธิ์เป็น 4 จังหวะ ดังนี้คือ

  1. Detoxification คือการเร่งการขับสารพิษและของเสียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยออกจาร่างกาย โดยการกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆที่ทำหน้าที่ในการขับถ่ายอย่างเช่นตับ ไต ลำไส้ และต่อมน้ำเหลืองเป็นต้น ขบวนการนี้เป็นขบวนการท่ำจำเป็นอย่างมากต่อการบำบัดรักษาโรค เพราะถ้ามีสารพิษและของเสียต่างๆตกค้างอยู่ในร่างกายมาก จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ และทำให้เกิดอาการของโรคต่างๆ ได้ง่าย เมื่อมีของเสียอยู่ข้างในมาก ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึม สารอาหารใหม่ๆ เข้าไปหล่อเลี้ยงได้ เหมือนแก้วนำที่เต็มแล้วจะเติมน้ำอีกไม่ได้
  2. Metabolism คือการเร่งการเผาผลาญพลังงานและการไหลเวียนเลือด โดยขบวนการนี้ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งมากับเลือด ทำให้มีกำลังในการฟื้นฟูตัวเองได้
  3. Nutrients and Cell therapy คือสารอาหารและเซลส์เนื้อเยื่อในจำนวนที่พอเหมาะที่ร่างการต้องการ เพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่ดี
  4. Restructuring คือการปรับความสมดุลให้กับร่างกายใหม่ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง สามารถต่อสู้กับสาเหตุของโรคต่างๆนั้นได้ ทำให้ผิวสวยแข็งแรงไม่ถูกทำลายได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

เหมาะกับใครบ้าง

  • คนไข้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง ไม่ว่าจะมาจากปัญหาเรื่องสมดุลของฮอร์โมนผิดปกติ สามารถสังเกตได้จากว่าอายุมากแล้วแต่ก็ยังเป็นสิวอยู่ มาเด้ คอลลาเจน จะเข้าไปช่วย ในการปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆ
  • อาการแพ้เรื้อรังของคนไข้ที่มีปัญหาจำพวกผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การใช้ MADE collagen ก็จะเข้าไปช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่มากขึ้น ทำให้ผิวทนทานต่อสารที่ทำให้แพ้ต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • คนไข้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าฮอร์โมน บางคนจะได้ผลดีขึ้น เนื่องจากการใช้ MADE collagen เข้าไปตามจุดฝังเข็มก็จะช่วยในเรื่องการหมุนเวียนของเลือด และปรับสมดุลของฮอร์โมน ช่วยให้ฝ้าฮอร์โมนมีอาการดีขึ้นได้
  • ผู้ที่มีริ้วรอย โดยเป็นริ้วรอยที่เกิดจากการที่เรามีอายุมากขึ้น เซลส์ผิวหนังเสื่อมสภาพ และสารบางชนิดเช่น คอลลาเจน ไฮยาลูโรนิคเอซิด และ  fibroblast ถูกทำลาย เพราะฉะนั้นการฟื้นฟูสภาพผิวก็จะขึ้นอยุ่กับสุขภาพและอายุของแต่ละบุคคลด้วย อายุยิ่งน้อยยิ่งเห็นผลเร็ว เพราะสภาพเซลส์ยังดีอยู่ และไม่ต้องเวลานานในการฟื้นฟูและปรับสภาพ แต่ถ้าอายุมากขึ้น ก็ต้องใช้เวลามากขึ้นเช่นกัน
  • ใช้ได้แม้กระทั่งคนที่ไม่มีปัญหาสภาพผิวใดๆ แต่ต้องชะลอวัยและคงสภาพให้ผิวไม่หยาบกร้าน หรือหย่อนคล้อย เนื่องจากเป็นการช่วยกำจัดสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ เสมือนการให้อาหารผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่บ่อยขึ้น ช่วยให้ผิวสดใสเปล่งปลั่งขึ้น
  • ประโยชน์ทางอ้อม อีกอย่าง ของ MADE collagen คือช่วยให้มีสุขภาพดี ทำให้นอนหลับสบาย เพราะสารที่ฉีดไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว

16 เข็ม ฉีดกันอย่างไร

หลังจากประคบน้ำแข็งจนชาได้ที่แล้ว แพทย์ก็จะเริ่มฉีดตามตำแหน่งต่างๆ บนใบหน้า 16 จุด ตามศาสตร์การฝังเข็มของชาวจีน เช่น กลางหน้าผาก คาง หางคิ้ว ขมับ ฯลฯ แต่ข้อดีก็คือไม่มีผลข้างเคียง ไม่บวมแดงและไม่มีแผล

บำบัดต่อเนื่องกี่ครั้งจึงจะเห็นผล

ควรดูแลสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องติดต่อกันอย่างน้อย 7-10 ครั้ง เพื่อปรับสมดุลของเซลล์ผิว หลังจากนั้นให้ใช้เดือนละ 1-3 ครั้ง เพื่อเป็นการรักษาสภาพผิวที่ดีนั้นไว้อย่างยั่งยืน

มีการรักษาผิวด้วยเลเซอร์อยู่แล้ว จะทำได้มั้ย

การรักษาผิวด้วย MADE collagen เป็นการรักษาฟื้นฟูผิว เพื่อให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น เมื่อทำการรักษาอาการอื่น ด้วยเลเซอร์หรือทรีทเม้นต์อื่นๆ ก็จะช่วยให้ผิวตอบรับวิธีการรักษาอื่นๆ ได้ดีขึ้น หรือบางเคสที่รักษาสิวเรื้อรังด้วยการกินยา หรือทายาต่อเนื่อง อาจจะทำให้ผิวค่อนข้างบางและไวต่อแสง การที่ใช้ MADE collagen เข้าไปเสริมการรักษาสิวเรื้อรังแบบเดิมๆ ก็จะช่วยให้ผลข้างเคียงจากยา รักษาสิว น้อยลง ทำให้อาการผิวแห้งกร้านหายไป

นอกจากนี้การผลัดเซลล์ผิวที่เร็วขึ้น ก็จะช่วยให้ผิวของคนไข้ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น รอยแดงหรือรอยดำจากสิวก็หายเร็วขึ้นด้วย ด้วยหลักการในการผลิตตัวยามาเด้ คอลลาเจน เป็นพวกสมุนไพร จึงไม่ต้องกังวลใจในเรื่องอันตรายจากสารเคมีตกค้าง หรือใช้ส่วนผสมที่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน

Advance Rejuvenation Treatment คืออะไร

คือโปรแกรมการรักษาด้วยเทคโนโลยี Advance IPL (Intense Pulsed Light) คือ พลังงานแสงความเข้มสูง คล้ายแสงแฟลช ใช้ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง และรักษาริ้วรอยที่ถูกทำร้ายโดยแสงแดด และทำลายเซลล์ผิวหนัง แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนค้นพบ FPL (Fluorescent Pulsed Light) หรือ Advance IPL เป็น Technology ใหม่ล่าสุด เป็น IPL ที่ดีขึ้นโดยเพิ่มระบบ filters กรองช่วงคลื่นแสงที่ไม่ต้องการออกไป (harmful, blue light leakage) พลังงานแสงจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ และลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย โดยไม่ทำให้ผิวหนังบาดเจ็บและไม่ต้องพักฟื้น FPL จึงช่วยทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

รักษาอะไรได้บ้าง?

FPL ใช้รักษากระตื้นและรอยดำโดยการทำลายเม็ดสีที่เข้มผิดปกติให้หลุดลอกออก
ริ้วรอยเล็กๆ FPL จะกระตุ้นให้ผิวชั้นกลางสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาริ้วรอยเล็กๆ ก็จะลดลง
รอยแดง เส้นเลือดแดงฝอยเล็กๆ และฝ้าเส้นเลือด FPL จะทำลายเส้นเลือดฝอยเล็กและทำให้เส้นเลือดหดเล็กลง
รูขุมขนที่กว้างจะกระชับเล็กลง
ปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดความหมองคล้ำ ผิวขาวใสขึ้น

ข้อจำกัดหรือข้อควรปฏิบัติก่อนการรับการรักษา มีอะไรบ้าง?

FPL สามารถรักษาได้ทุกบริเวณของร่างกาย เช่น ใบหน้า คอ อก แขน มือ หลัง ขา รักแร้ หลักการทำงานจะเป็นการจับกับเม็ดสี ทำให้มีข้อจำกัดในการรักษาในบริเวณที่ผิวมีสีเข้มมาก ผู้ที่มีผิวสีเข้ม-ดำ สำหรับ IPL แบบเก่า แต่สำหรับ FPL แล้วจะไม่มีข้อจำกัดในส่วนนี้ ยกเว้นผู้ที่กลับจากการอาบแดดหรือผิวไหม้แดดมาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ไม่สามารถทำการรักษาได้ด้วย IPL เพราะอาจทำให้ผิวไหม้ได้

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

การรักษาเริ่มจากนำเจลเย็นมาทาตรงบริเวณที่จะรักษา และสวมแว่นดำเพื่อป้องกันแสงจ้าที่เกิดจากเครื่อง FPL แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะกำหนดพลังงานแสงที่ตรงกับปัญหาที่ต้องการรักษา แล้วนำหัว FPL มาวางทาบบริเวณที่รักษา และ ปล่อยลำแสงออกมา แสงที่ออกมาจะมีความจ้ามากคล้ายกับแสงแฟลชถ่ายภาพ

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ขณะที่แสงถูกปล่อยออกมา จะรู้สึกเหมือนถูกหนังยางดีดเบาๆ และอุ่นเล็กน้อยบนผิว การทำการรักษาด้วย FPL ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดจึงไม่จำเป็นต้องทายาชา

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

การรักษาอาจใช้เวลาตั้งแต่ 15-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

ส่วนใหญ่การรักษาควรต่อเนื่องตั้งแต่ 4 – 6 ครั้ง เดือนละครั้ง โดยทั่วไปหลังการรักษาเพียงครั้งเดียวจะรู้สึกได้ว่า ผิวเรียบขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น รอยดำและรอยแดงจางลง หลังการรักษาประมาณ 4 – 6 ครั้ง รอยแดงและรอยดำรวมทั้งกระตื้นจะจางลงอย่างเห็นได้ชัด สีผิวสม่ำเสมอและเนียนใส

ผลข้างเคียงจากการรักษา

การรักษาด้วยวิธีนี้มีความปลอดภัยสูงผลข้างเคียงที่พบในผู้รับการรักษาบางราย เช่น หลังทำจะรู้สึกร้อนที่ผิวประมาณ 20-30 นาที มีรอยแดงบางบริเวณซึ่งจะหายไปในเวลา 2–3 ชั่วโมง
หลังทำการรักษาด้วย FPL ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดประมาณ 1 สัปดาห์และควรทายากันแดดเป็นประจำ

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Golden Miracle Face คืออะไร

เป็นการบำรุงผิวและเพิ่มสารอาหารให้กับผิวด้วย Vitamin มากกว่า 5 ชนิด และขั้นตอนการบำรุงมากถึง 7 ขั้นตอน

ผลที่ได้จากการทำ Treatment เป็นอย่างไร?

  • ผิวใสและสดชื่นขึ้น
  • ความหมองคล้ำลดลง
  • ลดและป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ
  • ลดปัญหาผิวไวต่อแดด
  • ผิวมีสุขภาพดีขึ้นและใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

1. deep cleansing เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก เสมือนการ detox ผิว
2. super bright เป็นการผลักวิตามิน C ลงสู่ผิว
3. boost up collagen ผลักคอลลาเจน เพิ่มความกระชับ ยืดหยุ่นให้ผิว
4. melanin block ปกป้อง และเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวจากการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ
5. lifting mask มาส์กหน้าด้วยสารสกัดเข้มข้น Hyaluronic ช่วยเติมเต็ม และซ่อมแซมผิว
6. whitening mask มาส์กหน้าด้วยสารสกัดเข้มข้น Arbutin และ licorice เป็นที่ยอมรับในเรื่องการช่วยให้ผิวกระจ่างใส
7. eyes mask มาส์กบริเวญรอบดวงตา เพิ่มความชุ่มชื่น และเติมเต็มน้ำให้ผิว ทำให้ริ้วรอยเล็กๆ บริเวณรอบดวงตาจางลง
8. eye deep repair หลังจาก มาส์กรอบดวงตาแล้วบำรุงเพิ่มด้วยสารสกัดที่มีประโยชน์ ช่วยลดรอยดำ คล้ำใต้ตา
9. moisturizer plus บำรุงทั่วหน้าด้วย vitamin B3 ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว เร่งการขจัดสารอนุมูลอิสระออกจากผิว ทำให้ผิวกระชับยิ่งขึ้น
10. complete sun block ในขั้นตอนสุดท้าย จะเป็นการปกป้องผิวจากแสงแดด ได้มากถึง 30 เท่า และสามารถควบคุมความมันบนใบหน้า พร้อมเผชิญมลภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน”

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

สบายและผ่อนคลาย

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

ประมาณ 1 ชม

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา ผิวจะสดชื่นและใสขึ้นหลังการทำและจะเห็นได้ว่าหลังโดนแดดจัดผิวก็ยังใสและไม่คล้ำง่ายอย่างเคย

ระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้งนานแค่ไหน?

ระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

MELASMA & DARK SPOT REMOVAL คืออะไร

คือการรักษา กระ ฝ้า รอยดำ ที่ผิวหนัง หรือลบรอยสัก โดยเครื่องเลเซอร์ที่ทันสมัย เหมาะสำหรับรักษาปัญหา ฝ้า กระลึก เรียกว่า Q-switch ซึ่งไม่เหมือน IPL ที่แทบจะไม่ช่วยเรื่องการรักษาฝ้า และกระซักเท่าไร  โดย Q-switch Laser จะให้เลเซอร์ออกมา 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นเลเซอร์ความยาวคลื่น 532 nm. ซึ่งจะมีผลทำลายต่อเม็ดสีที่มีอยู่ในชั้นตื้น เช่น ที่พบใน กระ ฝ้า ส่วนเลเซอร์ชนิดที่ 2 เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 nm. ซึ่งจะมีผลต่อเม็ดสีของผิวหนังด้านล่าง เช่น กระลึก แผลเป็น รอยสัก แต่ไม่ทำให้ผิวด้านบนเสียหาย โดยช่วงเวลาการปล่อยแสงนั้นสั้นมาก (6ns) จึงมีประสิทธิภาพสูงในด้าน photoacoustic effect (พลังงานแสงถูกกลืนโดยตัวดูดแสงแล้วสะสมแผ่เป็นความร้อนออกมา) ไม่ทำลายเนื้อเยื้อโดยรอบ ผลลัพธ์ที่ได้คือเม็ดสีที่ไม่ต้องการจะเกิดการแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กและถูกขจัดออกจากร่างกาย ผ่านขบวนการ phagocytosis ตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย โดยความยาวคลื่นที่ต่างกันก็จะรักษาปัญหาเม็ดสีที่แตกต่างกัน

รักษาอะไรได้บ้าง?

ใช้ในการรักษาฝ้า กระตื้น กระลึก รอยดำ รอยแดง ปานดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ร้อยไหม้ดำจากแสงแดด ลบรอยสัก

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

การรักษาเริ่มจากนำเจลเย็นมาทาตรงบริเวณที่จะรักษา และสวมแว่นดำเพื่อป้องกันแสงจ้าที่เกิดจากเครื่อง
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะกำหนดพลังงานแสงที่ตรงกับปัญหาที่ต้องการรักษา แล้วปล่อยคลื่นแสงที่มีพลังงาน ออกมาเป็นอนุภาคเล็กมากๆ แต่ละจุดที่ปล่อยจะเรียกว่า Microthermal Treatment Zone (MTZ) โดยจะปล่อยประมาณ 1,250-2,500 จุดต่อบริเวณผิว 1 ตร.ซม. ทำให้มีการทำลายเซลล์ผิวที่ผิดปกติ (เม็ดสีเมลานีน) ทำให้แตกกระจายเป็นจุดเล็กๆ มากๆ จนตาเปล่ามองไม่เห็น จากนั้นเม็ดเลือดขาวในร่างกาย ก็จะทำการย่อยสลายเม็ดสีดังกล่าว ด้วยวิธี Phagocytosis (กลืนกินให้ย่อยสลายไป) กระ ฝ้าก็จะค่อยๆ จางหายไป และเซลล์ผิวดีที่อยู่รอบข้าง จะเป็นตัวซ่อมแซมให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ขึ้นมาแทนที่ภายใน 24 ชั่วโมง วิธีนี้ยังช่วยเรื่องรอยแดงที่เกิดจากการทายากลุ่มไฮโดรควิโนนนานๆ (Telangiectasia) ให้ดีขึ้นหรือจางหายได้เช่นกัน

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

การรักษาด้วยเลเซอร์ Q-switch ไม่จำเป็นต้องทายาชา แพทย์จะใช้การเป่าลมเย็น (cooling) เพื่อลดความรู้สึก ขณะทำการรักษาผู้รับการรักษาจะรู้สึกเจ็บบ้างบางบริเวณ หลังการทำผิวหน้าจะมีสีอมชมพู และจะหายไปภายสใน 1 ชม.

ทำไมหลังการทำรู้สึกว่าผิวดีขึ้น

ผลพลอยได้สำหรับการทำเลเซอร์ Q-switch อีกอย่างคือทำให้ผิวดูเรียบเนียน เพราะเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1064 nm เป็นชนิดที่สามารถทะลุลงได้ถึงผิวชั้นหนังแท้ เพื่อใช้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิวชั้นบนใช้ในการรักษาริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียน รอยแผลเป็นสิว ดูตื้นขึ้น

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

การรักษาอาจใช้เวลาตั้งแต่ 15 – 45 นาที ขึ้นอยู่กับลักษณะของฝ้า กระ และบริเวณที่ทำการรักษา

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

ส่วนใหญ่การรักษาต้องทำมากกว่า 3 ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน สำหรับกระลึกหลังทำการรักษา สีของกระจะเข้มกว่าเดิมอยู่ประมาณ 2-4 อาทิตย์ แล้วค่อยๆ จางลง การยิงซ้ำครั้งที่ 2 จะทำหลังจาก 2-4 อาทิตย์ การทายาร่วมด้วยจะทำให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น จำนวนครั้งที่แน่นอนนั้นแพทย์จะดูจากผลการรักษาครั้งแรกหลังจากผ่านไป 2-4 อาทิตย์ และจะพิจารณาว่าจะทำการรักษาซ้ำกี่ครั้ง อย่างไร

ผลข้างเคียงจากการรักษา

หลังทำการรักษา ผิวอาจมีรอยแดงอยู่ประมาณ 30-60 นาที อาจจะมีอาการบวมแดงร่วมด้วยเล็กน้อย ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติและจะค่อยๆ หายไปทีละนิด เมื่อเวลาผ่านไป โดยการรักษาครั้งแรกนั้นจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ จึงจะเริ่มเห็นผลการรักษา

หลังการรักษาคนไข้บางรายอาจจะรู้สึกตึงๆ บริเวณรักษา หรือรู้สึกเหมือนโดดแดดเผา ซึ่งในการรักษาหลายๆ ครั้ง ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา แต่ใช้การประคบเย็นแทน

ในบางครั้งอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้คือ อาจเกิด Hypo-pigmentation หรือ Hyper-pigmentation ตรงบริเวณรักษา ซึ่งในผิวจะคืนกลับสู่สภาพสีผิวปกติภายในระยะเวลา 6-12 เดือน หลังจากการรักษาครั้งสุดท้าย จึงไม่ต้องกังวลแต่อย่างใดครับ

ข้อแตกต่างของ THE FACE FASCINATE

  • คลื่นแสงของ Q-Switch มีคุณสมบัติช่วยลดการสร้างเม็ดสี และกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อให้ผิวหน้านุ่มนวล เนียบเรียบ ซึ่งทำได้ดีกว่าการทำ IPL ปกติ   ยิงในครั้งแรกจะเห็นผลได้ดีถึงประมาณ 80% เป็น laser ชนิดที่เรียกว่า selective คือตัวสแกนจะจับเฉพาะเจาะจงไปยังผิวที่มีปัญหา ทำให้สามารถรักษาได้ตรงจุดมากที่สุด และไม่กระทบต่อผิวหนังบริเวณอื่น
  •  เครื่อง Q-Switch ของคลินิก นำเข้าจากประเทศเยอะมัน ซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลกเรื่องคุณภาพและเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน
  • ได้รับการรับรองจาก FDA ประเทศไทยเรียบร้อย จึงมั่นใจได้ 100% ว่าปลอดภัยแน่นอน

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่มีอยู่แล้วในผิวของเรา

มีอยู่ทั่วไปตามร่างกาย และโดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์ ลักษณะจะหยุ่นๆ เหนียวๆ ครับ ประโยชน์ของมันคือเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่น เช่นจุดเชื่อมต่อบริเวณหัวเข่า ถ้าขาดสารตัวนี้ จะมีผลทำให้การเดินจะเจ็บปวดเพราะว่าไม่มีตัวช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกข้อต่อนั่นเองครับ หน้าที่หลักๆ ของเจ้าตัว Hyaluronic นี่ก็คือมันจะเก็บกักความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง เมื่อผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวาครับ

ประโยชน์ของ กรดไฮยาลูรอนิค ที่มีต่อผิวหน้า

แต่สำหรับผิวหน้าของเรานั้น กรดตัวนี้จะมีหน้าที่ต่างกันครับ โดยหน้าที่หลักๆ มันจำช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นให้กับผิว โดยมันมีฤทธิในการดูดน้ำใต้ผิว ให้มาอยู่บริเวณผิวหนังชั้น dermis (ผิวชั้นล่าง) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นบน) ทำให้ผิวชุ่มน้ำ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวาครับ

กรดไฮยาลูรอนิค (HYALURONIC ACID) ยังช่วยให้รักษาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วกว่าเดิม 80% อีกด้วยครับ

นั่นหมายความว่าผิวจะสามารถสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ผลดีอีกข้อนั่นก็คือการช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย (plump effect) และโดยปรกติการไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ตามธรรมชาติ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิคนั้นจะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวในส่วนนั้น และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้นครับ

แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ 30-40 ขึ้นไป การผลิตกรดไฮยาลูรอนิคของผิวเราตามธรรมชาติก็ลดลงไปด้วยครับ ผลก็คือผิวสูญเสียความชุ่มชื่น ผิวแห้งขึ้น และขาดความยืดหยุ่น ผลที่ตามมา ก็คือริ้วรอย ร่องผิว ความเหี่ยว หย่อน คล้อย ครับ

กรดไฮยาลูรอนิค เหมือนกับ COLLAGEN คลอลาเจน ไหม

มันเป็น คนละตัวกันครับ แต่ค่อนข้างคล้ายกัน คือช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ชุ่มชื่น คอลลาเจนจะเป็นโปรตีนตัวหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว จริงๆ แล้วคอลลาเจนโปรตีนมีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเราจะอยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้คอลลาเจนทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิว ทำให้ผิวแข็งแรง และเรียบเนียนและอยู่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ “อิลาสติน”ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงสร้างของผิว และทำให้ผิวเต่งตึงอิลาสตินจะมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอยครับ แต่ไฮยาลูรอนิคจะเหมือนฟองน้ำคลุม คอลลาเจนอีกทีครับ

แล้วไฮยาลูรอนิค หรือ คอลลาเจนดีกว่ากัน

จริงๆ แล้วมันทำหน้าที่คนละแบบครับ แต่ค่อนข้างคล้ายกัน อาจจะต้องมาดูว่าปัญหาผิวของคุณคืออะไร สำหรับผิวขาดน้ำ ผิวขาดน้ำเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภทไม่เว้นแม้กระทั่งผิวมัน หลายคนผิวข้างนอกมันเยิ้มแต่เนื้อในกลับแห้ง ผิวประเภทนี้มักแพ้ง่ายอีกด้วย การให้น้ำกับผิวเป็นวิธีพื้นฐานที่ฟื้นฟูผิว และดีสำหรับคนที่ผิวมัน ผิวแพ้ง่ายเพราะไม่เพิ่มความมันบนใบหน้า และฟื้นฟูให้ผิวแข็งแรงมีภูมิต้านทานขึ้น การให้น้ำกับผิวหรือสภาพผิวที่มีน้ำในผิวสมดุลจะเปล่งปลั่งสดใสมีชีวิตชีวา นุ่มเนียน ผิวแข็งแรงขึ้น อีกทั้งส่งผลให้การแต่งหน้าเรียบเนียนติดทนขึ้นด้วย นอกจากประโยชน์ที่ทำให้ถูกใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ความอ่อนโยนของสารตัวนี้ยังสามารถใช้ได้กับผิวทุกประเภท เหตุนี้เองมันจึงเป็นสารที่ใช้ปลอบประโลมผิวที่ปลอดภัยซึ่งจัดอยู่ในอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้อย่างสบายใจ ส่วนคอลลาเจน ตอนนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการทาน หรือการการทาจะเห็นผลอย่างไร เท่าไร เพราะโดยปกติคอลลาเจน

แล้วเราจะแพ้ไฮยาลูรอนิค ไหมเพราะมันเป็นกรด

เรื่องการแพ้ แทบจะไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะทางการแพทย์ได้ทำการทดสอบ และได้รับมาตรฐานจาก อย เรียบร้อยแล้ว แทบจะพูดได้ว่าสาร Hyaluronic ที่สกัดมาคล้ายกับกรดไฮยาลูรอนิคที่ร่างกายเราสร้างขี้นเอง ทำให้อาการแพ้แทบจะไม่พบเลยครับ และกรณีที่เราฉีดลงผิวมันจะสลายไปพร้อมกระบวนการขับของเสียของร่างกายเราตามปกติ ยิ่งทำให้มั่นใจได้ครับว่าไม่ตกค้าง ไม่อันตรายแน่นอน

การฉีดแบบ MESO FILLER

ล่าสุด Filler ได้ถูกพัฒนาขึ้น ให้ฉีดแบบเมโสเธอราปี (Mesotherapy) ซึ่งเป็นการใช้เข็มค่อยๆ ผลักตัวยาลงไปใต้ชั้นผิวทีละจุดๆ ทั่วทั้งหน้า เพื่อเติมเต็มทำให้ผิวเอิบอิ่ม กระชับผิวให้เต่งตึง และด้วยวิธีการนี้จะช่วยในการรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้ในบางราย โดยไม่ทิ้งรอยแผล ไม่เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ ไม่ต้องหลบแดด สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว การฉีด Filler เทคนิคใหม่สำหรับรักษาหลุมสิว จะต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฉีดสารฟิลเลอร์ตามจุดที่ผิวเป็นหลุมสิว หรือร่องสิว อาจจะต้องรักษาร่วมกับการทำ subcision เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและพอใจขึ้นครับ

เมื่อไรจึงจะเห็นผล และผลการรักษาด้วย FILLER อยู่ได้นานแค่ไหน

เห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด Filler และจะเห็นได้ชัดว่ารอยหลุมสิวตื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้นหลังฉีดไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลการรักษาด้วย Filler อยู่ได้นานประมาณ 8 เดือน ถึง 1.5 ปีครับ

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ FILLER เป็นอย่างไร

เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นแพทย์จะทายาชาเพื่อลดความเจ็บในการฉีด หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะประคบเย็นแล้วแต่กรณี ซึ่งหลังการรักษาจะเห็นชัดเจนว่า หลุมสิว ตื้นขึ้น ริ้วรอย เล็กๆ หายไป ใบหน้าดูเข้ารูปมากขึ้น

ขณะฉีดฟิลเลอร์ FILLER จะรู้สึกอย่างไรบ้าง

อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยบางบริเวณ ไม่มากเหมือนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และเนื่องจาก filler ตัวใหม่ๆ มียาชาผสมอยู่แล้ว จึงช่วยลดอาการเจ็บได้มากทีเดียวครับ


รูปแสดง การรักษาด้วย Finescan, subcision และ Filler

 


รูปแสดง การรักษาด้วย Finescan และ Filler

 


รูปแสดงการรักษาด้วย Filler และ subskin

THE FACE AESTHETIC ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร ปลอดภัยแค่ไหน

เดอะเฟสจะใช้ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane Perlane จากประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น และฟิลเลอร์ของยี่ห้อนี้ได้รับใบอนุญาติ ผ่านอย. แล้วทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีคนฉีดทั่วโลกเกือบ 20 ล้านคนในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดคะ

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าตัวสารฟิลเลอร์จะมีความปลอดภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใด การฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นการเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันคะ

ฉีดลดสิว สูตรธรรมชาติ ด้วยวิธี โฮมีโอพาธีย์ Homeopathy

รู้จักกับโฮมีโอพาธีย์ Homeopathy

Homeopathy คือหลักการรักษาโดยใช้สิ่งที่คล้ายกันมารักษาสิ่งที่คล้ายกัน หรือที่เรียกว่า “หนามยอกเอาหนามบ่ง” เพราะฉะนั้นสำหรับ Homeopathy ถ้าเป็นโรคอะไรก็จะใช้สิ่งนั้นรักษา เช่น แพ้ปรอทก็จะใช้ปรอทในปริมาณน้อย ๆ รักษา

หลักการรักษาโดยการใช้สารธรรมชาติมากระตุ้นให้ร่างกายรักษานี้ เป็นศาสตร์การบำบัดมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมัน โดยการค้นพบของนายแพทย์ ซามุเอล ฮาเนมัน (Dr.Samuel Hanemann) มีอายุมากกว่า 200 ปี เน้นแนวธรรมชาติบำบัด ที่ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ทำให้ร่างกายได้รับสารเคมี ไม่ทำให้เป็นพิษ โดยตัวโฮมีโอพาธีย์ มีสารที่อ่อนโยนต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้ผิวแข็งแรง โดยเฉพาะขบวนการกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นฟู เยียวยา อาการเจ็บป่วยด้วยตนเอง นอกจากโฮมีโอพาธีช่วยในการรักษาโรคแล้ว ยังช่วยในการดูแลสิว ผื่นแพ้ ภูมิแพ้ และฮอร์โมน อีกด้วย

การรักษาแบบนี้ มีข้อดียังไง

หัวใจของโฮมีโอพาธี คือจะเน้นที่การฟื้นฟูบำบัดสมดุลพลังงานร่างกาย โดยอิงหลักการทำงานตามธรรมชาติ ของร่างกาย ที่ต้องพึ่งพาพลังงานภายในร่างกาย ในการปรับ ฟื้นฟูตัวเอง คือดีจากภายในแล้วค่อย ๆ สวยเปล่งปลั่งไปที่ภายนอก เช่น หากพลังงานในร่างกายเราสมดุลระบบภูมคุ้มกันก็จะสูงตามไปซึ่งจะทำให้เรา ไม่แพ้ง่าย ไม่เป็นสิว หรือไม่เป็นแผลเป็นหรือรอยดำ เป็นต้น ดังนั้น โฮมีโอพาธี จึงเสมือนการรักษาที่หวังผลในระยะยาว และเป็นการล้างสารพิษที่ร่างกาย หรือผิวได้รับสะสมมา เพื่อความแข็งแรงของผิว อย่างยั่งยืน

มาเด้ คืออะไรกันแน่

มาเด้ คือสูตรผสมของสารสะกัดจากธรรมชาติที่มีทั้งวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และเซลส์บำบัดมีทั้ง พลาสเซนต้า และคอลลาเจน โดยสารทั้งหมดจะต้องผ่านขบวนการเตรียมสูตรยาแบบ โฮมีโอพาธีย์ เป็นศาสตร์การบำบัดที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเยอรมันนี โดยการค้นพบของนายแพทย์ ซามุเอล ฮาเนมัน มีอายุกว่า200ปึ โดยการทำให้สารนั้นๆ เจือจางลงตามสูตรยาก่อน จึงทำให้ได้ผลการรักษาที่ดี และไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งก็เป็นหลักการที่คล้ายการฉีดวัคซีนนั่นเอง

MADE COLLAGEN ช่วยบำบัดสิวอย่างไร

MADE collagen จะช่วยบำบัดลึกถึงขั้นเซลผิว โดยสูตรยาจะช่วยกันออกฤทธิ์ อย่างเป็นขบวนการและเป็นจังหวะ เพราะจะฉีดตามจุดของการฝังเข็มตามตำแหน่งต่างๆ 16 จุดทั่วใบหน้า ในปริมาณ 4 ซี.ซี. เพื่อกระตุ้นให้ออกฤทธิ์และเห็นผลลัพธ์ ชัดเจนทั้งใบหน้า

ตัวยาแต่ละตัวจะออกฤทธิ์ส่งเสริมซึ่งกันและกัน จึงทำให้ผลการบำบัดออกมาดีที่สุด โดยหลักๆแล้ว จะออกฤทธิ์เป็น 4 จังหวะ ดังนี้คือ

  1. Detoxification คือการเร่งการขับสารพิษและของเสียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวออกจากร่างกาย โดยการกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆที่ทำหน้าที่ในการขับถ่ายอย่างเช่นตับ ไต ลำไส้ และต่อมน้ำเหลือง ขบวนการนี้เป็นขบวนการที่จำเป็นอย่างมากต่อการบำบัดรักษาโรค เพราะถ้ามีสารพิษและของเสียต่างๆ ตกค้างอยู่ในร่างกายมาก จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ และทำให้เกิดอาการของโรคต่างๆ ได้ง่าย
  2. Metabolism คือการเร่งการเผาผลาญพลังงานและการไหลเวียนเลือด โดยขบวนการนี้ จะช่วยให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งมากับเลือด ทำให้มีกำลังในการฟื้นฟูตัวเองได้
  3. Nutrients and Cell therapy คือสารอาหารและเซลส์เนื้อเยื่อในจำนวนที่พอเหมาะที่ร่างการต้องการ เพื่อสุขภาพและผิวพรรณที่ดี
  4. Restructuring คือการปรับความสมดุลให้กับร่างกายใหม่ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี แข็งแรง สามารถต่อสู้กับสาเหตุของสิวต่างๆ ได้ ทำให้ผิวสวยแข็งแรง ต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวได้อย่างดี

การฉีดมาเด้ เพื่อรักษาสิวเหมาะกับใครบ้าง

  • คนไข้ที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง ไม่ว่าจะมาจากปัญหาเรื่องสมดุลของฮอร์โมนผิดปกติ สามารถสังเกตได้จากว่าอายุมากแล้วแต่ก็ยังเป็นสิวอยู่ คุณหมอจะมีสูตรมาเด้ สำหรับรักษาสิวโดยเฉพาะ โดยสัดส่วนจะเน้นคอลลาเจนน้อยลง แต่เพิ่มปริมาณของ OAM 3 ให้มากขึ้นเพื่อจะเข้าไปช่วย ในการปรับสมดุลของฮอร์โมนต่างๆ
  • อาการแพ้เรื้อรังของคนไข้ที่มีปัญหาจำพวกผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การใช้ MADE collagen สูตรรักษาสิว ก็จะเข้าไปช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่มากขึ้น ทำให้ผิวทนทานต่อสารที่ทำให้แพ้ต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • คนไข้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าฮอร์โมน บางคนจะได้ผลดีขึ้น เนื่องจากการใช้ MADE collagen สูตรนี้ เข้าไปตามจุดฝังเข็มก็จะช่วยในเรื่องการหมุนเวียนของเลือด และปรับสมดุลของฮอร์โมน ช่วยให้สิว ฝ้าฮอร์โมน มีอาการดีขึ้นได้
  • ใช้ได้แม้กระทั่งคนที่ไม่มีปัญหาสิวใดๆ เลย แต่ต้องการให้ผิวมีสุขภาพดี ไม่หยาบกร้าน หรือหย่อนคล้อย เนื่องจากเป็นการช่วยกำจัดสารที่เป็นพิษต่อเซลล์ เสมือนการให้อาหารผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่บ่อยขึ้น ช่วยให้ผิวสดใสเปล่งปลั่งขึ้น
  • ประโยชน์ทางอ้อม อีกอย่าง ของ MADE collagen คือช่วยให้มีสุขภาพดี ทำให้นอนหลับสบาย เพราะสารที่ฉีดไปช่วยเพิ่มการไหลเวียนและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว

16 เข็ม ฉีดกันอย่างไร

หลังจากประคบน้ำแข็งจนชาได้ที่แล้ว แพทย์ก็จะเริ่มฉีดตามตำแหน่งต่างๆ บนใบหน้า 16 จุด ตามศาสตร์การฝังเข็มของชาวจีน เช่น กลางหน้าผาก คาง หางคิ้ว ขมับ โดยการฉีดไม่มีผลข้างเคียง ไม่บวม ไม่แดง และไม่มีแผลแต่อย่างใด หลังการฉีดสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ควรฉีดต่อเนื่องกี่ครั้งจึงจะเห็นผล

ควรดูแลสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่อง ติดต่อกันอย่างน้อย 7-10 ครั้ง เพื่อปรับสมดุลของเซลล์ผิว หลังจากนั้นให้ใช้เดือนละ 1-3 ครั้ง เพื่อเป็นการรักษาสภาพผิวที่ดีนั้นไว้อย่างยั่งยืน

มีการรักษาสิวด้วยทรีทเม้นต์อื่นอยู่แล้ว จะทำได้มั้ย

การรักษาผิวด้วย MADE collagen เป็นการรักษาฟื้นฟูผิว เพื่อให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น เมื่อทำการรักษาด้วยทรีทเม้นต์อื่นๆ ก็จะช่วยให้ผิวตอบรับวิธีการรักษาอื่นๆ ได้ดีขึ้น หรือบางเคสที่รักษาสิวเรื้อรังด้วยการกินยา หรือทายาต่อเนื่อง อาจจะทำให้ผิวค่อนข้างบางและไวต่อแสง การที่ใช้ MADE collagen สูตรรักษาสิวนี้เข้าไป เสริมการรักษาสิวเรื้อรังแบบเดิมๆ ก็จะช่วยให้ผลข้างเคียงจากยาน้อยลง ทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น ผิวผลัดเซลล์เร็วขึ้น ทำให้รอยแดง หรือรอยดำจากสิว หายเร็วขึ้นด้วย ด้วยหลักการในการผลิตตัวยามาเด้ เป็นพวกสมุนไพร จึงไม่ต้องกังวลใจในเรื่องอันตรายจากสารเคมีตกค้าง หรือใช้ส่วนผสมที่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน

ถ้าไม่มีปัญหาผิวอะไรเลย ผลที่ได้จากการฉีดจะเป็นยังไง

ผิวโดยรวมจะดู เนียน แน่น ผิวหน้าดูเงาๆ วิ้งๆ มีสุขภาพดี เหมือนมีคอลลาเจน ยืดหยุ่นได้ดี เครื่องสำอางค์จะซึมลงผิวได้เร็วขึ้น ผิวหน้าฟูๆ

ทำไมต้องฉีดที่ตำแหน่งการฝังเข็ม

เพราะจากการศึกษา พบว่า ระบบยาจะไหลเวียนกระจาย ไปทั่วผิวหน้าและร่างกายดีกว่าฉีดตามจุดอื่นๆ ซึ่ง MADE collagen ถูกออกแบบมาให้ฉีดด้วยวิธีนี้ ดังนั้นแพทย์ที่จะฉีดต้องได้รับการฝึกอบรม เทคนิกการฉีด เป็นอย่างดี

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

“วิวัฒนาการขั้นสูงสุด กับการยกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า”

เจาะลึก Face Locked by Air Jet ดึงหน้า โดยไม่ต้องศัลยกรรม

Face Locked by Air Jet นับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในเรื่องของการยกกระชับ ผลลัพธ์ที่ได้เสมือนการผ่าตัดศัลยกรรม เป็นการใช้แรงดันอากาศ​พลังงานสูงมาก ส่งผ่านสารอาหารผิวนับล้านเข้าสู่ผิวในชั้น SMAS ทำให้เกิดการฟื้นฟู และซ่อมแซมใต้ชั้นผิว ถือเป็นการพลิกโฉมการยกกระชับ ด้วยการพัฒนา นวัตกรรมที่ไม่ใช้ความร้อน ในการยกกระชับผิว

Face Locked by Air Jet เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการรักษาปัญหาริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยอย่างสิ้นเชิง !!!! ทำให้เกิดการฟื้นฟูผิว อย่างทันทีทันใด ด้วยกระสุนของสาร solution จำนวนมหาศาลที่ลงสู่ชั้นผิวชั้นลึกเป็นวงกว้าง แบบ 3 มิติ ทำให้ผลที่ได้ดีขึ้นกว่าเทคโนโลยีเก่าๆ

การยกกระชับมีหลากหลายเทคโนโลยี

ไม่ว่าจะเป็น การฉีด Toxin การฉีดฟิลเลอร์ ที่เรารู้จักกันมา แต่หลักการที่หวังผลระยะยาว ของการยกกระชับ คือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งโดยปกติแล้ว เราจะคุ้นเคยกับเทคนิคการใช้ความร้อน เข้ามากระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่เทคนิคการใช้ความร้อนนี้ อาจจะส่งผลเสียต่อผิวในระยะยาว ไม่ว่าความร้อนจะมากหรือน้อย ยังไงซะคงจะดีกว่าถ้าเทียบกับการที่ไม่ใช้ความร้อนเลย

แต่ตอนนี้เรามีนวัตกรรมยกกระชับผิวใหม่ล่าสุด ไม่มีความร้อนมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว

สำหรับ เทคนิคการยกกระชับของ Air Jet นั้น เรียกว่า เทคโนโลยี Jet Bullet Effect เป็นการส่งยา และ สารอาหารผิวที่จำเป็นต่างๆ ลงไปในชั้นผิวหนังแท้ ด้วยการส่งผ่านสารอาหารผิว ด้วยควาเร็วที่สูงมาก คล้ายกระสุนนาโน ความเร็วของ เจทอยู่ที่ 150 m/sec ผ่านผิวทำให้เกิดจุดเล็กๆ บนผิวชั้นบน ขนาด 200 micron (ซึ่งถือว่าเล็กมากๆ ) โดยสารอาหารและตัวยาต่างๆ จะกระจายออกรอบทิศทาง เกิดบาดแผลเล็กๆ แบบ 3D Subcision เพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวและ คอลลาเจนใหม่ในบริเวณกว้าง คิดเป็นพื้นที่ 1.2 ตารางเซนติเมตร โดยไม่มีการใช้ความร้อน เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ในระหว่างการฟื้นฟูสภาพผิว ผิวจะมีการดูดซึมสารอาหารเข้าไปด้วย ทำให้ได้ชั้นผิวใหม่ที่หนาตัวขึ้น เต่งตึง และชุ่มชื้น ชั้นผิวใหม่จะช่วยดึงรั้ง อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวและรูปหน้าที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้

สำหรับการยกกระชับแล้ว ชั้นผิวหนังที่เรา focus ก็สำคัญคะ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ชั้นผิวหนัง SMAS ใช่ไหมคะ

ผิวหนังเรามีหน้าตาแบบรูปด้านบน ซึ่งแบ่งเป็นชั้นต่างๆ หลากหลาย แต่ที่เราให้ความสำคัญกับชั้นเนื้อเยื่อ SMAS (Superficial MusculoAponeurotic system) เนื่องจากเป็นชั้นที่แพทย์ผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อการดึงหน้าให้ยกกระชับคะ ชั้นเนื้อเยื้อ SMAS ซึ่งเป็นแผ่นเนื้อเยื่อพังผืด มีความเหนียว และหนา อยู่บริเวณใต้ชั้นไขมันผิวหนัง ชั้น SMAS นี้มีความสัมพันธ์กับผิวหนัง และชั้นไขมันใต้ผิวหนังด้านบน การดึงชั้น SMAS ให้ตึง จะทำให้ผิวชั้นบนเหมือนถูกดึงให้ตึงไปด้วย พูดกันชัดๆ นะคะ คือ หากต้องการยกกระชับให้ได้ผล เราต้องใช้วิธีการทำงานเพื่อให้ลงลึกไปถึงชั้น SMAS นี้คะ

เมื่อดูจากภาพการเปรียบเทียบความลึกในการรักษา จะเห็นว่า Face Locked by Air Jet สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS และการรักษาจะเน้นยิง ตรงจุดเดียวกับการทำศัลยกรรมดึงหน้า คือ บริเวณไรผม บริเวณหลังหู และหน้าหู ซึ่งจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเทียบเท่าการผ่าตัดดึงใบหน้าเลยทีเดียว

ผลการยกกระชับด้วย Air Jet สามารถเห็นความแตกต่างทันทีหลังการทำ และระหว่างการทำไม่ต้องทาหรือฉีดยาชาแต่อย่างใด เพราะระหว่างการรักษาจะไม่รู้สึกเจ็บเลย เพียงแต่ตึงๆ จากแรงสั่นสะเทือนและแรงกดตอนทำเท่านั้น

หลังการทำทันทีจะมีตุ่มเล็กๆลักษณะคล้ายยุงกัดบริเวณที่ทำซึ่งจะหายไปภายใน 2 ชั่วโมง หลังการทำการรักษา 1 วัน จะมีจุดที่ตัวยาเข้าไปในผิวจุดเล็กๆ ระดับไมครอน ซึ่งสามารถแต่งหน้าทับได้ จุดจะหายไปภายในหนึ่งอาทิตย์ ในการทำโปรแกรมยกกระชับหน้าจะทำการรักษาบริเวณใต้ไรผม จึงไม่สามารถมองเห็นจุดเล็กๆ หลังทำการรักษาได้ ทำให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการถูกน้ำ 2-3 วัน ดังนั้นระยะเวลาในการพักฟื้นของผิวแทบจะไม่ถึง 1 วัน ซึ่งนับว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเทคนิคอื่นๆ

ภาพ: ความสามารถในการสร้างเนื้อเยื่อ ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังแข็งแรง และหนาขึ้น ​​อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งใน ระยะสั้นและ ระยะยาว

ภาพ: การวิเคราะห์ เนื้อเยื่อ ด้วยการย้อมสี เนื้อเยื้อคอลลาเจน Reticulin ของผู้เข้ารับการรักษา อายุ 39 หลังจากรักษาครั้งที่ 3 ภายในระยะเวลา 4 เดือน ผลคือ ผิวหนัง หนาขึ้นโดยประมาณ 2 เท่า และเส้นใยคอลลาเจน เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทำไมหลังทำการทรีทเม้นต์ Face Locked by Air Jet รู้สึกผิวยกกระชับแค่ช่วงแรก

ผลลัพธ์ในการทำทรีทเม้นต์นี้ แม้จะเห็นผลทันที แต่เมื่อผ่านไป 1เดือน หรือ 28 วัน (เป็นช่วงอายุของเซลล์ผิว ที่จะเกิดใหม่ทุกๆ 28 วัน) ผิวในชั้น smas ที่เรายิงลงไป เพิ่มจะเริมแสดงผล และผลจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนคงที่ภายใน 2-3 เดือน

ภาพแสดงการสร้างคอลลาเจนของชั้นผิว หลังการทำทรีทเม้นต์ Face Locked by Air Jet

มีคำถามต่อไปว่า แล้วผลการฟื้นฟูผิวด้วย Face Locked by Air Jet อยู่ได้นานไหม

ผลลัพธ์อยู่ได้นานตั้งแต่ 12 – 24 เดือน ซึ่งอาจกลับมาทำใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว และโปรแกรมการรักษาผิวอื่นๆ ที่ได้รับหลังการทำ Air Jet ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำครบ 3 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และยาวนานกว่า

แล้วเรื่องความปลอดภัย

Airjet เป็นเทคโนโลยีที่ปลอดภัย โดยไม่มีความเสี่ยงในการเกิดรอยไหม้ หรือ แผลเป็นที่เกิดจากความร้อนเลย เมื่อเทียบกับเลเซอร์ หรือเทคนิคอื่นที่มีความร้อนมาเกี่ยวข้อง รวมถึงเครื่อง Air Jet ได้ผ่านการรับรองจากประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจได้ 100% ในเรื่องความปลอดภัย

สามารถทำหลังทำเลเซอร์หรือการลอกหน้าด้วยสารเคมีได้หรือไม่

ไม่แนะนำให้ทำทันที ควรรอให้ผิวได้รับการรักษาหายสนิทเป็นปกติก่อน

สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง

หลักๆของเครื่องสามารถตอบโจทย์เรื่องกายยกกระชับ โดยเป็นที่นิยมมากที่ประเทศเกาหลี โดยเฉพาะการเก็บกรอบหน้า จะทำให้หน้าดูมีมิติมากขึ้น เมื่อใช้บริเวณกรอบหน้า คาง เหนียง แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นการนำพาสารโดยใช้เทคนิค สูญากาศ ก็สามาถนำมาใช้แก้ปัญหาผิวอื่นได้อีกด้วย

ควรทำกี่ครั้ง

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้ทำการรักษาประมาณ 3 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และยาวนานกว่า

อะไรคือข้อดีของการรักษานี้

เกิดสองผลลัพท์ที่ทำให้ผิวดู อ่อนวัย ส่วนแรกคือการส่งโมเลกุลลงไป เพื่อฟื้นฟูผิวที่ขาดสารสำคัญต่างๆ ทำให้ผิวดูดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่วนที่สองคือ เกิดการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวใหม่ ผิวหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น และความเต่งตึง กระชับอยู่นานยิ่งขึ้น

เปรียบเทียบกับ Treatment ยกกระชับแบบอื่นๆ

ภาพ ก่อน และหลังทำ ทรีทเม้นต์ Face Lock by Air Jet

 

ภาพหลังทำทรีทเม้นต์ Air Jet ทันที (ทำเพียงด้านเดียว)

 

ภาพหลังทำทรีทเม้นต์ Air Jet (จากประเทศเกาหลี)

 

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Fine Scan – Fractional non-ablative ลดรอยหลุมสิว แผลเป็นจากสิว

FINE SCAN (ฟายสแกน) คือ เลเซอร์ใหม่ล่าสุด ซึ่งใช้เทคโนโลยีการยิงแสงเลเซอร์เป็นจุดเล็กๆ จำนวนมาก ลงไปยังผิวที่ต้องการรักษา หรือที่เรียกว่า LASER RESURFACING แบบ NON-ABLATIVE FRACTIONAL

 

Fine Scan 1550 คือ เลเซอร์ ประเภท Erbium Grass Fiber ที่ความยาวช่วงคลื่น 1550 nm จัดเป็น Non-Ablative Fractional Resurfacing Laser ครับ โดยมีหลักการทำงานด้วยเทคนิค Fractional Photothermolysis ( FP) โดยการยิงแสงเป็นลำเล็กๆ จำนวนมาก เพื่อทำให้เกิดแผลเล็กๆ (microinjuries) จำนวนมากที่ผิวหนังเป้าหมาย เช่น รอยหลุม รูขุมขนกว้าง หรือแผลเป็นต่างๆ
หลังจากนั้นร่างกายเราก็จะพยายามรักษาตัวเองโดยการสร้างผิวขึ้นมาใหม่ การสมานแผลนั้นก็คือ การสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ หลังทำ ผิวหน้าจึงกระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง รอยหลุมตื้นขึ้น รอยด่างดำ จางลง ริ้วรอยบางๆ ดูตื้นขึ้นครับ แพทย์บางท่านจะเรียกเลเซอร์ประเภทนี้ว่า Semi- Ablative Fractional Resurfacing Laser (คือลอกผิวหน้าได้บางส่วน หรือแบ่งส่วน) โดย FINESCAN 1550 สามารถจะยิงพลังงาน ลงสู่ผิวได้ลึกที่สุดถึง 1.5-2 มิลลิเมตร (2000ไมโครเมตร) ทำให้แพทย์สามารถเลือกปรับพลังงาน ให้ตรงกับรอยโรคได้มากที่สุด

 

ในปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้หลักการ Laser resurfacing ก็จะมีหลากหลายตัวด้วยกัน แต่ที่คุ้นหู และเป็นที่นิยมก็คือ เครื่อง  Finescan ซึ่งขณะนี้ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นเวอร์ชั่น 6 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเวอร์ชั่นล่าสุดมาพร้อมกับประสิทธิภาพของลำแสงเลเซอร์ที่เพิ่มจำนวนต่อพื้นที่ และระยะที่เลเซอร์ สามารถลงลึกถึงชั้นผิวได้มากกว่าเครื่องอื่นๆ ครับ

 



รูปเปรียบเทียบผลของ ablative กับ non-ablative

 

รูปซ้ายสุดนี้เป็นการการรักษาแบบแรก คือ Co2 จะเห็นว่าเลเซอร์จะไม่ลงลึก ทำงานแค่ผิวชั้นบนๆ เท่านั้น และทำลายผิวรอบข้างที่โดนยิงไปด้วยทั้งหมด สำหรับรูปด้านขวาอีก 3 รูปจะเป็นการรักษาแบบ fractional คะ

รูปที่สอง เป็น fractional ablative คือจะไม่กวาดหน้าผิวทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานในชั้นผิวที่ลึกอยู่ดีค่ะ

รูปที่สาม เป็น fractional non-ablative ที่เราใช้กันมากในปัจจุบัน ตัวนี้จะส่งพลังงานลงลึกกว่า และไม่เป็นแผลขั้นทำลายล้าง แต่จะเพียงแค่ไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และสร้างผิวใหม่

 

ความเข้าใจที่ถูกต้องของปัญหาหลุมสิว

หมอขออธิบายคร่าวๆ เรื่องหลุมสิวนะครับ หลุมสิวเกิดจากการมีสิวอักเสบ นานหลายเดือน หรือการอักเสบซ้ำๆ รอยเดิม จนทำให้การอักเสบลงลึกถึงชั้นผิวแท้ ทำให้ผิวมันบุ๋มลงไปมองดูไม่เรียบครับ บางคนเข้าใจว่าปล่อยไว้นานๆ เดี๋ยวหลุมมันก็หายเอง เรื่องจริงไม่ใช่แบบนั้นนะครับ  “หลุมสิว ไม่มีทางหายเองได้ ไม่ว่าจะทาครีม หรือยาครับ” การรักษาหลุมสิวทำได้ด้วยการจี้กรด ฟิลเลอร์ เลเซอร์ หรือคลื่นความถึ่วิทยุที่สามารถทำให้เกิดแผลเท่านั้นครับ

คนไข้หลายๆ ท่านมาพบหมอ ด้วยปัญหาสิว ที่มีครบเลยครับ ทั้งสิวอักเสบ หลุมสิว และรอยดำ ซึ่งหมอแนะนำว่าต้องรับการรักษาทีละเรื่องนะครับ ควรรักษาสิวอักเสบก่อนครับ เพราะรักษาง่ายที่สุด เมื่อไม่มีสิวอักเสบแล้ว เราก็ค่อยมาดูเรื่องหลุมสิว แล้วค่อยไปรักษาเรื่องรอยดำครับ (บางกรณี รอยดำสามารถหายเองได้แต่ใช้เวลานาน 4-6 เดือน) หมอขอทำความเข้าใจเลยนะครับว่าการรักษาหลุมสิว รักษายาก ต้องใช้เวลานาน และต้องใจเย็นๆ ครับ แต่รับรองว่าถ้ารักษาต่อเนื่อง หายแน่นอนครับ !!

สำหรับหัวข้อนี้ หมอขอ focus ไปที่เรื่องการรักษาหลุมสิว กับพวกแผลเป็นจากสิวนะครับ เราได้รู้กันไปแล้วว่า การรักษาหลุมสิว
ต้องใช้เครื่องเลเซอร์ หรือการจี้กรด หรือพวกฟิลเลอร์ เท่านั้น แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสียของมันนะครับ สำหรับวิธีที่ปลอดภัย เห็นผล และผลอยู่ได้นานที่สุด หมอเลือกเครื่องเลเซอร์ครับ

 


รูปแสดงลักษณะ หลุมสิวที่พบบ่อย (พื้นหลุมโค้ง แหลม ลึก และนูน)

การรักษาด้วยเลเซอร์ FINE SCAN 1550 เหมาะกับใคร

ผู้มีปัญหาหลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว

ผู้มีปัญหารอยแผลเป็นจากการผ่าตัด แผลเป็นคีลอยด์  (keloid )

ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวหยาบกร้าน ไม่เนียนเรียบ

สามารถรักษาริ้วรอยแตกลาย

ผู้มีปัญหาฝ้า จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ (มีผลวิจัยออกมาล่าสุดว่าสามารถทำให้รอยฝ้าจางลงได้อย่างมีนัยสำคัญ)

 

         

 

การรักษาด้วยเครื่อง FINE SCAN 1550 ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล

ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการรักษาครับ ในกรณีที่เป็นหลุมสิว หรือริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ต้องการจำนวนครั้งในการรักษามากกว่า โดยส่วนใหญ่ประมาณ 4-6 ครั้งครับ และถ้าเป็นกรณี หลุมสิวลึกๆ แสดงว่าเป็นรอยที่เป็นมานาน และเริ่มมีพังพืดยืดอยู่ ควรทำร่วมกับการตัดหลุมสิว (Subcision) ครับ

การรักษาด้วย Fine Scan สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังการรักษาตั้งแต่ครั้งแรกครับ ผิวจะดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอีก 4-6 สัปดาห์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้รับการรักษาจะรู้สึกผิวพรรณดีขึ้น มากกว่าเดิมแม้หยุดรักษาไปแล้วก็ตามครับ

 

ขั้นตอนการรักษาด้วย FINE SCAN 1550

  1. ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
  2. ทายาชาลงบริเวณที่จะทำการรักษาทิ้งไว้ 45 -60 นาที
  3. เช็ดยาชาและทำความสะอาดใบหน้า
  4. แพทย์จะยิงเลเซอร์บนผิวจนทั่วบริเวณที่รักษา 1-3 รอบ จนครบตามขนาดพลังงานที่คำนวณไว้ในการรักษา

 

ขณะรักษาจะรู้สึกอย่างไร

ระหว่างรักษาจะรู้สึกแสบเล็กน้อย เนื่องจากยังมีฤิทธิ์ของยาชาอยู่ แต่เมื่อฤิทธิ์ยาหมดจะรู้สึกแสบบริเวณผิวที่รักษา สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวได้ครับ

 

หลังทำ FINE SCAN 1550 จะรู้สึกอย่างไร

หลังการรักษาอาจจะมีอาการแดงเรื่อๆ ทั่วใบหน้า และ/หรือมีความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณที่ทำครับ  ดังนั้นจึงควรทาครีมลดรอยแดง หรือโลชั่นลดการอักเสบ และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว (ซึ่งทางคลินิกจะทาให้อยู่แล้วครับ)
หลังการทำวันที่ 3-4 อาจจะพบสะเก็ดเหมือนผงพริกไทย ติดที่ใบหน้า หรือผิวหน้าอาจจะรู้สึกสากๆ เล็กน้อย แต่ไม่ถึงอาทิตย์ ผิวหน้าก็จะลอกออกหมด จะเห็นความแตกต่างตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำครับ

FINE SCAN 1550 ต้องทำบ่อยขนาดไหน

จำนวนครั้งของการรักษาขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคลครับ
สำหรับการดูแลเรื่องแผลเป็นหลุมสิว ควรทำอย่างน้อย 4-6 ครั้ง ห่างกันทุก 2- 4 สัปดาห์

หลังทำ FINE SCAN 1550 จะเห็นผลเมื่อไร

หลังการรักษาครั้งแรกพบว่าได้ผลดีขึ้นประมาณร้อยละ 30 แต่จะเห็นผลชัดเจนภายหลังรักษา 3 เดือน หรือพบว่าหลังทำการรักษาประมาณ 5-10 ครั้ง พบว่าผลการรักษาจะได้ผลมากกว่า 60-80% ผลการรักษาจะคงอยู่ตราบเท่าที่ท่านเอาใจใส่ดูแลผิวพรรณอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอครับ

การดูแลผิวหลังการรักษาด้วย FINE SCAN 1550

1. งดทำความสะอาดผิวบริเวณที่ทำการรักษาภายใน 24 ชั่วโมง

2. ดูแลผิวและแต่งหน้าได้ตามปกติหลังจาก 24 ชั่วโมงหลังการรักษา

3. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองต่อผิวเช่นกรดผลไม้หรือยาละลายหัวสิวในช่วง 3 วันแรกหลังจากการรักษา

4. หลีกเลี่ยงแสดงแดดจัดหรือกิจกรรมกลางแจ้ง 1-2 สัปดาห์หลังจากการรักษา

5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนจัด เช่นการอบไอน้ำหรือเซาว์น่าในช่วง 3 วันแรกหลังจากการรักษา

6. หลีกเลี่ยงการนวด การขัด หรือการใช้ยา ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณที่ทำการรักษา

7. หากมีอาการบวมแดง หรือผื่นขึ้นบริเวณที่ทำการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาทันที

8. หากมีสะเก็ดเกิดขึ้น ไม่ควรแกะหรือเกา ควรปล่อยให้หลุดลอกเองตามธรรมชาติ

9. ทาหรือนวดเบาๆด้วยครีมบำรุงผิวหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดอ่อนโยนเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้เซลล์ผิวเก่าหลุดออกเร็วขึ้น

10. ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดค่า SPF50 ขึ้นไป

 

Before                                          After

Before                                       After

 

1st Time  

 

   2nd Time

3rd Time

 

 

Bye Bye Acne ลาก่อนปัญหาสิว

โปรแกรมรักษาสิว Bye Bye Acne คืออะไร

เป็นการรักษาปัญหาสิวด้วยเครื่องเลเซอร์ที่มีคลื่นแสงที่มีพลังงานอนุภาค เล็กมากๆ ทำให้สามารถทำลายหัวสิว ทำให้สิวยุบและแห้งลงไป โดยไม่ทำลายเซลล์ผิวบริเวณข้างเคียง ทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนทำให้รูขุมขนตื้นขึ้น กระชับขึ้น

สิวเกิดจากอะไร

สิวเกิดจากการอุดตันของ คอมีโดน (comedones) ในรูขุมขน

คอมีโดนคือสารเหนียวที่เกิดจากการรวมตัวของ น้ำมัน + ขนอ่อน + เซลล์ผิวที่ลอกตัว +แบคทีเรีย

ระยะเวลาการก่อตัวของคอมีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2 สัปดาห์ ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ท่อไขมันและรูขุมขนโป่งพองออก ดันผิวหนังนูนเป็นเม็ด จนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ระยะนี้เองที่เราเรียกมันว่า ” สิว ”

สิวเกิดได้ในทุกเพศ ทุกวัย แต่อาจจะพบมากในวัยรุ่น เนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นการสร้างน้ำมันจำนวนมาก

บริเวณที่มีต่อมไขมันมาก ได้แก่ ใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก และแผ่นหลัง เป็นบริเวณที่เป็นสิวได้ง่าย

สิวมีกี่ประเภท

แบ่งกันแบบคร่าวๆ จะมีดังนี้

สิวอุดตัน เป็นการอุดตันของหัวสิวโดยไม่มีรูเปิดจากโพรงขน ทำให้มีการอุดตันอยู่ภายใน โดยลักษณะมีสีขาวในแง่ของความสวยงาม ดูไม่น่าเกลียดแต่สิวชนิดนี้เป็นปัญหากับแพทย์ผิวหนังอย่างมากเนื่องจาก หากไม่ระมัดระวังในการรักษาจะกลายเป็นสิวอักเสบได้

สิวอักเสบ มีลักษณะเป็นเม็ดสิวมีสีแดงอาจมีอาการคัน ๆ ร่วมกับอาการเจ็บเวลาสัมผัส

สิวหนอง เป็นสิวอักเสบ ที่ไม่ได้รับการรักษาทำให้ติดเชื้อ เป็นหนองเกิดขึ้น ถ้าไม่รีบรักษามีโอกาสเป็นหลุมสิวได้มาก

สิวซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนสิวใหญ่กว่าสิวอักเสบ อันเกิดเนื่องจากการกระจายตัวของการอักเสบ ลึกลงไปในชั้นหนังแท้ ทำให้มีอาการบวม เจ็บมากเวลาสัมผัสโดย เวลาหายมักทิ้งรอยแผลเป็นไว้ การรักษาส่วนมากต้องใช้ การรับประทานยาแก้อักเสบ หรือกรดวิตามิน

ข้อจำกัดหรือข้อควรปฏิบัติก่อนการรับการรักษาสิวด้วยโปรแกรม Bye Bye Acne มีอะไรบ้าง?

ไม่มีข้อจำกัด แต่ทรีทเม้นต์นี้จะเหมาะสำหรบผู้ที่เป็นสิวอักเสบ

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า บริเวณที่เป็นสิว
ใช้เครื่องพ่นลมเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้ผิวหนังบริเวณรักษาเย็นและชา
ขณะยิงเลเซอร์จะไม่รู้สึกเจ็บและไม่แดงจากการเป่าลมเย็น
แพทย์ยิงเลเซอร์ ระยะเวลาขึ้นกับขนาด ปริมาณ และปัญหาสิว

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ขณะยิงเลเซอร์จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยจากการใช้เครื่องพ่นลมเย็นที่ช่วยลดความรู้สึกเย็นและชาได้
หลังยิงเสร็จจะไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

ขึ้นอยู่กับขนาด ปริมาณ สิว

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

การรักษาด้วยวิธีนี้จะทำให้หัวสิวแห้งภายใน 2 วัน ซึ่งสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำและผิวบริเวณที่มีปัญหาจะกระชับ ขึ้นทำให้โอกาสที่สิวจะเกิดใหม่ได้น้อยลง ควรจะทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยประมาณ 6-8 ครั้ง จะให้ผลและประสิทธิภาพของเลเซอร์ดีที่สุด

ผลข้างเคียงจากการรักษา?

อาจมีอาการระคายเคืองเล็กน้อยแต่เมื่อทายาลดการระคายเคืองประมาณ 20 นาทีอาการจะดีขึ้น บางรายผิวบริเวณนั้นจะเป็นสีชมพูอยู่ประมาณ 30 นาที ซึ่งเป็นอาการปกติของทำเลเซอร์รักษาสิว

ปัญหาไขมันส่วนเกิน จัดเป็นปัญหาด้านความงามของคนวัยตั้งแต่ 20 ปีเป็นต้นไป โดยเฉพาะการสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่อยากให้เกิดโดยเฉพาะ ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก ทำให้หลายต่อหลายคนไม่มั่นใจ และเสียบุคลิกภาพมากๆ ครับ
สาเหตุหลักของการเกิดไขมันส่วนเกิน ก็มาจากการรับประทานอาหารที่เกินพอดีนั่นเองครับ (เพราะฉะนั้น หลังการรักษาก็ควรจะคุมอาหารครับ ทานเท่าที่พอดี เลี่ยงพวกอาหารที่มีแคลลอรี่สูงๆ เช่น กลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน ฯลฯ เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนาน และไม่เปลืองเงินมาทำทรีทเม้นต์กันบ่อยๆ ครับ ^^ )
ปกติแล้วพวกเราจะไม่ค่อยรู้ตัว เพราะทานเกินพอดีไปเรื่อยๆ และใช้เวลานานกว่าที่จะมีไขมันส่วนเกิน แต่พอมันมีในระดับหนึ่ง หรือพอมันสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ไขมันก็จะอ้วน พอง ใหญ่ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูปร่างขยายออก หรือใหญ่ขึ้น และอยู่ๆ ก็เห็นชัดว่าอ้วน หรือมีไขมันเฉพาะบางส่วนได้ครับ วงการแพทย์ด้านความงามก็เลยต้องทำหน้าที่กำจัดเจ้าไขมันพวกนี้ออกไปครับ ถ้าถามหมอว่าแล้ววิธีกำจัดอะไรที่ดีที่สุด หมอก็ตอบแบบหมอนะครับ ว่าควรออกกำลังกาย และควบคุมอาหารครับ ส่วนใหญ่คนไข้ก็จะถามต่อว่า แล้ววิธีไหนรองลงมา 5555
                                                    
ปัจจุบันเรามีวิธีกำจัดไขมันส่วนเกินหลายวิธี ทั้งการดูดไขมัน การฉีด การนวด การใช้เครื่องเลเซอร์ ซึ่งแต่ละวิธีการมันก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันไปครับ วันนี้หมอจะขอพูดในเรื่องของการฉีดสลายไขมัน เพราะมันเป็นวิธีที่เร็วที่สุด และไม่เสี่ยงเท่าการดูดไขมัน ราคาต่ำกว่าครับ และไม่ต้องทำบ่อยๆ เหมือนการนวดสลาย หรือการใช้เครื่องกลุ่ม RF ครับ

วิธีการกำจัดไขมันด้วย MESO FAT คืออะไร

Mesofat คือ วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกิน วิธีหนึ่ง ด้วยการฉีดส่งยา ซึ่งมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ ฉีดลงไปบริเวณที่ต้องการลดไขมันโดยตรงครับ สำหรับปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เช่น บริเวณท้องแขน อาจจะใช้ 5-10 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม-12 มม. โดยเทคนิค เมโสเธอราพี (Mesotherapy) นั่นเองครับ
ในช่วงแรกๆ ของการสลายไขมันด้วยวิธีนี้ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะตัวยาที่นำมาฉีดในช่วงแรกๆ ค่อนข้างจะได้ผลไม่ดีนัก ได้ผลช้า และมีผลข้างเคียงมาก รู้สึกเจ็บขณะฉีด และมีรอยฟกช้ำหลังฉีดค่อนข้างมาก ต่อมาก็เลยพัฒนามาฉีด Carboxytherapy สลายไขมันแทน เพราะแม้จะเจ็บมากกว่า แต่ได้ผลกว่า และรอยฟกช้ำไม่ค่อยมีมากนักครับ
แต่ปัจจุบันนี้ ได้มีการพัฒนาตัวยาฉีดสลายไขมัน สำหรับทำ Mesofat ให้สะดวก และทันสมัยยิ่งขึ้น ได้ผลมากขึ้น เร็วขึ้น และผลข้างเคียง เรื่อง การฟกช้ำหลังฉีด น้อยลง ใช้เวลาในการทำน้อยลง เพียง 2 อาทิตย์ต่อครั้ง ทำให้การทำ Carboxytherapy อาจจะเป็นทางเลือกหลังๆ เพราะเจ็บกว่า ใช้เวลาทำนานกว่า และต้องทำบ่อยกว่าคือ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งครับ ทำให้สาวๆ หันกลับมาสนใจการฉีดสลายไขมันด้วยวิธีกันมากขึ้น

กลไกของการสลายไขมันด้วยการฉีดแบบ MESO FAT

พบว่า ตัวยาจะไปทำให้ผนังไขมัน( Fat cell wall) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว ( Lipid Fat ) แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ (ส่วนมาก) และทางอุจจาระ ด้วยระบบกำจัดของเสียของร่างกายเราตามปกติ

ตำแหน่งที่นิยมฉีดสลายไขมันด้วยวิธี MESO FAT

ได้แก่ ไขมันที่แก้ม เพื่อปรับหน้าให้เรียว ควบคู่กับการฉีด Toxin หน้าเรียว, ไขมันส่วนเกินที่คาง, ไขมันส่วนเกินที่ต้นแขน ต้นขา สะโพก พุง หน้าท้อง ไขมันที่เต้านม (Gynecomastia) และไขมันที่น่อง (โดยการเสริมการฉีดลดน่องด้วยสาร Toxin ควบคู่กันได้ครับ)

MESO FAT ฉีดลดไขมันที่ใดได้บ้าง

1. ไขมันข้างรักแร้
2. ไขมันที่ปีก หลัง
3. ต้นแขน ต้นขา
4. หน้าท้อง พุง เอว
6. หนังตาบนหย่อนคล้อย
7. น่อง (สามารถทำคู่กับการฉีด Toxin)

ข้อห้ามในการทำ MESO FAT มีดังนี้

1. สตรีมีครรภ์
2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ MESO FAT มีดังนี้

1. ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายด้วยการฉีด Mesofat จะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยขับไขมันส่วนเกินที่สลายให้ออกจากร่างกายได้มากขึ้นครับ
2. ช่วงที่เว้นการฉีด Meso Fat แนะนำให้ทำ RF เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้มากขึ้น ลดการหย่อนคล้อยหลังฉีด โดย หลักการทำงานของ RF จะทำให้โครงสร้าง คอลลาเจนแข็งแรงขึ้นครับ
3. อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำถือเป็นเรื่องปกตินะครับ
4. หลังทำ 1 อาทิตย์ ควรเลี่ยงการเข้าซาวน่า การนวด หรือดื่มอัลกอฮอล์ หรือการนวด กดบริเวณที่ฉีดเพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
5. เพื่อลดการสะสมของไขมันใหม่ ควรควบคุมอาหาร เลี่ยงแป้งและไขมัน

6. พบว่าในบางคน หลังจากฉีดลดไขมันแล้วผิวหนังยังมีการหย่อนคล้อย การทำ RF + การฉีด Mesofirming จะช่วยให้การหย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้เร็วขึ้น สามารถทำได้ ตามคำแนะนำของคุณหมอเลยครับ

รูปแสดง ก่อน – หลัง

ปรับผิวเรียบเนียน ยกกระชับ ทั่วเรือนร่าง สวยสมบูรณ์แบบด้วย

ULTRA LIFT BODY

เคยรู้สึกใช่มั้ยครับ ว่าพออายุมากขึ้น เซลลูไลท์มันมาจากไหน ?? ทั้งที่ ก็กินอาหารเหมือนเดิม ออกกำลังกายเหมือนเดิม กิจกรรมเหมือนๆ เดิม

สาเหตุของเจ้าเซลลูไลท์ มันมาจากหลายสาเหตุมากครับ กรรมพันธ์ อาหารที่ทาน ระบบย่อยอาหาร ฮอร์โมน ความเครียด การสูบบุหรี่ ยาบางชนิด หรือแม้แต่การดื่มน้ำน้อยก็ทำให้ระบบขับของเสียไม่ดีก็เป็นอีกสาเหตุครับ

เซลลูไลท์พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายครับ และบริเวณยอดฮิตก็พวกหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก และหลัง นะครับ ในปัจจุบันก็มาเทคโนโลยีเยอะแยะมากมาย ที่พยายามเข้ามาแก้ปัญหาพวกนี้

ทั้งการนวดลดไขมัน (Slimming massage)

การนวดด้วยเครื่อง (Sliming Lipo Slim)
การฉีดสารคาร์บอกซี่ (Carboxy Treatment)
การฉีดสลายแฟต (Meso Fat)
การร้อยไหม (Thread Body Fat Lifting)
การกำจัดไขมันด้วยความเย็น (Freeze Lipo Slim)
เทอมาร์จ (Thermarge)
การดูดไขมัน และการผ่าตัด
วิธีทั้งหมดข้างต้น สามารถลดไขมันได้ครับ มากน้อยต่างกัน และแน่นอนว่าเหมาะกับแต่ละปัญหา ที่ต่างกันของแต่ละคนครับ แต่วันนี้หมอจะมาแนะนำการยกกระชับ ด้วยเทคนิคล่าสุด (Ultra Lift Body) เหมาะมากๆ สำหรับกลุ่มที่ทำมาทุกอย่างแต่เอาไม่อยู่แล้ว เพราะไขมันจับตัวเป็นก้อนแข็งๆ แล้ว สิ่งที่น่าสนใจของ Ultra Lift Body ก็คือการยกกระชับที่เสมือนการผ่าตัด แต่ไม่ต้องเจ็บตัวเลย และไม่มีแผลเปิดเลยครับ

หลักการทำงาน

ด้วยหลักการทำงานด้วยคลื่น High Intensity Focus Ultrasound หรือที่เราคุ้นกับคำว่า HIFU คือการนำคลื่นเสียงความถี่สูง ที่สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกโดยโฟกัสเป็นจุดๆ ตรงลึกถึงโครงสร้างเนื้อเยื่อชั้นลึก (SMAS) พลังงานจะลงไปทำให้เส้นใยพังผืดหดกลับ กระชับตึงขึ้น กระตุ้นการทำงานของ fibroblast cell

ผลก็คือทำให้เกิดกระบวนการเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ของร่างกาย และจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนครับ
พูดให้เข้าใจมากขึ้นคือ คลื่นอัลตราซาวด์ที่ถูกโฟกัส การปล่อยพลังงานออกมาเฉพาะจุด และแต่ละจุดก็มีพลังงานสูงพอที่จะทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนังระดับลึก SMAS ได้ครับ ซึ่ง หลักการ High Intensity Focus Ultrasound นับเป็นนวัตกรรมเดียวที่สามารถทำงานลงลึกถึงผิวหนังชั้นเดียวกับการผ่าตัด ดึงผิวเลยครับ
ด้วยหลักการการส่งผ่านความร้อนแบบ HIFU นี้ ทำให้เกิดรอยหดตัวในชั้น SMAS ขนาดประมาณ 1 มม. คล้ายกับการเย็บเนื้อใต้ผิวหนัง ให้เป็นจุดห่างกัน1 มม. เรียงเป็นแนวต่อเนื่องแบบการเย็บ และละเอียดกว่าการร้อยไหม และที่สำคัญยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นๆ อีกใน 1-2 เดือน และเห็นผลอย่างชัดเจนต่อเนื่อง เป็นเวลาสองถึงสามเดือนขึ้นไป รวมถึงจะได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อทำซ้ำ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
สำหรับความร้อนที่ส่งผ่าน คลื่นจะเป็นอุณหภูมิที่ 65 – 70 องศา ซึ่งอยู่ในช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการสร้างคอลลาเจนของผิว

ULTRA LIFT BODY ส่งพลังงานลงลึก ถึง 3 ระดับ

การที่ Ultra Lift ส่งพลังงานคลื่นอัลตร้าซาวน์ลงลึกถึง 3 ชั้นผิวของใบหน้า ด้วยหัว Tip ที่แตกต่างกัน 3 ระดับ และอุณหภูมิที่เหมาะสมในแต่ละบริเวณที่ทำ ด้วยหลักการนี้ ทำให้ทุกชั้นผิวที่ได้รับการส่งพลังงานจะถูกยกขึ้น พร้อมๆ กัน เปรียบเสมือนการศัลยกรรมดึงหน้า แบบไม่ต้องผ่าตัดเลยครับ
ภาพแสดงระยะของการลงลึกถึงชั้นผิวได้ 3 ระดับ
·      ส่งพลังงานลงลึกระดับ 4.5 mm.  ไปยัง ชั้นกล้ามเนื้อส่วนบน (SMAS) ปรับโครงสร้างให้เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อส่วนบนเกิดการเรียงตัวในแนวเดียวกัน ทำให้ผิวยกกระชับขึ้น เฟริมขึ้น
·      ส่งพลังงานลงลึกระดับ 1.5 mm.  ไปยัง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง (Superficial Dermis)  และ ระดับ 3.0 mm.  ไปยัง เนื้อเยื่อผิวหนังชั้นลึก (Deep Dermis) กระตุ้นการทำงานของคอลลาเจน และ เส้นใยอีลาสติน เพื่อคงดุลยภาพของผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอย ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ ให้กลับสู่สภาพปกติ ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

 

Q : ULTRA LIFT BODY เหมาะกับใคร ?  สามารถรักษาปัญหาอะไรได้บ้าง?

A: เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเซลลูไลท์ทุกคน และช่วยแก้ปัญหาตามนี้เลยครับ
         ยกกระชับคอ เหนียง
         ยกกระชับท้องแขน ปรับรูปร่างแขนทั้ง 2 ข้าง
         ลดไขมันหน้าท้อง กระชับสัดส่วน
         ยกกระชับก้น
         ยกกระชับต้นขา
         ยกกระชับขาใน
         ยกกระชับ สลายไขมันแผ่นหลัง
         กระชับเอว เน้นปรับรูปเอวให้ชัดขึ้น

Q: ควรรักษาบ่อยแค่ไหน และระยะเวลาในการเห็นผล

A: สามารถเห็นผลได้ในครั้งแรกที่ทำการรักษา แต่เพื่อผลการรักษาที่ดีอยางต่อเนื่อง แนะนำให้เมนเทน อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีปัญหาน้อย และ ปีละ 4 ครั้ง สำหรับผู้ที่มีปัญหาค่อนข้างเยอะ

Q: แล้วปัญหาเยอะน้อย มันดูกันยังไง

A: ดูไม่ยากครับ ปัญหามากน้อย แบ่งตามนี้เลยครับ
Soft cellulite
ปัญหาน้อย ลักษณะของไขมันที่พบจะนิ่มๆ เป็นก้อนไขมันขนาดเล็ก คล้ายเปลือกส้ม
พบบ่อยที่ บั้นท้าย หน้าท้อง สะโพก และต้นแขน พบมากในผู้หญิง 30-40 ปี สำหรับกลุ่มนี้ ถ้าหมั่นออกกำลังกายเยอะๆ แบบถูกวิธีก็จะหายไปเองครับ
Flaccid cellulite
ปัญหาปานกลาง ลักษณะจะเป็นก้อนหยุ่นๆ คล้ายๆ กล้ามเนื้อเหลวๆ บีบจับได้ง่าย พบบ่อยที่คางเหนียง รอบเอว หน้าท้อง พบใน ผู้หญิง 40 ปีขึ้นไป สำหรับกลุ่มนี้ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจัง และต้องคุมอาหาร ลดแป้ง น้ำตาล ควบคู่ไปด้วยครับ ถึงจะเอาอยู่ แต่ถือว่ายังรักษาได้ด้วย Ultra Lift Body ได้ไม่ยากครับ
Hard cellulite
เริ่มเป็นปัญหาที่น่ากังวลครับ ลักษณะของไขมันจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ หลายก้อน พบได้ที่ ก้น สะโพก บั้นท้าย เจอแม้คนที่ออกกำลังกายประจำ ก็ไม่หายไปละครับ จำเป็นต้องออกกำลังกายแบบเฉพาะเจาะจง เน้นการสร้างกล้ามเนื้อ ทั้งคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง และต้องลดแป้ง ไขมัน น้ำตาล ขนมหวาน ควบคู่ครับ

Q: ULTRA LIFT BODY ที่ใช้เทคนิค HIFU ปลอดภัยหรือเปล่า ?

A:  เทคโนโลยีอัลตร้าซาวด์ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาทางการแพทย์มานานกว่า 50 ปี และมีการใช้ HIFU โดยแพทย์ผิวหนัง ทั่วโลกมามากกว่า 3,000 ราย พบว่ามีความปลอดภัยสูง และเป็นที่ยอมรับถึงประสิทธิภาพและผลการรักษาอย่างมาก ที่สำคัญตัวเครื่องผ่านการรับรองมาตรฐาน อย เรียบร้อยแล้ว

Q: เปรียบเทียบ ULTRA LIFT BODY กับวิธีลดไขมันอื่นๆ

A:  คร่าวๆ ตามตารางเลยครับ

Q : ระยะเวลาในการรับบริการ ULTRA LIFT

A : 30 – 60 นาที โดยประมาณ ขึ้นกับบริเวณที่ทำ และปัญหาผิวของแต่ละท่านครับ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หมอแนะนำให้ทำปีละ 2 – 3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างจากการทำครั้งแรกอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่ผิวได้รับการกระตุ้นให้เกิดการเรียงตัวของคอลลาเจน และ อีลาสตินใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

Q: ขณะรักษา ULTRA LIFT BODY จะรู้สึกอย่างไร?

A: ขณะทำการรักษา แพทย์จะปรับพลังงานให้พอดีกับสภาพผิวของคนไข้ โดยคนไข้จะรู้สึกอุ่นๆ สบายในบริเวณที่ทำการรักษา ไม่เจ็บ ไม่ต้องทายาชา ไม่มีแผลเปิด หรือรอยแดง รอยช้ำ หลังการทำสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติครับ

Q : ทำแล้วอยู่ได้นานไหม

A : แนะนำว่าถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ให้ทำ 3 ครั้งในปีแรก และเราเมนเทนปีละ 1 ครั้งหลังจากนั้น
แต่จะอยู่นานไหม ขึ้นกับพฤติกรรมเกือบ 80% เลยครับ หมอขอว่าเรื่องอาหารควรระวัง ไม่ออกกำลังกายยังไม่เท่าไร ขอควบคุมเรื่องอาหารให้เป๊ะก่อน รับรองว่าผลจะอยู่ได้นาน 3-5 ปีเลยครับ

Q : แล้วไขมันมันหายไปไหน

A : เจ้าก้อนไขมันที่มีขนาดใหญ่ ก็จะมีขนาดเล็กลง และก้อนที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วก็จะถูก ส่งต่อไปที่ตับ เพื่อกำจัดตามกระบวนการขับของเสียของร่างกายมนุษย์ ตามปกติครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย และสำหรับเครื่อง Ultra Lift Body ก็ผ่านการรับรองจาก อย เรียบร้อยครับ

Q: วิธีการดูแลรักษาตัวเองหลังจากรับบริการ

A: โดยทั่วไปการดูแลหลังการรักษา แทบไม่แตกต่างครับ หมอแนะนำให้ดื่มน้ำ เยอะๆ คนไข้สามารถแต่งหน้า เล่นกีฬาและใช้ชีวิตปกติได้ทันทีครับ

รูปแสดงก่อนและหลังการทำทรีตเม้นต์ Ultra Lift Body

Permanent Hair Removal กำจัดขนถาวร

 

เส้นขนมีกี่แบบ

วงจรชีวิตของขนมี 3 ระยะคือ Anagen (ระยะเติบโต) , Catagen (ระยะพัก) และ Telogen (ระยะก่อนหลุด)

ขนในแต่ละบริเวณของร่างกายจะมีอายุไม่เท่ากัน เช่น บนศรีษะก็จะมีอายุประมาณ 3-4 ปี ใต้วงแขน ก็ประมาณ 1-3 เดือน นอกจากนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ เพศ วัย อีกด้วย

Anagen เป็นระยะเติบโตของขน ระยะนี้ต่อมขนอยู่ลึกในชั้น dermis มีเส้นเลือดมาเลี้ยง มีลักษณะเป็นกระเปาะ มีเม็ดสีอยู่ด้วย และมีรากที่พร้อมจะสร้างขนใหม่ พอครบอายุของมันแล้ว เส้นขนก็ จะเข้าสู่ระยะที่สอง และ 3 ต่อไป ต่อมขนจะเลื่อนสูงขึ้น สีเริ่มจางลง แยกตัวจากเส้นเลือดที่มาเลี้ยง และหลุดไปในที่สุด แล้วก็จะเกิด ขนระยะ Anagen ที่เกิดใหม่มาแทนที่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

หลักการกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์​

สำหรับการกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์ เลเซอร์กำจัดขนจะทำงานกับขนในระยะ Anagen เท่านั้น โดยการส่งผ่านพลังงาน และแสงเลเซอร์ไปที่รากขน โดยเมลามีนหรือเซลล์เม็ดสี ที่รากขน จะดูดซับพลังงานแสงเลเซอร์  และถุกทำลายอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากอาการข้างเคียง ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือ วงจรการเกิดขน ใหม่จะช้าออกไปเรื่อยๆ เส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดที่เล็กลง สีอ่อนลง และจะค่อยๆ ขึ้นน้อยลง จนหมดไปในที่สุด อีกทั้งยังช่วยให้ผิวเรียบเนียนเกลี้ยงเกลาขึ้น

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงต้องทำเลเซอร์หลายครั้ง เพราะว่าเราไม่สามารถบอกได้ว่า ในกระจุกนี้มันมีขนระยะเติบโตอยู่กี่เส้น แต่ละครั้งที่ยิงเลเซอร์ก็จะกำจัดขนที่อยู่ในระยะเติบโตให้หลุดไป และต้องรอให้ขนที่อยู่ในระยะอื่นๆ เข้าสู่ระยะเติบโต แล้วจึงกำจัดออกไปได้ แต่ละครั้งที่ยิงเลเซอร์จึงจำเป็นต้องทิ้งระยะห่างประมาณ 1 เดือน แต่ในบางพื้นที่เช่นหนวด อาจจะยิงซ้ำทุก 2 สัปดาห์ก็ได้ เพราะอายุของขนในบริเวณนั้นสั้นกว่า และต้องทำซ้ำต่อเนื่องขึ้นอยู่กับว่าเส้นขนที่ขึ้นบริเวณนั้น ขึ้นเร็วช้ามากน้อยแค่ไหน เช่น หน้า หรือรักแร้ ควรทำซ้ำประมาณ 5 – 8 ครั้ง โดยปกติเมื่อทำไป 4- 5 ครั้ง ก็จะเหลือแต่ขนอ่อนๆ และค่อยๆ หมดไปในที่สุด ในบางกรณีอาจจะมีขนอ่อนๆขึ้นมาใหม่ได้บ้าง เพราะตราบใดที่เซลล์ยังมีการเจริญเติบโตก็อาจจะมีขนอ่อนๆ เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นเรื่องของฮอร์โมนตามธรรมชาติ

เครื่องเลเซอร์กำจัดขน แบบไหนดี

ปัจจุบันเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ในการกำจัดขนถาวร มีอยู่ประมาณ 3 ชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติ และข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน และเหมาะกับสีผิวที่แตกต่างกัน

1. Ruby Laser และ Alexandrite Laser ได้ผลดีในการกำจัดขนเส้นเล็กๆ แต่เหมาะกับคนผิวขาว ถ้าผิวคล้ำอาจมีปัญหาผิวไหม้ได้

2. Intense Pulsed Light (IPL) มีความยาวคลื่นสั้นกว่า สามารถนำมากำจัดขนได้ แต่ไม่เหมาะเท่าที่ควร ก่อนการทำต้องทาเจลเย็น

3. Long Pulse Nd : Yag Laser เหมาะสำหรับกำจัดขนถาวรทุกชนิด โดยเฉพาะชนิดที่มีรากลึกและเส้นขนหนาดำ เช่น รักแร้ ขาและหน้าแข้ง  การทำจะใช้ลมเย็น เป่าในระหว่างการทำ คนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำ ทำให้เป็นเครื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน และใช้ใน The Face Aesthetic

 

ภาพ แสดงการเปรียบเทียบการทำงานของเครื่องเลเซอร์กำจัดขน

 

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

ขึ้นอยู่กับขนาด ปริมาณ และสีของเส้นขน

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

การกำจัดขนถาวรด้วยวิธีนี้จะทำให้จำนวนขนที่ลดลงต่อครั้งมากกว่าการกำจัดขนด้วยวิธีอื่น และขนที่ขึ้นมาใหม่มีขนาดบางลงชัดเจน ระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้งประมาณ 4-5 สัปดาห์ จำนวนครั้งในการกำจัดขนถาวรประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นกับบริเวณที่ทำการรักษา เช่นการกำจัดขนรักแร้จะใช้จำนวนครั้งน้อยกว่าการกำจัดขนบริเวณ bikini

ผลข้างเคียงจากการรักษากำจัดขนถาวร?    

ในบางรายที่ผิวไวต่อความร้อนมากๆ บางบริเวณที่กำจัดขนด้วยเลเซอร์ จะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ ตามรูขุมขน ซึ่งจะยุบลงได้เองประมาณ 2 ชั่วโมง มีอาการระคายเคืองเล็กน้อยแต่เมื่อทายาลดการระคายเคืองประมาณ 20 นาทีอาการจะดีขึ้น บางรายผิวบริเวณนั้นจะเป็นสีชมพูอยู่ประมาณ 10 นาที ซึ่งเป็นอาการปกติของการกำจัดขนถาวรด้วยเลเซอร์

ก่อนเข้ารับการรักษาควรปฏิบัติตัวอย่างไร

ก่อนรักษาคนไข้ไม่ควรโกรก หรือ เปลี่ยนสีขน บริเวณนั้น เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการ กำจัดขน ทำได้ไม่ดีนัก เพราะ ขน ที่จะกำจัดได้ดีต้องเป็นสีดำ และถ้าไม่จำเป็นอย่าไปถอน ขน ด้วยตัวเอง เพราะการถอนจะทำให้โครงสร้างของรูขุมขนเปลี่ยนไป หรือไม่ควรโกนเพราะจะทำให้ เส้นขน ใหญ่ขึ้น ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้น ในระหว่างการรักษา หาก ขน ยาวควรใช้เพียงการตัดเล็มในส่วนที่โผล่พ้นผิวหนังออกมาเท่านั้น  และผู้ป่วยที่มีสิวอักเสบ หรือเป็นโรคสะเก็ดเงิน ไม่ควรทำเลเซอร์กำจัดขนเป็นอันขาด

เลเซอร์กำจัดขนเป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย มีการวิจัยและยืนยันผลตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และ การแพทย์ว่าสามารถกำจัดขนได้ดี ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง แต่ทั้งนี้ก็ควรเข้ารับการรักษาจากคลินิกที่ได้มาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลคะ 

 

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว

ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

Line :  https://line.me/R/ti/p/%40thefaceaesthetic

 

Freeze Lipo กำจัดไขมันด้วยความเย็น

Freeze Lipo กำจัดไขมันด้วยความเย็น
Freeze Lipo กำจัดไขมันด้วยความเย็น

ปัจจุบันนี้การขจัดไขมันส่วนเกิน มีหลากหลายวิธี และหลากหลายนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เลือก

หากพูดถึงการกำจัดไขมันออกจากร่างกายทั่วๆ ไป เราคงคิดถึงวิธีการใช้ความร้อน คลื่นวิทยุ หรือการนวด ทำให้ไขมันแตกตัว หรือใช้วิธี Liposuction ดูดไขมันออกจากร่างกาย แต่วันนี้ The Face Aesthetic อยากแนะนำเทคนิคการกำจัดไขมันที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัวคะ

เทคโนโลยีที่ช่วยสลายไขมันที่ได้รับความนิยมมากที่สุดขณะนี้ คือการสลายไขมันส่วนเกิน ด้วยความเย็นโดยไม่ต้องผ่าตัด วิธีนี้เกิดจากแรงบันดาลใจ ของนักวิทยาศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่สังเกตุพบว่า เด็กกินไอศกรีมแล้วแก้มจะบุ๋มเข้าไป จึงนำมาศึกษาและวิจัย แล้วพบว่าความเย็นที่ติดลบในระดับหนึ่งจะทำให้เซลล์ไขมันตาย โดยไม่ทำความเสียหายแก่เซลล์อื่นๆ ข้างเเคียงจึงเป็นที่มาของเทคนิคนี้ และเป็นที่ฮือฮาแก่วงการแพทย์ผิวหนังเป็นอย่างมาก

กลไกการทำงานของเทคโนโลยีชนิดนี้ คือ เครื่องมือจะปล่อยความเย็นเข้าไปจับไขมันบริเวณที่ทำการรักษา โดยกระบวนการดังกล่าวเป็นแบบ non-invasive จึงไม่ทำให้เกิดรอยแผล ไม่ทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ไม่ต้องพักฟื้น เซลล์ไขมันมีอุณหภูมิเข้าสู่จุดเยือกแข็งจะเกิดกระบวนการทำลายตัวเองที่เรียกว่า Apoptosis โดยความเย็นจะทำให้เซลล์ไขมันแข็งตัวและตายไปในที่สุด โดยกระบวนการจะค่อยเป็นค่อยไป เซลล์ไขมันจะค่อยๆ ทำลายตัวเองและสลายไปเรื่อยๆ ผู้รับการรักษาจึงจะเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดใน 2-3 เดือน ซึ่งเซลล์ที่ตายแล้วจะถูกขับออกจากร่างกายของเราตามกระบวนการของร่างกาย

และจะเห็นผลชัดเจนในบริเวณไขมันหน้าท้อง และไขมันบริเวณเอวด้านหลัง ในการรักษาเพียง 1 ครั้ง สามารถลดจำนวนเซลล์ไขมันได้ถึง 20%

การลดไขมันด้วยโปรแกรม Freeze Lipo นี้ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับการดูดไขมัน แต่ต่างกันตรงที่คนไข้เจ็บตัวน้อยกว่า ไม่มีแผลเปิด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องใช้ยาชา และหลังการรักษาสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ข้อดีของการลดไขมันด้วยวิธีนี้ คือช่วยให้ผิวกระชับกว่าการดูดไขมัน เพราะจะมีผลค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผิวกระชับ ต่างจากการดูดไขมันที่จะทำให้ผิวเหี่ยวลงทันที เพราะไขมันถูกดูดออกไปทันที

ขั้นตอนการรักษา

หลังจากเลือกบริเวณที่จะติดตัวเครื่องให้แนบสนิทกับผิวหนังด้วยระบบสุญญากาศ และเครื่องเริ่มทำงานแล้ว 5 นาทีแรกจะรู้สึกได้ว่ามีการดึง การดูด เล็กน้อยและจะเริ่มรู้สึกเย็น หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์ในเครื่องจะปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมโดยเครื่องมือนี้จะส่งคลื่นความเย็นในระดับติดลบ ซึ่งมีผลต่อการไหลเวียนของเลือดที่มีผลต่อเซลล์ไขมันเท่านั้น โดยโปรแกรมนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 45 – 60 นาที

ผลการรักษาเป็นอย่างไร

ผลการรักษานั้นจะปรากฏอย่างเร็วประมาณ 3 สัปดาห์และเห็นชัดเจนมากขึ้นในสัปดาห์ที่6 และจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องในเดือนที่ 2 แต่ร่างกายยังคงขจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้วเหล่านั้นจนครบไปเรื่อยๆกระทั่งเข้าเดือนที่ 4

ใครเหมาะสมต่อการรักษาด้วยโปรแกรม Freeze Lipo

วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสม ต้องการลดเฉพาะส่วน เช่น ผู้ที่มีหน้าท้อง เพิ่งคลอดบุตร หรือผู้ที่ต้องการลด สะโพก ต้นขา ปีกหลังใต้วงแขน เน้นว่าเป็นการกำจัดไขมันเฉพาะส่วนนะคะ ถ้าเป็นคนอ้วนมาก หรือมีไขมันในทุกส่วน ก็จะไม่แนะนำวิธีนี้คะ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง :

review จากคุณ Feonalita http://www.youtube.com/watch?v=Kvdag-4KhO8

การนวดด้วยเครื่อง 3D https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/v1/treatment_detail.php?id=14

การฉีดก๊าซ สลายไขมัน https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/v1/treatment_detail.php?id=12

การฉีดสารลดไขมันพร้อมยกกระชับ https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/v1/treatment_detail.php?id=33

The Face Aesthetic

ปรับรูปหน้า l ปรับสีผิว l Anti Aging ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

Vascular Treatment รักษาเส้นเลือดขอด
เส้นเลือดขอดคืออะไร

เส้นเลือดขอดที่ขามี 2 ประเภท คือ เส้นเลือดโป่ง (Varicosed Veins) เกิดจากผนังเส้นเลือดบางลง ทำให้เส้นเลือดพองออก และขดเป็นหยัก อีกประเภทหนึ่งคือเส้นเลือดแมงมุม (Spider Veins) ซึ่งอยู่ตื้นมีขนาดเล็กสีม่วงหรือแดง มองเห็นคล้ายตัวแมงมุม

เส้นเลือดของคุณเหมาะที่จะรักษาด้วยแสงเลเซอร์หรือไม่?   

ถ้าเส้นเลือดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3 มิลลิเมตร จะให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ หากเกิน 3 มิลลิเมตร มักจะใช้วิธีฉีดยาสลายเส้นเลือด แต่อย่างไรก็ตามแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัย พร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนและวิธีการรักษาให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

ข้อจำกัดหรือข้อควรปฏิบัติก่อนการรับการรักษา มีอะไรบ้าง?    

เนื่องจากเป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1064 nm เป็นชนิดที่สามารถทะลุลงได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ โดยไม่เป็นอันตรายแต่ผิวชั้นบน สามารถรักษาความผิดปกติของเส้นเลือดแดงฝอยขนาดเล็กที่มีสีแดง และเส้นเลือดฝอยขนาดใหญ่และมีสีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขึ้นกับการปรับตั้งเครื่องของแพทย์ให้เหมาะสมกับการรักษาแต่ละชนิด

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?    

แพทย์จะใช้เครื่องมือ ยิงลำแสงเลเซอร์ในบริเวณที่ต้องการรักษา โดยแสงจะผ่านผิวหนัง ไปยังเส้นเลือดโดยมีฮีโมโกลบิลเป็นตัวดูดซับแสงแล้วเปลี่ยนเป็นความร้อน ทำให้เส้นเลือดสลายตัว หลังฉายแสงใหม่ๆ เส้นเลือดจะเกิดการอุดตันและแฟบลง หลังรักษาอย่างต่อเนื่องตามระยะที่แพทย์เห็นสมควร เส้นเลือดที่ถูกทำลายจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไม่ปรากฏเส้นเลือดเดิมให้เห็นอีก

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?    

คนไข้จะรู้สึกร้อนเล็กน้อย ตรงบริเวณที่ทำเลเซอร์ โดยทั่วไปคนไข้สามารถไปทำงานได้ทันทีหลังจากทำการรักษาเสร็จโดยไม่จำเป็นต้องหยุดงาน

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?    

ประมาณ 20-45 นาที

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?    

ส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยเลเซอร์ 2-4 ครั้ง มักจะใช้เวลา 2-3 เดือน ผลจึงจะสมบูรณ์

ผลข้างเคียงจากการรักษา    

การกำจัดเส้นเลือดด้วยเทคนิคเลเซอร์นั้น ผลข้างเคียงจากการกำจัดเส้นเลือดที่หน้า หลังทำการรักษาจะเห็นผิวบริเวณนั้นเป็นรอยแดงเข้มถึงคล้ำอยู่ประมาณ 2-5 วัน

ส่วนการกำจัดเส้นเลือดบริเวณขา อาจเกิดตุ่มน้ำพองและผิวจะเป็นสีเข้มขึ้นอยู่ประมาณ 7-10 วัน

LIPO FIRMING 3D

 

        ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องไขมันและ เซลลูไลท์เป็นปัญหาใหญ่ของคุณผู้หญิงหลายๆ คน นอกจากเรื่องความสวยงามแล้วยังอาจก่อให้เกิดโรคจากการที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปด้วย เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหากการไหลเวียนของน้ำเหลืองมีประสิทธิภาพลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนของเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดและเท้าบวมตามมา จากผลการสำรวจพบว่า 80%ของผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มักเริ่มมีเซลลูไลท์และเมื่ออายุมากกว่า 50 จะมีผิวเซลลูไลท์ให้เห็นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติเผ่าพันธุ์

โดยปัจจุบันเรามีนวัตกรรมที่ช่วยให้ลดไขมันและเซลลูไลท์ได้ในเวลาเดียวกัน นั่นคือ เครื่อง Lipo-3D ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเทคโนโลยี ALUMA จากสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการรับรอง FDA ว่าสามารถช่วยสลายไขมันพร้อมกับกระชับและลดริ้วรอยของผิวหนังได้จริง โดยใช้การทำงานร่วมกันของ Bipolar Radio Frequency และ Near-Infrared Laser ควบคู่กับหัวนวด  Tissue manipulation โดยลำแสงเลเซอร์อินฟาเรดจะช่วยลด skin impedance โดยทำให้ใต้ผิวเกิดความร้อน ช่วยในการเผาผลาญ และหัวนวด  Tissue manipulation ซึ่งเป็นระบบสูญญากาศที่ออกแบบเป็นพิเศษ ช่วยให้คลื่น RF ผ่านเข้าสู่ใต้ผิวได้ถึง 5-15 มม. ซึ่งเป็นระยะที่ไขมันสะสมอยู่ และคลื่น RF จะช่วยสลายไขมันและยกกระชับ นอกจากนี้การทำงานประสานกันระหว่างเลเซอร์อินฟาเรด และคลื่น RF ยังช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเซลล์อีกด้วย โดยทรีตเม้นต์นี้ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น  แต่ให้ผลเทียบเท่ากับการ Cardio 2-3 ชั่วโมงเลยค่ะ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมข้างล่างได้เลยค่ะ

 

 

เซลลูไลท์ แบ่งได้ดังนี้

1. Hard Cellulite: พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย (20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะที่พบ คือ เมื่อบีบตามร่างกายจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ พบบ่อยบริเวณสะโพก และบั้นท้าย
2. Flaccid Cellulite: พบได้ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบบ่อยบริเวณท้องแขน คาง รอบเอว และหน้าท้อง
3. Edematous Cellulite: เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบบ่อยที่ต้นขา สะโพก พบว่าผิวหนังดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม
4. Mixed Cellulite: พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในหนึ่งคนอาจพบเซลลูไลท์ทุกแบบ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

พัฒนาการของ… เซลลูไลท์ตัวร้าย

ระยะที่ 0: เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้น แต่ไม่มาก ไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืน หรือการนอนจะไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้มแต่อย่างใด แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาจะปรากฏเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น
ระยะที่ 1: ยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้เช่นเดียวกับระยะที่ 0 แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อขึ้นมาพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้น
ระยะที่ 2: สามารถเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืนโดยไม่จำเป็นต้องจับขึ้นมาดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นได้
ระยะที่ 3: ไม่ว่าจะยืนหรือนอนจะสามารถเห็นเป็นผิวเปลือกส้มได้ทั้งหมด เป็นระยะที่รักษายากที่สุดเพราะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาในระยะเวลานานมาก
ทั้งนี้ ระยะการก่อตัวของเซลลูไลท์จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ประกอบกับการกินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นต้น

วิธีจัดการเซลลูไลท์เจ้าปัญหา

ปัจจุบันแม้เราจะยังไม่มีวิธีขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผล 100% แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการสลายเซลลูไลท์ที่เห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งวิธีสลายเซลลูไลท์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่…
เมโซเธอราปี (Mesotherapy)
สลายไขมันเฉพาะส่วนด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังชั้นเมโซเดิร์ม (Mesoderm) ทำให้กระบวนการเกิดไขมันถูกขัดขวาง ทำให้ไขมันสลายตัวในที่สุด
คาร์บ็อกซี เธอราปี (Carboxy Therapy, Carbondioxide Therapy) 
สลายไขมันเฉพาะส่วน ด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อสลายเซลลูไลท์ และไขมันทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และสลายเซลลูไลท์สลายตัวไปในที่สุด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและไขมันของผู้ต้องการลดเซลลูไลท์เป็นสำคัญ
การนวดด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์ (Ultrasonic Massage) 
การนวดผิว ด้วยคลื่นอัลตร้าซาวน์ (Ultrasound) โดยทายาสลายไขมันไว้ตามร่างกายส่วนที่ต้องการลดและใช้เครื่องนวดไปตามบริเวณนั้นๆ เพื่อให้ยาซึมลงไปใต้ผิวหนังได้ลึกขึ้นและช่วยสลายเซลลูไลท์ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและเซลลูไลท์ที่ต้องการลด
การออกกำลังด้วยเครื่องโฮบอดี้ ไวเบรชั่น (Whole body Vibration Exercise)   
เป็นเสมือนการออกกำลังกาย หลักการทำงานคือเมื่อยืนอยู่บนเครื่องไวเบชั่น เครื่องจะเกิดการสั่นสะเทือนทำให้ร่างกายสั่นสะเทือนตามให้ผลเหมือนการนวดตัว และสลายเซลลูไลท์ในเวลาเดียวกัน
การนวดแบบเอนเดอร์โมโลยี (Endermologie) 
การนวดกำจัดเซลลูไลท์เฉพาะส่วน ด้วยเครื่องสูญญากาศ โดยส่วนหัวของเครื่องจะมีท่อสุญญากาศอยู่ตรงกลางและด้านข้างเป็นลูกกลิ้งคู่ขนาน เมื่อต้องการใช้งาน ท่อสุญญากาศจะทำหน้าที่ดูดผิวบริเวณที่ต้องการขึ้นมา และลูกกลิ้งด้านข้างจะทำหน้าที่นวดเนื้อบริเวณนั้น ทำติดต่อกัน 14 ครั้ง โดย 7 ครั้งแรก ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และลดลงเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือตามแต่ผู้เชี่ยวชาญจะวินิจฉัย
Recommended !!!!

โปรแกรม Lipo Firming 3D เป็นโปรแกรมกระชับสัดส่วนที่เห็นผลมากที่สุด ตั้งแต่การทำครั้งแรก ด้วยเทคนิคการนวด เน้นการกดจุด และตี รีดไขมันโดยเฉพาะ ร่วมกับการใช้เครื่อง Power Shape ซึ่งเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเทคโนโลยี ALUMA จากสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับการรับรอง FDA ว่าสามารถกระชับและลดริ้วรอยของผิวหนังได้จริง แม้กระทั่งส่วนที่บอบบางอย่างผิวหน้า และรอบดวงตา โดยใช้การทำงานร่วมกันของ Bipolar Radio Frequency และ Near-Infrared Laser ควบคู่กับหัวนวด  tissue manipulation ซึ่งเป็นระบบสูญญากาศที่ออกแบบเป็นพิเศษ ช่วยให้คลื่น RF ผ่านเข้าสู่ใต้ผิวได้ถึง 5-15 มม.  พิสูจน์ความปลอดภัยและความมีประสิทธิภาพของโปรแกรม ได้จากผลลัพธ์ของการกำจัดส่วนเกินและริ้วรอยในทุกส่วนของร่างกายภายในเวลา 40 นาทีเท่านั้น

หลักการทำงานของเครื่องมือ

ด้วยลำแสงเลเซอร์อินฟาเรดจะช่วยลด skin impedance โดยทำให้ผิวเกิดความร้อน และส่งคลื่น RF ทะลุเข้าไปในเนื้อเยื้อ โดยการทำงานประสานกันระหว่างเลเซอร์อินฟาเรด และคลื่น RF จะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเซล โดยการส่งความร้อนให้กับผิว หัวสูญญากาศและลูกกลิ้งที่ออกแบบเป็นพิเศษจะส่งให้คลื่น RF ทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังได้ถึง 5-15 มม. และการใช้หัวสูญญากาศ และลูกกลิ้งยังช่วยยืดหยุ่นเนื้อเยื้อและสลายไขมันใต้ผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ
    
ด้วยเทคนิคเครื่องนวดระบบสุญญากาศ เป็นการรักษาที่ช่วยขจัดเซลลูไลท์ได้อย่างตรงจุด เพื่อช่วยกระชับสัดส่วนให้ผิวเรียบเนียน ไม่เป็นคลื่น ช่วยจัดเรียงไขมันใต้ผิวหนังให้เรียบเนียน รวมทั้งยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
หลักการทำงานของเครื่องนวดระบบสุญญากาศคือ เครื่องนวดจะดูดผิวขึ้นมา และนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อและผิวหนัง ทำให้เกิดระบบไหลเวียนที่ดีในระบบเลือดและน้ำเหลือง ทำให้สามารถกำจัดของเสียออกจากเซลล์ได้มากขึ้น จึงทำให้เซลล์ได้รับสารอาหารมากขึ้น ผลก็คือ การคั่งของของเสียในเซลล์ไขมันลดลง ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อน ที่เกิดเป็นเซลลูไลท์จึงถูกขจัดออกไปอย่างง่ายดาย สามารถใช้ได้กับทุกสัดส่วนของร่างกาย ทั้งสะโพก ก้น ต้นแขน หน้าท้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นขา ซึ่งจะช่วยให้สาวๆ ได้โชว์เรียวขาสวยๆ โดยไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป
 

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร ?

Therapist จะนวดเดรนน้ำเหลือง และนวดไล่ไขมัน สลับกับการนวดด้วยเครื่อง
ด้วยระบบ Super Vacuum จะนวดดูดและคลายกระตุ้นกล้ามเนื้อเป็นจังหวะ เพื่อให้เซลลูไลท์นุ่มลง ก้อนไขมันแตกตัว  รวมถึงกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองเพื่อกำจัดไขมันและของเสียออกไป ร่วมกับการทำงานของ Precise Lipolaser : คลื่นเลเซอร์ไดโอดรุ่นใหม่ปล่อยคลื่นลงสู่ผิวชั้นลึก ลงไปยังก้อนไขมัน เพื่อลดขนาดและช่วยเสริมประสิทธิภาพ ทำลายเซลล์ไขมัน  อีกคุณสมบัติคือ Turbo Radiofrequency : คลื่นวิทยุพลังงานสูง ยิงตรงเข้าสู่ผิวชั้นลึกเพื่อกระต้นการสร้างและ จัดเรียงตัวของคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ทำให้ผิวแน่นและเฟิร์ม รวมถึงทำลายไขมันใต้ชั้นผิวถึงชั้น cell wall ถือเป็นการทำให้เซลล์ไขมันแบบ
และไม่กลับมาสะสมอีก หลังจากนั้น ของเสียที่คั่ง สารพิษ และไขมันที่ถูกทำลาย จะส่งผ่านเข้าในระบบเลือด เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกไป
ด้วยเทคโนโลยี 3 พลังงาน ของ PowerShape™ จะช่วยให้คุณได้สัดส่วนเฟิร์มกระชับ เรียบเนียน ลดไขมัน และรอยแตกลายไปพร้อมๆกัน ข้อดีอีกข้อคือ PowerShape™ สามารถทำร่วมกับการฉีดสลายไขมัน Meso Lipolysis เพื่อผลการสลายไขมัน กระชับสัดส่วนที่ไวยิ่งขึ้นที่ดียิ่งขึ้น
    
รูปแสดงระบบการดูดแบบ Super Vaccum และ ระบบเลเซอร์ Precise Lipo Laser
    

ขณะทำจะรู้สึกอย่างไร

ขณะทำจะรู้สึก ตึงๆ และเหมือนถูกกด นวด ผิวบริเวณที่ถูกดูดจะตึงๆ อาจเจ็บบ้างในครั้งแรก แต่ไม่ได้เจ็บถึงขนาดจะทนไม่ไหว การรักษาไม่จำเป็นต้องทายาชา หรือฉีดยาชาแต่อย่างใด

ควรทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล

สามารถเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่รับทรีทเม้นต์ แต่ผลจะชัดเจน และยาวนานขึ้นเมื่อทำทรีทเม้นต์จนจำนวนไขมันลดลง หรือหมดไป สำหรับจำนวนครั้งที่ทำ จะขึ้นกับปัญหาของแต่ละท่าน ปกติควรทำเดือนละ 2-3 ครั้ง และทำต่อเนื่อง 3-4 เดือน

ภาพก่อนและหลังการทำ ทรีทเม้นต์ Lipo Firming

   
ก่อน                                                      หลัง

   
ก่อน                                                               หลัง

   
ก่อน                                                             หลัง

  
ก่อน                                                      หลัง

   
ก่อน                                                          หลัง

หลักการทำงานของเครื่อง

SLIMMING MASSAGE
ต้องยอมรับว่า..ปัญหาเรื่องเซลลูไลท์เป็นปัญหาใหญ่ของคุณผู้หญิงหลายๆ คน จากผลการสำรวจพบว่า 80%ของผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มักเริ่มมีเซลลูไลท์และเมื่ออายุมากกว่า 50 จะมีผิวเซลลูไลท์ให้เห็นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ โดยมีวิธีหนึ่งที่ผ่อนคลายและสลายเซลลูไลท์ได้ด้วย นั่นคือ การนวดสลายไขมัน วิธีนี้ใช้หลักการนวดที่มีมาตั้งแต่โบราณ โดยจะกระตุ้นการขับของเสีย ให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และด้วยครีมสูตรเฉพาะของทางคลินิก จะช่วยเรื่องเผาผลาญ สลายไขมันได้อีกด้วย วิธีนี้อาจจะใช้เวลาในการรักษานานกว่า แต่จะเห็นผลยั่งยืนแน่นอนค่ะ

เซลลูไลท์(Cellulite) หมายถึง เซลล์ก้อนไขมันที่มีขนาดใหญ่ อยู่ใต้ผิวหนังที่อัดกันอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งจะนูนขึ้นมาที่บริเวณผิวหนัง จะเป็นตะปุ่มตะป่ำ บริเวณนี้เรียกว่า เซลลูไลต์ หรือเรียกว่าผิวเปลือกส้ม เซลลูไลท์นี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายซึ่งร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก (เซลลูไลต์มักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผู้หญิงเรียงเป็นแนวตั้ง และมีปริมาณไขมันสะสมมาก ส่วนของผู้ชายเรียงเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กๆ และมีปริมาณไขมันสะสมน้อย จึงพบเซลลูไลต์ได้น้อยกว่าในผู้ชาย)

เซลลูไลท์ แบ่งได้ดังนี้

1. Hard Cellulite: พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย (20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะที่พบ คือ เมื่อบีบตามร่างกายจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ พบบ่อยบริเวณสะโพก และบั้นท้าย

2. Flaccid Cellulite: พบได้ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบบ่อยบริเวณท้องแขน คาง รอบเอว และหน้าท้อง

3. Edematous Cellulite: เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบบ่อยที่ต้นขา สะโพก พบว่าผิวหนังดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม

4. Mixed Cellulite: พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในหนึ่งคนอาจพบเซลลูไลท์ทุกแบบ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

 

พัฒนาการของ… เซลลูไลท์ตัวร้าย

ระยะที่0: เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้นแต่ไม่มาก ไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืน หรือการนอนจะไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้มแต่อย่างใด แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาจะปรากฏเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น

ระยะที่1: ยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้เช่นเดียวกับระยะที่ 0 แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อขึ้นมาพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้น

ระยะที่2: สามารถที่จะสังเกตเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืน โดยไม่จำเป็นต้องจับขึ้นมาดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นได้

ระยะที่3: ระยะนี้ไม่ว่าจะยืนหรือ นอนจะสามารถเห็นเป็นผิวเปลือกส้มได้ทั้งหมด เป็นระยะที่รักษายากที่สุดเพราะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาในระยะเวลานานมาก

ทั้งนี้ ระยะการก่อตัวของเซลลูไลท์จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ประกอบกับการกินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นต้น

วิธีจัดการเซลลูไลท์เจ้าปัญหา

ปัจจุบันแม้เราจะยังไม่มีวิธีขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผล 100% แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการสลายเซลลูไลท์ที่เห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในวิธีสลายเซลลูไลท์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน สำหรับท่านที่ไม่มีปัญหามากนัก ได้แก่… การนวดสลายเซลลูไลท์

 

การนวดสลายเซลลูไลท์ ช่วยในเรื่องอะไรได้บ้าง?

  1. เนื่อครีมสูตรพิเศษจะช่วยเร่งให้เกิดการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
  2. กระตุ้นและขับของเสียออกไป
  3. ขจัดไขมันและเซลลูไลต์ ทำให้ผิวเรียบตึง
  4. ช่วยให้เกิดความผ่อนคลายสบายตัว”

 

หลักการนวดสลายเซลลูไลท์

การนวดโดยผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการนวดที่ทำให้ไขมันที่สะสมกระจายตัวออกและการนวดจะทำให้ระบบการระบายของเสียสู่ระบบน้ำเหลืองได้ดีมากขึ้น สังเกตุว่าเวลานวดจะปวดปัสสาวะบ่อย การนวดเพื่อให้ผลที่ชัดเจนอาจจะต้องใช้เวลา ซึ่งไม่เหมาะกับคนใจร้อน แต่วิธีนี้ก็จะให้ผลที่ยั่งยืนกว่า

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

ผู้เชี่ยวชาญจะใช้ครีมสลายไขมันทาบริเวณที่ต้องการนวด และเริ่มนวดด้วยมือในลักษณะรีดเส้น เพื่อให้ไขมันกระจายตัวออกไปจากนั้นจะนวด drain ไขมัน อีกครั้งเพื่อให้ระบบการระบายของเสียทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ระหว่างการรักษาจะรู้สึกอุ่นสบายๆ และผ่อนคลาย

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

ประมาณ 30-45 นาที

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

การกระชับผิวลดสัดส่วนด้วยการนวดอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย โดยต้องทำต่อเนื่องประมาณ 5-6 ครั้งจึงจะเริ่มเห็นผล

ผลการรักษาอยู่ได้นานแค่ไหน?

ผลการรักษาอยู่ได้นาน 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล แนะนำให้ทำควบคู่กับการนวดด้วยเครื่อง slim lipo เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

ผลข้างเคียงจากการรักษา

อาจมีรอยแดงหลังการรักษา และจะหายไปภายใน 1-2 ชม.

 

อย่างไรก็ตามวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไม่มากนัก แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหามาก ควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ควบคู่ เช่นการนวดด้วยเครื่องมือ การฉีดสลายด้วยก๊าซ การลดด้วยความเย็น หรือ การฉีดลดไขมัน เป็นต้น ทั้งนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการรับการรักษาจะดีที่สุดคะ ^^

CARBOXY CELLULYSIS TREATMENT

ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องเซลล์ลูไลท์เป็นปัญหาใหญ่ของคุณผู้หญิงหลายๆ คน นอกจากเรื่องความสวยงามแล้วยังอาจก่อให้เกิดโรคจากการที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปด้วย เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหากการไหลเวียนของน้ำเหลืองมีประสิทธิภาพลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนของเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดและเท้าบวมตามมา แต่ปัจจุบันมีวิธีลัดในการกำจัดเซลล์ลูไลท์ โดยการฉีดก๊าซสลายไขมันและเซลลูไลท์ ใช้เวลาไม่นาน ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลเร็ว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมข้างล่างได้เลยค่ะ

เซลลูไลท์(Cellulite) หมายถึง เซลล์ก้อนไขมันที่มีขนาดใหญ่ อยู่ใต้ผิวหนังที่อัดกันอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งจะนูนขึ้นมาที่บริเวณผิวหนัง จะเป็นตะปุ่มตะป่ำ บริเวณนี้เรียกว่า เซลลูไลต์ หรือเรียกว่าผิวเปลือกส้ม เซลลูไลท์นี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายซึ่งร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพก (เซลลูไลต์มักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผู้หญิงเรียงเป็นแนวตั้ง และมีปริมาณไขมันสะสมมาก ส่วนของผู้ชายเรียงเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กๆ และมีปริมาณไขมันสะสมน้อย จึงพบเซลลูไลต์ได้น้อยกว่าในผู้ชาย)

เซลลูไลท์ แบ่งได้ดังนี้

1. Hard Cellulite: พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย (20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะที่พบ คือ เมื่อบีบตามร่างกายจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ พบบ่อยบริเวณสะโพก และบั้นท้าย

2. Flaccid Cellulite: พบได้ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบบ่อยบริเวณท้องแขน คาง รอบเอว และหน้าท้อง

3. Edematous Cellulite: เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบบ่อยที่ต้นขา สะโพก พบว่าผิวหนังดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม

4. Mixed Cellulite: พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในหนึ่งคนอาจพบเซลลูไลท์ทุกแบบ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

พัฒนาการของ… เซลลูไลท์ตัวร้าย

ระยะที่0: เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้นแต่ไม่มาก ไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืน หรือการนอนจะไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้มแต่อย่างใด แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาจะปรากฏเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น

ระยะที่1: ยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้เช่นเดียวกับระยะที่ 0 แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อขึ้นมาพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้น

ระยะที่2: สามารถที่จะสังเกตเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืน โดยไม่จำเป็นต้องจับขึ้นมาดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นได้

ระยะที่3: ระยะนี้ไม่ว่าจะยืนหรือ นอนจะสามารถเห็นเป็นผิวเปลือกส้มได้ทั้งหมด เป็นระยะที่รักษายากที่สุดเพราะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาในระยะเวลานานมาก

ทั้งนี้ ระยะการก่อตัวของเซลลูไลท์จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ประกอบกับการกินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นต้น

วิธีจัดการเซลลูไลท์เจ้าปัญหา

ปัจจุบันแม้เราจะยังไม่มีวิธีขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผล 100% แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการสลายเซลลูไลท์ที่เห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในวิธีสลายเซลลูไลท์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่… การฉีดก๊าซสลายไขมัน

ขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไร?

เริ่มจากการทำความสะอาดบริเวณที่ต้องการกระชับ แพทย์จะแทงเข็มในบริเวณที่มีปัญหา หลังจากปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ผิว ตามโดสที่แพทย์ต้องการแล้วก็จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่ทำอีกครั้ง

ขณะทำการรักษาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ขณะที่เดินก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ผิว จะรู้สึกตึงบริเวณผิวบ้างเล็กน้อย ผิวจะรู้สึกอุ่นๆ อยู่ประมาณ 10-20 นาที

ในการรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน?

30-45 นาที แล้วแต่บริเวณที่มีปัญหา

ต้องรับการรักษากี่ครั้งจะเห็นผล?

การทำการรักษาด้วย Carboxy ต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรทำการรักษาต่อเนื่อง 10-15 ครั้ง หลังการรักษาครั้งที่ 5 จะเริ่มเห็นได้ว่าผิวเรียบขึ้น หลังการรักษาครั้งที่ 10 จะรู้สึกได้ว่าผิวกระชับขึ้นด้วย หลังการรักษาครั้งที่ 15 จะเห็นได้ว่ารอยแตกลายลดลง และสัดส่วนกระชับได้รูป

หลังการฉีด Carboxy ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

หลังการฉีด Carboxy ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำหรือว่ายน้ำประมาณ 4 ชั่วโมง การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายยังควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

HAIR IMPLANT

ความจริงเกี่ยวกับเส้นผม

โดยปกติแล้วเส้นผมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ และอาจสูญเสียความหนาแน่น ไปตามอายุของเรา ปัญหาเส้นผมเปราะขาด บาง หรือหลุดร่วงเกิดขึ้นกับคน 64% ทั่วโลกในทุกช่วงอายุ เพราะฉะนั้นสบายใจได้ครับ คงไม่ใช่คุณคนเดียวที่เจอปัญหานี้

 

 

 

 

ภาพวงจรการเติบโตของเส้นผม

 

 

ปกติคนเราจะมีเส้นผมอยู่ทั่วศรีษะประมาณ 90,000 – 140,000 เส้น ผู้หญิงจะมีเส้นผมมากกว่าผู้ชาย เส้นผมแต่ละเส้นมีวงจรชีวิตอยู่ในช่วง 2 -6 ปีโดยประมาณ โดย 90% เป็นผมที่มีการเจริญเติบโต (anggen phase) คือจะยาวอยู่เรื่อยๆ และ 10% อยู่ในระยะพัก (telogen phase) ซึ่งระยะนี้จะไม่ยาวอีกแล้ว แถมจะร่วงหลุดไปภายใน 2-3 เดือน และมีผมสั้นใหม่เจริญขึ้นมาแทน

 

โดยปกติแล้วผมจะร่วงประมาณ 50–100 เส้นต่อวัน ถ้าผมร่วงมากกว่า 100 เส้น จะถือว่ามีผมร่วงมากกว่าปกติ ในผู้ชายร่วงได้ไม่เกิน 60 เส้น/วัน ในผู้หญิงร่วงได้ไม่เกิน 100 เส้น/วัน แต่ไม่ต้องกังวล เพราะผมจะขึ้นใหม่หลังจากร่วงไปภายใน 6 เดือน

 

สาเหตุที่ทำให้ผมร่วง ผมน้อย ผมบาง

– การทำผมหรือทำทรีทเมนต์ผมที่รุนแรงเกินไป การใช้สารเคมี ทั้งการทำสี การกัดสี การยืดผม การดัดผม ที่มากเกินไป หรือบ่อยเกินไป รวมไปถึงการมัดผม หรือการถักเปียที่แน่นเกินไป การแสกผมที่ทำประจำ ก็มีส่วนทำให้ผมร่วงได้

– ผมร่วงแบบศีรษะล้านจากพันธุกรรม แบบนี้พบได้บ่อยในผู้ชาย แต่ก็พบได้ประปรายในผู้หญิง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (ซึ่งพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง) ไปเป็นฮอร์โมน ดีเอชที (DHT–dihydrotestosterone) ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อรากผม โดยปกติในผู้หญิงจะมีปริมาณฮอร์โมนนี้อยู่ในน้อยกว่า แต่เมื่อฮอร์โมนเพศหญิงลดลง เช่น ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน จะทำให้ฤทธิ์ของฮอร์โมนตัวนี้เด่นขึ้น แล้วก็เกิดภาวะผมบางได้เช่นกันสำหรับ

 

ภาพแสดงผมร่วงแบบศีรษะล้านจากพันธุกรรม

 

– ผมร่วงอาจเกิดจากภาวะความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีฮอร์โมนไทรอยด์สูงและไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ การได้รับยาเม็ดคุมกำเนิด, หญิงวัยหมดประจำเดือน, การผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออก การตั้งครรภ์ โรคบางโรคอาจทำให้เกิดผมร่วงได้ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDs), โรคเอสแอลอี (SLE) , หรือโรคมะเร็งบางชนิด

– ภาวะความเจ็บป่วยหรือการผ่าตัด สามารถที่จะทำให้รากผมเข้าสู่ระยะพัก เนื่องจากร่างกายต้องต่อสู้กับโรคภัย และความเครียดที่เกิดขึ้น ร่างกายจะหยุดการทำงานที่ไม่จำเป็นเช่น การสร้างผมก็หยุดไว้ แต่ผมร่วงที่เกิดจากสาเหตุนี้จะกลับมาขึ้นใหม่ได้เอง ภายใน 6 เดือน

– การขาดอาหาร การลดน้ำหนัก อดอาหาร หรือในผู้ป่วยโรคจิตบางชนิด เช่น อนอเรกเซีย, บูลีเมีย (anorexia, bulimia) อาจทำให้รากผมเกิดภาวะช็อค และหยุดการเจริญชั่วคราวได้

– การใช้ยาบางประเภท ยาบางประเภทมีผลข้างเคียงทำให้เกิดผมร่วงเช่น ยาเคมีบำบัด, ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง, ยารักษาโรคเก๊าฑ์, วิตามิน A ขนาดสูงที่ใช้ในการรักษาสิว ดังนั้นหากต้องใช้ยาอะไรเป็นประจำแล้วมีภาวะผมร่วงเกิดขึ้น ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และเปลี่ยนชนิดยา ส่วนใหญ่ผมที่ร่วงไปก็จะกลับขึ้นใหม่ได้ไม่ยาก

– อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น การเจริญของผมจะช้าลง การป้องกันผมร่วงจากภาวะนี้ค่อนข้างยาก แต่สิ่งที่จะพอช่วยได้คือ หลีกเลี่ยงสาเหตุอื่น ๆ ที่จะทำให้ผมร่วงมากขึ้นไปอีก เช่น ใช้แชมพูอ่อน หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่ผม รับประทานอาหารให้ครบหมู่ และออกกำลังกาย รักษาสุขภาพให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย ก็จะไม่เป็นการซ้ำเติมให้เส้นผมหลุดร่วงมากขึ้น

วิธีการรักษาผมร่วง ผมบาง

วิธีการรักษาโดยทั่วไปที่มีอยู่ ก็จะมีตั้งแต่ทานยา ทายารักษา ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ ใช้เทคโนโลยีฉีดสารกระตุ้นรากผม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจนถึงการปลูกผมถาวร ทั้งแบบผ่าตัดและไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งหลายคนเข้าใจว่า หนทางสุดท้ายคือการผ่าตัด จริงๆ แล้วมันคุ้มมั้ย อาจต้องพิจารณากันหลายข้อ

 

โดยปกติทั่วไปแล้ว แนวทางการรักษาคร่าวๆ แบ่งเป็น 2 แนวทาง

1. รากผมยังไม่ตาย กรณีนี้เลือกรักษาได้ทั้งยาทา ยากิน (ที่นิยมคือ พวกฟีเนสเทอไรด์ และ ไมน็อกซิดิล ซึ่ง2 ตัวนี้ มีการยืนยันทางการแพทย์แล้วว่า สามารถยับยั้งการผลิต DHT ได้ แต่ว่าไม่ถาวร และมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก) การทำเลเซอร์ การฉีดยากระตุ้นรากผม ผลลัพธ์ของการรักษาก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ สำคัญสุดคือ ความแข็งแรงของรากผม รองมาคือ ประสิทธิภาพของเทคโนโลยี และระยะเวลา

2. รากผมตายแล้ว หรือที่เราเรียกกันว่าหัวล้านนั้นเอง การรักษาด้วยยา หรือเทคโนโลยีใดๆ ที่กระตุ้นรากผมให้ผลิตเส้นผมนั้นไม่ได้ผลแน่นอนแล้ว ทางที่จะรักษาได้นั่นคือต้องปลูกผมถาวร อาจจะด้วยวิธีผ่าตัดแผ่นหนังศีรษะ FUT ผ่าตัดย้ายเซลล์รากผม FUE หรือการปลูกผมด้วยเส้นผมเทียม

 

แนวทางการรักษา กรณีรากผมตายแล้ว
การปลูกผมที่ต้องผ่าตัด FUT – Follicular Unit Transplantation คือ เทคนิควิธีการศัลยกรรมปลูกผมโดยศัลยแพทย์จะทำการตัดหนังศีรษะออกมาแถบหนึ่ง เย็บหนังศีรษะเข้าหากัน แล้วนำแถบผมที่ได้มาแบ่งเซลล์ผมออกเป็นกอๆ (หรือที่มักเรียกกันว่า”กราฟ”) แล้วเอาไปปลูกในบริเวณที่รากผมตายแล้ว

การปลูกผมด้วยวิธีย้ายรากผม FUE- Follicular Unit Extraction เป็นเทคนิกการเจาะเอารากผมเพื่อไปใช้ปลูก วิธีการคือใช้หัวเจาะขนาดเล็ก ที่มีความคมเจาะเอารากผมขึ้นมา แล้วย้ายไปปลูกในบริเวณที่หัวล้าน วิธีนี้ต้องทำอย่างละเอียดประณีตอย่างมาก เพราะการเจาะลงไปเอารากผมขึ้นมา ถ้าไม่ชำนาญจะทำให้หัวเจาะไปตัดรากผมขาดได้ ไอ้ที่มีอยู่รากก็ขาด ที่ล้านก็ไม่มีมาใส่เพิ่ม วิธีนี้จึงใช้เวลานานและราคาค่อนข้างสูง

ภาพ แสดงการเปรียบเทียบระหว่าง FUT กับ FUE

การปลูกผมโดยใช้หุ่นยนต์ (the ARTAS® Robotic Procedure) ก็จัดเป็นการปลูกผมด้วยวิธี FUE ชนิดหนึ่ง แต่แม่นยำขึ้นมานิดนึงคือใช้หุ่นยนต์ช่วยคุณหมอ ในการเจาะรูของเส้นผมด้านหลัง แต่การ นำเซลล์มาปลูกบริเวณที่ล้าน ก็ยังต้องเป็นคุณหมอทำอยู่ดี

ข้อจำกัดของการปลูกผมถาวร ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ศัลยกรรมปลูกผม ทำได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกรายที่จะทำวิธีนี้ได้ ผู้ที่จะสามารถทำการปลูกผม ด้วยศัลยกรรมแบบ FUT, FUE และ Robot (ต่อไปขอเรียกรวมๆ ว่า วิธี Hair Trasplant นะครับ)ได้ต้องมีผมที่ท้ายทอย หรือเหนือกกหู เป็นเส้นผมขนาดใหญ่ และปริมาณความหนาแน่นต้องมากพอ (ในคนปกติจะมีรากผม ประมาณ 50-80 รากต่อหนึ่งตารางเซ็นติเมตร ยิ่งมากกว่านี้ยิ่งดี)

การปลูกให้ดูเหมือนธรรมชาติ สวยงามตามแนวผมเดิม นั้นขึ้นอยู่กับฝีมือและประสบการณ์ของคุณหมอ และทีมผู้ช่วย ทั้งผู้ส่องกล้องหั่นเตรียมรากผม และผู้ที่นำรากผมมาปักปลูกภายใต้การกำกับ อย่างใกล้ชิดของคุณหมอ เครื่องมือที่ใช้ในการปลูกผม ต้องดีมากๆ โดยเฉพาะกล้อง ขยายกำลังสูง ที่ใช้ในการเตรียมกร๊าฟท์ และเครืองมือในการเจาะเพื่อสร้างรูขุมขนใหม่ รวมถึงพื้นที่ที่ผมบาง จะต้องไม่ใหญ่เกินไป ถ้าเกินกว่า 4000 กร๊าฟท์ ผลงานที่ออกมาจะไม่ค่อยดี

การรักษาด้วยวิธีนี้จึงใช้เวลาทําค่อนข้างนานโดยปกติ1000-2000กร๊าฟท์จะใช้เวลา ประมาณ 4 ชั่วโมง (แต่บางครั้ง 1,000 กราฟแรก อาจใช้เวลา ถึงเกือบ 5 ชั่วโมง) เพราะ คุณหมอต้องใช้สมาธิมาก ในประเทศไทยมีคุณหมอที่ทําศัลยกรรมปลูกผม แบบเป็นกิจ ลักษณะ คือ ทําแต่ศัลยกรรมชนิดนี้ เพียงอย่างเดียวมีน้อยมาก นับคนได้ไม่เกิน 6 ท่าน

ราคาที่ค่อนข้างแพง จะคุ้มหรือเปล่า สําหรับราคาปลูกผมในประเทศไทยนั้น ขึ้นกับ ประเภท แต่ทั่วไปทั้งแบบผ่าตัด ไม่ผ่าตัด แบบRobot และแบบ Bio Fibre นั้นจะคิด ราคา ตามปริมาณรากผมหรือกอผม (graft) ที่ย้ายมาปลูก กราฟหนึ่งจะมีเส้นผม ประมาณ 1-3 เส้น เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาท ต่อกราฟ ส่วนการปลูกผมแบบ FUE กับแบบ Robot ก็จะแพงขึ้นเนื่องจากมีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง

แผลผ่าตัด และรอยแผลเป็น อันนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้กันไว้เลยครับ การปลูกผมถาวรนั้น ล้วนแล้วแต่มีแผลทั้งสิ้น ที่ออกมาโฆษณาว่า การปลูกผม FUE ไม่มีรอยแผลนั้น จริงๆ แล้วมีนะครับ แต่เป็นจุดๆ ไม่ได้เป็นรอยแผลเย็บยาวๆ ตามแนวนอนที่บริเวณท้ายทอย แบบ FUT

ภาพแสดงการผ่าตัดปลูกผมแบบ FUT

 


ภาพแสดงการผ่าตัดปลูกผมแบบ FUE

THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM
THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM

THE MOST BEAUTIFUL IS MY MOM ?
“แช๊ะ!! ภาพคู่แม่” ?‍❤️‍?

*ทุกรางวัลสามารถแบ่งปันความสวยระหว่างคุณแม่กับคุณลูกได้นะคะ หรือจะเลือกรับเฉพาะท่านใดท่านหนึ่งก็ได้*
✨ทาง The Face Aesthetic ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ได้ร่วมสนุกกับทางคลินิกของเรานะคะ
?รับรองว่า กิจกรรมครั้งหน้าแจกความสวยอลังการกว่านี้แน่นอนค่ะ รอติดตามกันนะคะ

_____________________________________
THE FACE AESTHETIC
เพราะเรารู้ดีที่สุด!!
ว่าความสวยของคุณเป็นแบบไหน?
.
?สาขาเอกมัย
?:เดินทางสะดวกด้วย BTS สถานีเอกมัย
?สาขาเกษร วิลเลจ (✨New)
?:เดินทางสะดวกด้วย BTS ชิดลม
.
ติดตามความความเคลื่อนไหว
Line : ⚡️ http://bit.ly/Line_TheFace
Website : ⚡️ https://is.gd/91nwlm
Instagram : ⚡️ https://is.gd/dg2J2v
Twitter: ⚡️ https://is.gd/sj68ih
สอบถามเพิ่มเติม
?02-7122334
#Thefaceaesthetic #Theface #สวยในแบบที่เป็นคุณ #คลินิก #ความงาม #เลเซอร์ #ปลอดภัยมั่นใจโดยทีมแพทย์

หยุดผมร่วงได้ หากรักษาทันเวลา!!

ใครกำลังเจอกับปัญหาผมร่วง‼️
จนไม่กล้าแสกผม ไม่กล้าเปิดหน้าผาก

ถึงเวลาแล้ว 🕘 สำหรับการเวลารักษาผมร่วงอย่างจริงจังไปกับเรา

ในโปรแกรม… “FxER 1550”

โปรแกรมที่เหมาะสุดๆ สำหรับการรักษาผมร่วงในระยะเริ่มต้น ด้วยการใช้พลังงานเบาๆกระตุ้นการดูดซึมของตัวยา ซึ่งจะช่วยให้ผมร่วงน้อยลง และทำให้เกิดการสร้างเส้นผมใหม่ไปพร้อมๆ กัน

เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงในระยะเริ่มต้น

รัก❤️(เส้น)ผม…รีบรักษาผมให้อยู่กับคุณไปนานๆ นะคะ

 

Promotion ร้อน สำหรับเดือน กันยายน ##

จากราคาปกติ 8,000 บาท เหลือเพียง 4,999. บาท เท่านั้น

 

ปัญหาไขมันส่วนเกิน จัดเป็นปัญหาด้านความงามของคนวัยตั้งแต่ 20 ปีเป็นต้นไป โดยเฉพาะการสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่อยากให้เกิด เช่น แก้ม คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก ทำให้หลายต่อหลายคนไม่มั่นใจ

สาเหตุหลักของการเกิดไขมันส่วนเกิน ก็มาจากการรับประทานอาหารที่เกินพอดีนั่นเองครับ

สาเหตุหลักของการเกิดไขมันส่วนเกิน ก็มาจากการรับประทานอาหารที่เกินพอดีนั่นเองครับ (เพราะฉะนั้น หลังการรักษาก็ควรจะคุมอาหารครับ ทานเท่าที่พอดี เลี่ยงพวกอาหารที่มีแคลลอรี่สูงๆ เช่น กลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน ฯลฯ เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนาน และไม่เปลืองเงินมาทำทรีทเม้นต์กันบ่อยครับ ^^ )

ปกติแล้วถ้าเราทานเกินพอดีไปเรื่อยๆ ไขมันส่วนเกิน ก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ไขมันก็จะอ้วน พอง ใหญ่ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูปร่างขยายออก หรือใหญ่ขึ้น เฉพาะบางส่วนได้ครับ วงการแพทย์ด้านความงามก็เลยต้องทำหน้าที่กำจัดเจ้าไขมันพวกนี้ออกไปครับ ถ้าถามหมอว่าแล้ววิธีกำจัดอะไรที่ดีที่สุด หมอก็ตอบแบบหมอนะครับ ว่าควรออกกำลังกาย และควบคุมอาหารครับ ส่วนใหญ่คนไข้ก็จะถามต่อว่า แล้ววิธีไหนรองลงมา 5555

 

ปัจจุบันเรามีวิธีกำจัดไขมันส่วนเกินหลายวิธี ทั้งการดูดไขมัน การฉีด การนวด การใช้เครื่องเลเซอร์​ ซึ่งแต่ละวิธีการมันก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันไปครับ วันนี้หมอจะขอพูดในเรื่องของการฉีดสลายไขมัน เพราะมันเป็นวิธีที่เร็วที่สุด และไม่เสี่ยงเท่าการดูดไขมัน ราคาต่ำกว่าครับ และไม่ต้องทำบ่อยๆ เหมือนการนวดสลาย หรือการใช้เครื่องกลุ่ม RF ครับ

วิธีการกำจัดไขมันด้วย MESO FAT คืออะไร

Mesofat คือ วิธีการกำจัดไขมันส่วนเกิน วิธีหนึ่ง ด้วยการฉีดส่งยา ซึ่งมีสรรพคุณสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน โดยใช้กลุ่มยาหลายๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine,Deoxycholate,L-carnitine, Vitamin B complex ,Amino acids,Minerals ฯลฯ ฉีดลงไปบริเวณที่ต้องการลดไขมันโดยตรงครับ สำหรับปริมาณที่ฉีด ก็แล้วแต่บริเวณที่ต้องการ เช่น บริเวณหน้า อาจจะใช้ 2-5 ซีซี ห่างกัน ทุก 1-2 ตร.ซม โดยฉีดลึกเข้าไปในชั้นไขมัน ตั้งแต่ 0.1 มม-12 มม. โดยเทคนิค เมโสเธอราพี (Mesotherapy) นั่นเองครับ

ในช่วงแรกๆ ของการสลายไขมันด้วยวิธีนี้ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะตัวยาที่นำมาฉีดในช่วงแรกๆ ค่อนข้างจะได้ผลไม่ดีนัก ได้ผลช้า และมีผลข้างเคียงมาก รู้สึกเจ็บขณะฉีด และมีรอยฟกช้ำหลังฉีดค่อนข้างมาก ต่อมาก็เลยพัฒนามาฉีด Carboxytherapy สลายไขมันแทน เพราะแม้จะเจ็บมากกว่า แต่ได้ผลกว่า และรอยฟกช้ำไม่ค่อยมีมากนักครับ

แต่ปัจจุบันนี้ ได้มีการพัฒนาตัวยาฉีดสลายไขมัน สำหรับทำ Mesofat ให้สะดวก และทันสมัยยิ่งขึ้น ได้ผลมากขึ้น เร็วขึ้น และผลข้างเคียง เรื่อง การฟกช้ำหลังฉีด น้อยลง ใช้เวลาในการทำน้อยลง เพียง 2 อาทิตย์ต่อครั้ง ทำให้การทำ Carboxytherapy อาจจะเป็นทางเลือกหลังๆ เพราะเจ็บกว่า ใช้เวลาทำนานกว่า และต้องทำบ่อยกว่าคือ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งครับ ทำให้สาวๆ หันกลับมาสนใจการฉีดสลายไขมันด้วยวิธีกันมากขึ้น

 

ปรับรูปหน้าด้วยเทคนิคการฉีด MESO FAT
      ปรับรูปหน้าด้วยเทคนิคการฉีด MESO FAT

กลไกของการสลายไขมันด้วยการฉีดแบบ MESO FAT

พบว่า ตัวยาจะไปทำให้ผนังไขมัน( Fat cell wall) แตกตัวออก ทำให้ไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนๆ สลายออกเป็นไขมันเหลว ( Lipid Fat ) แล้วถูกขับออกทางปัสสาวะ (ส่วนมาก) และทางอุจจาระ ด้วยระบบกำจัดของเสียของร่างกายเราตามปกติ

ตำแหน่งที่นิยมฉีดสลายไขมันด้วยวิธี MESO FAT

ได้แก่ ไขมันที่แก้ม เพื่อปรับหน้าให้เรียว ควบคู่กับการฉีด Toxin หน้าเรียว, ไขมันส่วนเกินที่คาง, ไขมันส่วนเกินที่ต้นแขน ต้นขา สะโพก พุง หน้าท้อง ไขมันที่เต้านม (Gynecomastia) และไขมันที่น่อง (โดยการเสริมการฉีดลดน่องด้วยสาร Toxin ควบคู่กันได้ครับ)

MESO FAT นิยมฉีดลดไขมันที่ใดบ้าง

1. แก้ม เพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
2. คาง (เหนียง) เพื่อให้เห็นกรอบหน้าชัดเจน
3. ต้นแขน ต้นขา
4. หน้าท้อง พุง เอว
6. หนังตาบนหย่อนคล้อย
7. น่อง (สามารถทำคู่กับ Toxin)

ข้อห้ามในการทำ MESO FAT มีดังนี้

1. สตรีมีครรภ์
2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

ข้อควรปฏิบัติหลังทำ MESO FAT มีดังนี้

1. ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายด้วยการฉีด Mesofat จะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยขับไขมันส่วนเกินที่สลายให้ออกจากร่างกายได้มากขึ้นครับ
2. ช่วงที่เว้นการฉีด Mesofat แนะนำให้ทำ RF เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น และทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้มากขึ้น ลดการหย่อนคล้อยหลังฉีด โดย หลักการทำงานของ RF จะทำให้โครงสร้าง คอลลาเจนแข็งแรงขึ้นครับ
3. อาจจะพบอาการบวมช้ำ หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำถือเป็นเรื่องปกตินะครับ
4. หลังทำ 1 อาทิตย์ ควรเลี่ยงการเข้าซาวน่า การนวด หรือดื่มอัลกอฮอล์ หรือการนวด กดบริเวณที่ฉีดเพื่อลดการฟกช้ำให้น้อยลง
5. เพื่อลดการสะสมของไขมันใหม่ ควรควบคุมอาหาร เลี่ยงแป้งและไขมัน
6. พบว่าในบางคน หลังจากฉีดลดไขมันแล้วผิวหนังยังมีการหย่อนคล้อย การทำ RF + การฉีด Mesofirming จะช่วยให้การหย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้เร็วขึ้น สามารถทำได้ ตามคำแนะนำของคุณหมอเลยครับ

รูปก่อนและหลังทำ ทรีทเม้นต์ Meso Fat



 (***ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)

Treatment ที่เกี่ยวข้อง

ปรับรูปหน้า : ปรับรูปหน้าให้สวยเป๊ะ ไม่ใช่เรื่องง่าย มาดูกันว่ามีหลักการยังไง
Thermage Lifting : ยกกระชับผิว พร้อมสลาย Fat ทำครั้งเดียวได้ผลลัพธ์ถึง 2
MaDe Collagen : ปรับผิวให้กระชับ เติม collagen ให้ผิวดูเด็กและสดใส
Thread Lifting 4D : ยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ด้วยการร้อยไหมยกกระชับ 4มิติ เทคนิคล่าสุดจากเกาหลี
Age Lock by Air Jet : วิวัฒนาการขั้นสุด ในการยกกระชับ ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดศัลยกรรม
Dermal Filler : ปรับรูปหน้า ยกกระชับ แบบเห็นผลทันทีหลังทำ

The Face Aesthetic

คลินิกเวชกรรม ความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ฉีดผิวขาว l รักษาฝ้ากระ

ด้วยทีมแพทย์มีอาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย

Call center : 02-7122334

LINE official : @thefaceaesthetic
หรือ click เลย https://line.me/R/ti/p/%40thefaceaesthetic

Instragram : thefaceaesthetic

สเต็มเซลล์ (STEM CELL) หรือเซลล์ต้นกำเนิด คืออะไร

เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์คือเซลล์ชนิดพิเศษ ที่พบในร่างกายของคนเรา โดยพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต สเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) มีศักยภาพ สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัด และสามารถเปลี่ยนแปลง ไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิด ในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ และเซลล์เม็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญในการทดแทน และซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย

เนื่องจากสเต็มเซลล์สามารถทดแทนเซลล์เก่าที่ถูกทำลาย เสื่อมสภาพหรือเสียหาย ให้กลับมาเป็นปกติ ได้เหมือนเดิม ทำให้หลายๆ คนสนใจ ในความวิเศษ มหัศจรรย์ ของเจ้าสเต็มเซลล์นี้ รวมถึงนักวิจัยจากทั่วโลก ไม่แปลกเลยครับที่เหล่าคนดังจะยอมเสียเงินหลักล้าน เพื่อฉีดสารวิเศษตัวนี้

ถ้าถามว่าดียังไง จริงๆ แล้วตัวสเต็มเซลล์จะเข้าไปทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างเซลใหม่ๆ ที่แข็งแรงเพื่อทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมแล้ว แถมยังสามารถแบ่งเซลล์ได้ต่อไปอีกยาวนาน ทำให้ผลการรักษาเห็นผลในระยะยาว และเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม ทำให้ผู้ที่รักษารู้สึกถึงความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและแน่นอนเป็นการฟื้นฟูความแข็งแรงระดับเซลล์อย่างแท้จริง จึงทำให้เหล่าคนดัง ทั้งในและต่างประเทศ สนใจและยอมลงทุนกันเป็นหลักล้าน เพื่อเข้ารับการฉีดสเตมเซลล์ ครับ

 

พวกครีม โลชั่น หรืออาหารเสริม ที่บอกว่ามีส่วนผสม สเต็มเซลล์ มีจริงไหม

ส่วนใหญ่แล้วที่มีงานวิจัย คือการฉีดเท่านั้นครับ stem cell จะมาอยู่รูปแบบเครื่องสำอางค์ไม่ได้นะครับ
เพราะมันคือเซลล์ ที่มีชีวิต แต่ถ้ามันอยู่ในครีม แสดงว่ามันตายแล้วนะครับ เพราะถ้าใช้ในการรักษา คือต้องอยู่ใน -196 องศา (อยู่ในไนโตรเจนเหลว) แต่เข้าใจว่าที่เราเห็นขายๆ กันอยู่ในท้องตลาด มันน่าจะเป็น Growth factor มากกว่า และเจ้าตัวนี้มันคือ โปรตีนที่ stem cell ปลดปล่อยออกมา จริงๆ มีหลากหลายชนิดนะครับ แต่เราเรียกรวมๆ ว่า growth factor

เจ้า growth factor มันมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการทำงานของผิวมากกว่า ช่วยการซ่อมแซมผิว ลดการอักเสบ เพิ่มภูมิต้านทาน ซ่อมแซมข้อ ซ่อมแซมเบาหวาน หรือสารพวกไซโตไคน์ (Cytokine) ที่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผิว อีกตัวหนึ่ง แต่สารเหล่านี้จะสลายตัวในอุณภูมิห้องได้เร็วมากและสูญเสียสภาพเพียง 1-2 วัน ถึงแม้ว่าจะเก็บแช่แข็งก็ไม่เหมาะสมในการเก็บรักษาเพราะการละลายออกมาใช้งาน จะทำให้โปรตีนเสื่อมสภาพ ได้เช่นกันครับ

ส่วนอาหารเสริมนี่ หมอคิดว่าไม่น่าจะมีเลยนะครับ คือกินเข้าไป มันก็ย่อยหมด ไม่มีอะไรเลย ส่วนสารที่อ้างว่าสกัดมาจากสเต็มเซลล์จากพืช แท้ที่จริงแล้วเป็นสารเคมีที่พืชสร้างขึ้น ซึ่งอาจจะได้ผลในการใช้จริง เช่น มีส่วนประกอบของวิตามินซี หรือกรดผลไม้บางชนิด แต่นั่นไม่ใช่สารจากสเต็มเซลล์แต่อย่างใด ควรเรียกว่าผลิตภัณฑ์ จากพืชสมุนไพรน่าจะตรงกว่านะครับ

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นนี้ คงมีส่วนในการตัดสินใจเลือกเข้ารับบริการหรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้คำว่า “สเต็มเซลล์” หรือเซลล์ต้นกำเนิดอย่างมีวิจารณญาณและไม่ถูกหลอกลวงจากแหล่งข้อมูลนะครับ ^^

ในยุคข้อมูลข่าวสารในปัจจุบัน เราคงต้องกรองเยอะๆ หน่อยครับ ในฐานะของผู้รับข้อมูลข่าวสาร หมอจะไม่ฟันธง แต่อยากให้ลองหาข้อมูลเยอะๆ เพื่อการตัดสินใจครับ

ที่ผ่านมา การร้อยไหมเป็นที่นิยมมากๆ นะครับ และแน่นอนก็ต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แล้วก็มีคำถามมากมายตามมา คนไข้ที่มาพบหมอก็มักจะไม่แน่ใจและมีคำถามหลายๆ ข้อในเรื่องการร้อยไหม ซึ่งหมอว่าดีนะครับ เราควรหาข้อมูลให้มากที่สุดก่อนการตัดสินใจร้อยไหม หรือไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจเสริมความงาม หรือรวมไปถึงศัลยกรรม หรือไม่ว่าทำอะไรก็ตามครับ

วันนี้ขอยกตัวอย่างคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการร้อยไหมนะครับ

 

 

Q : การร้อยไหม อาจทำให้เกิดพังผืดใต้ผิวหนัง และเป็นรอยแผลเป็นได้

จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ เพราะพังผืดใต้ผิวหนังก็คือแผลเป็นใต้ผิวหนังนะครับ มันเกิดจากการสร้างคอลลาเจนของร่างกายใต้ผิวหนัง การร้อยไหม ก็ถือเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หรือก็คือการสร้างพังผืดใต้ผิวหนัง ในตำแหน่งที่เหมาะสมครับ ทำให้ผิวด้านนอกดูยก ตึง กระชับ และเปล่งปลั่ง เพราะคอลลาเจนถูกสร้างขึ้นมามากขึ้น แต่ถ้าในกรณีที่คุณหมอที่ร้อย ไม่มีประสบการณ์หรือทำผิดวิธี เช่นร้อยไหมเข้าไปตื้นเกินไป หรือผิดจังหวะ ก็จะทำให้เกิดพังผืด ที่ไม่พึงประสงค์ในบริเวณผิวหนังชั้นบนขึ้นได้ ทำให้มองเห็นเป็นรอนๆ บนผิวด้านนอกเหมือนกับแผลเป็นได้เหมือนกันครับ โดยเฉพาะการร้อย บริเวณจมูก หรือหน้าผาก เพราะฉะนั้นการร้อยไหมในบริเวณเหล่านี้ ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะหลีกเลี่ยงครับ

Q : การร้อยไหมสามารถรักษาฝ้า ได้

ไม่จริงครับ: การร้อยไหมไม่สามารถรักษาฝ้าได้ครับ มันคนละเรื่องกันเลยครับ การรักษาฝ้า คือการทำให้เม็ดสีที่ผิดปกติใต้ผิวหนังจางลง ซึ่งการที่เม็ดสีจะจางลงได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ฮอร์โมน การหยุดทำงานของเมลาโนไชต์ เพื่อหยุดการสร้างเม็ดสีเมลานีน หรือการหลบแดดก็ทำให้สิ่งกระตุ้นการทำงานของเซลเมลาโนไชต์ลดลงเช่นกันครับ การร้อยไหมอาจจะทำให้ผิวสร้างคอลลาเจนมากขึ้น ผิวดูใสขึ้น ทำให้เหมือนฝ้าจางลง แต่ความจริงการร้อยไหม ไม่มีส่วนเกี่ยวกับการรักษาฝ้าแต่อย่างใดครับ

Q : การร้อยไหมเหมาะกับทุกคน

ไม่จริงครับ การร้อยไหมไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ผลที่น่าพอใจเหมือนกันหมด การร้อยไหมเหมาะกับคนที่มีริ้วรอย และการหย่อนคล้อยไม่มากครับ โดยทั่วไปก็จะเป็นช่วงอายุประมาณ 35 – 50 ปี กำลังดี เพราะหลักการทำงานของการร้อยไหม คือการทำให้ผิวสาร้างคอลลาเจนขึ้นมาพันรอบๆ เส้นไหม แล้วก็ช่วยผยุงผิว ให้กระชับขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคนที่อายุเยอะมากๆ ที่ผิวไม่มีความแข็งแรงเพียงพอ ในการสร้างคอลลาเจนขึ้นมารอบๆ ตัวไหมได้ ก็จะไม่เห็นผลเท่าที่ควรครับ หรือแม้แต่คนอายุน้อยๆ แต่ผิวหย่อนคล้อยมากๆ ซึ่งอาจเกิดจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว วิธีการใช้ไหม อาจช่วยไม่ได้มากครับ แต่ปัจจุบันก็มีการพัฒนาไหมแบบต่างๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาผิวมากขึ้น ล่าสุดมีการร้อยไหมแบบไม่ละลาย อยู่ได้เป็น 10 ปี เหมาะกับคนที่อายุเยอะๆ ครับ เพราะเส้นไหมจะไม่ได้ถูกร้อยแบบลอยๆ อยู่ใต้ชั้นผิว แต่จะไปยึดกับผิวบริเวณขมับ ทำให้การยกกระชับเกิดขึ้นทันที ไม่ว่าจะมีการสร้างคอลลาเจนหรือไม่ครับ

Q : การร้อยไหมสเต็มเซลล์ให้ผลที่ดีกว่าไหมทั่วๆไป

ไม่จริงครับ : หลักการทำงานของไหมทุกชนิด มีพื้นฐานของแนวคิดเหมือนกันคือ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ผิว ร่างกายก็จะรับรู้และสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นในบริเวณนั้นๆ จึงทำให้ผิวยกขึ้น ตึงขึ้น ดูเปล่งปลั่งขึ้น ดังนั้น ไหมทุกชนิด ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง ตึงขึ้นอยู่แล้ว โดยไม่ต้องนำไปเพิ่มสารใดๆ สำหรับไหมสเต็มเซลล์คือการนำไหม ไปจุ่มในสเต็มเซลล์ ทำให้เป็นเส้นไหมที่มีสเต็มเซลล์เคลือบอยู่ หวังผลว่าจะช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ โอกาสในการติดเชื้อเมื่อมีการนำสารอื่นๆ ไปเคลือบที่ไหม อาจทำให้เกิดการอักเสบของผิว ในบริเวณที่ร้อยไหมขึ้นได้ครับ แล้วสเต็มเซลล์ที่เอามาใช้ก็ไม่แน่ว่าเป็นสารอะไรครับ เพราะสเต็มเซลตัวจริงนอกจากจะเก็บรักษายากแล้ว ราคาก็ยังสูงลิบอีกครับ ถ้าคุณเดินเข้าไปในคลินิกหรือสถานพยาบาล แล้วบอกว่าจะร้อยไหมสเต็มเซล แล้วสามารถร้อยได้เลย ก็อาจจะไม่ใช่สเต็มเซลนะครับ เพราะของจริงออกจากแลปเซลล์จะอยู่ได้ไม่เกิน 24 ชม ครับผม

 

 

Q : อาการบวมช้ำหลังการร้อยไหมเป็นเรื่องปกติ เกิดขึ้นเสมอ

อาการบวมช้ำ หลังการร้อยไหม อาจมีมากมีน้อย หรือไม่มีเลย ทั้งนี้ก็ขึ้นกับผิวของคนไข้ด้วย บางคนช้ำง่าย ช้ำยาก แล้วก็อยู่กับเทคนิคในการร้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้ และปริมาณไหมที่ใช้ ในกรณีถ้าการร้อยมีเทคนิคที่ดี ใช้ไหมจำนวนมาก ก็อาจไม่มีอาการบวมช้ำเกิดขึ้นเลย แต่ถ้าเทคนิคในการร้อยไม่ดี ก็อาจทำให้มีอาการบวมช้ำเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความชำนาญของคุณหมอด้วยครับ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นคนช้ำง่าย บวมง่าย ก่อนการร้อยสัก 1อาทิตย์ ควรงดพวกยาบำรุง หรือกลุ่ม อีพนิ่งพิมโรส กลุ่ม VitE นะครับ เพื่อลดการช้ำได้บ้างครับ

 

ปัญหาคาใจ ร้อยไหม ดี? ไม่ดี?

 

ทั้งหมดนี้ คือคำถามที่มีคนไข้เข้ามาปรึกษาบ่อยๆ นะครับ ถ้าคุณๆ อ่านแล้วมีคำถามหรือสงสัยอย่างไร สามารถสอบถามผ่านมาทาง Line official ของคลินิกที่ @thefaceaesthetic ได้ตลอดเวลานะครับ ^^

หลายๆ คนคงชินกับคำว่า Stem cell นะครับ เพราะปัจจุบัน กระแสเรื่องเซลล์บำบัด มาแรงจริงๆ ครับ

ถ้าพูดเรื่อง ANTI AGING กับ STEM CELL ตกลงมันได้ผลแค่ไหน

ถ้าพูดเรื่อง anti aging หมอขออธิบายก่อนนะครับ เราจะได้เข้าใจตรงกันตั้งแต่แรกครับ
ไม่มีใครหนีความแก่ได้นะครับ แต่รู้ไว้เลยครับว่าตอนนี้เราทุกคนแก่ก่อนวัยอันควร เนื่องมาจากหลายๆ สาเหตุ ซึ่งหลักๆ ก็เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และความเครียดของเรานั่นแหละครับ

เราต้องมาดูเรื่องความแก่กันก่อนว่า เราเข้าใจความแก่มากน้อยแค่ไหน แก่วัดจากอะไร เอาที่เราดูกันง่ายๆ และเห็นกันชัดๆ นะครับ
อวัยวะต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย ทำงานไม่ได้ มีปัญหาภูมิคุ้มกันลดลง ป่วยง่าย ป่วยบ่อยขึ้น มีอาการแพ้โน้น แพ้นี่เรื่อยๆผิวพรรณมีริ้วรอย

 

คำถามต่อมาคือ แล้วจะทำยังไงให้แก่ช้าลง

อาหารมีผลมากครับ ตอนนี้เทียบแล้วแป้งกับไขมัน เราต้องเลี่ยงแป้งก่อนเลย เพราะแป้งคือน้ำตาล น้ำตาลส่งผลเสีย หลายๆ อย่างกับร่างกาย รวมถึงทำให้แก่ด้วยครับ (แนะนำครับ องุ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระ เยอะสุดครับ) ออกกำลังกาย นอนหลับให้สนิท ความเครียด

จริงๆ ร่างกายของเราสามารถ ซ่อมแซมตัวเองได้ครับ

ปกติเวลาเราฟกช้ำ มีแผลถลอก เราก็หายได้เองครับ นั่นเพราะว่าเซลต้นกำเนิด ถูกส่งออกมาจากไขสันหลัง และทำหน้าที่ซ่อมตัวเราเอง แต่ทั้งนี้ก็ซ่อมได้แค่ การบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ นะครับ แต่ถ้าบาดเจ็บมากๆๆ ซ่อมไม่ไหว ก็คงต้องพึ่งคุณหมอและเทคโนโลยีที่เหมาะสมครับ จากการวิจัยพบว่า คนที่มีจำนวน stem cell มาก จะแข็งแรงกว่าคนที่มีจำนวน stem cell น้อย ดังนั้นถ้าจะตอบคำถามข้างต้น ก็ขอตอบได้เลยครับว่า stem cell มีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่อง anti aging เพราะมันจะทำให้เซลล์ในร่างกายโดยรวม ทั้งหมด แข็งแรงมากขึ้น เกิดการอักเสบน้อยลง และเซลล์มีอายุการทำงานยาวนานขึ้น นั่นก็หมายความว่า อวัยวะจะเสื่อมช้าลง ผิวพรรณจะเปล่งปลั่งขึ้น และภูมิคุ้มกันดีขึ้นนั่นเองครับ

แล้ว STEM CELL จะอยู่กับเรานานแค่ไหน

stem cell มันก็คือเซลล์ชนิดหนึ่งนะครับ เค้าก็มีอายุเหมือนกับเซลล์ปกตินั่นเอง เช่นเซลล์ผิวอายุ 28 วัน เซลล์เม็ดเลือดแดง 110 – 120 วัน เป็นต้น แต่การทำงานของ stem cell มันจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ที่แข็งแรงเพื่อทดแทนเซลล์เก่า ที่เสื่อม ที่เกิดการอักเสบ หรือบกพร่อง และเมื่อเซลล์แข็งแรงมันก็สามารถแบ่งเซลล์ได้ต่อไปอีกยาวนาน แต่ถ้าถามว่าเซลล์จะอยู่กับเรานานแค่ไหน ตอบว่าก็ต้องดูแลสุขภาพให้ดี เซลก็อยู่นานครับ แต่ถ้าไม่ดูแล สูบบุหรี่ เครียด นุ้นนี่ มันก็จะหายไปเร็วกว่าปกติ ดังนั้น การรักษา หรือการฟื้นฟูร่างกาย ด้วย stem cell ควรทำทุกปี เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม เพราะเป็นการฟื้นฟูความแข็งแรง ระดับเซลล์อย่างแท้จริง

สเต็มเซลล์ มีผลดีผลเสียยังไง ทำไมคนดังถึงชอบไปฉีดกัน

เนื่องจากสเต็มเซลล์สามารถทดแทนเซลล์เก่าที่ถูกทำลาย เสื่อมสภาพหรือเสียหาย ให้กลับมาเป็นปกติ ได้เหมือนเดิม ทำให้หลายๆ คนสนใจ ในความวิเศษ มหัศจรรย์ ของเจ้าสเต็มเซลล์นี้ รวมถึงนักวิจัยจากทั่วโลก ไม่แปลกเลยครับที่เหล่าคนดังจะยอมเสียเงินหลักล้าน เพื่อฉีดสารวิเศษตัวนี้

ถ้าถามว่าดียังไง จริงๆ แล้วตัวสเต็มเซลล์จะเข้าไปทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างเซลใหม่ๆ ที่แข็งแรงเพื่อทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมแล้ว แถมยังสามารถแบ่งเซลล์ได้ต่อไปอีกยาวนาน ทำให้ผลการรักษาเห็นผลในระยะยาว และเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม ทำให้ผู้ที่รักษารู้สึกถึงความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และแน่นอนเป็นการฟื้นฟูความแข็งแรงระดับเซลล์อย่างแท้จริง จึงทำให้เหล่าคนดัง ทั้งในและต่างประเทศ สนใจและยอมลงทุนกันเป็นหลักล้าน เพื่อเข้ารับการฉีดสเตมเซลล์​ครับ

แต่ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว แพทย์สภาก็ยังไม่ยอมรับ การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ ในเรื่องของ Anti Aging อยู่ดีครับ สเต็มเซลล์ยังเป็นการรักษาทางเลือกที่ท่านต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนรักษาครับ

 

 

Cytocare (ไซโตแคร์) หรือที่เรารู้จักกันว่า Skin Booster มันคือสารอะไรกันแน่ ??? แล้วดียังไง??? วันนี้มาดูกันครับ

CYTOCARE

ทรีทเม้นต์นี้จะช่วยเติมความชุ่มชื่นให้แก่ผิวและริ้วรอยก่อนวัยครับ และช่วยรักษาสมดุลผิวทางชีวภาพคืนความชุ่มชื้นให้ผิวมีออร่า และป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นช่วยลดการเสื่อมสภาพในระดับโมเลกุลของผิว สรุปเป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายนะครับ
1. กระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เหมือนผิวเด็กกรดอะมิโนเป็นตัวสร้างการสังเคราะห์โครงสร้างโปรตีนภายในเซลล์ที่มีอยู่รวมถึงการสร้างเซลล์ใหม่
2. ฟื้นฟูผิวที่ขาดน้ำ หมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ริ้วรอยแห่งวัยให้เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน
3. สร้างคอลลาเจน เร่งผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ปกป้องผิวจากแสงแดด , ฝุ่นควัน, ฯลฯ
4. ป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น ทำให้ผิวไม่เสื่อมก่อนวัยอันควร
5 วิตามินและเกลืออนินทรีย์ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของจุลภาคการหายใจด้วยเซลล์และการแลกเปลี่ยนสารอาหาร
6 DMAE ช่วยกระตุ้นการทำงานของไฟโบรบลาสต์และ myofibroblasts ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ใหม่
7 ยับยั้ง phosphodiesterase ช่วยให้ผล lipolytic ของผลิตภัณฑ์จำนวนมาก

ส่วนประกอบหลักๆ ของ CYTOCARE (ไซโตแคร์)

ประกอบด้วยสารอาหารผิว สำคัญหลายตัว แต่ที่โดดเด่นก็คือพวก

  • กรด Free Hya acid 32 mg.
  • กรดอะมิโน เปปไทด์
  • วิตามิน
  • Co Q10
  • กรดนิวคลิอิก
  • สารต้านอนุมูลอิสระ
  • แร่ธาตุที่จำเป็นต่อ Cell ผิวหน้า

CYTOCARE ปลอดภัยแค่ไหน

ไซโตแคร์ ประกอบด้วยสารที่ธรรมชาติที่โดยปกติแล้วร่างกายเราสร้างขึ้นเองได้ทั้งสิ้น และยังเป็นทรีทต์เม้นต์ตัวนี้ผ่านการรับรอง และทดสอบประสิทธิภาพทางการแพทย์ของฝรั่งเศส ปลอดภัย 100% ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ใดๆ
รวมทั้งได้รับการรับรองมาตรฐานจากยุโรป CE , ISO 13485 เพราะฉะนั้นเรามั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้ครับ

ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล

โปรโตคอลที่แนะนำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือ 4 ครั้งโดยใช้ช่วงเวลา 2-3 เดือน จากนั้นจึงบำรุงรักษาผลลัพธ์ตามระยะเวลา 1 ครั้งทุกๆ 3 เดือน ซึ่งโปรโตคอลสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอายุของผิว และปัญหาของผิวครับ

เหมาะกับใคร และไม่เหมาะกับใครบ้าง

Cytocare เหมาะกับผู้ที่ผิวแห้ง ไม่สดใส มีปัญหาริ้วรอยบางๆ ครับ และไม่เหมาะกับ บุคคลที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือบุคคลที่แพ้กรดไฮยาลูโรนิคครับ

ทำบริเวณไหนได้บ้าง

สามารถทำทรีทเม้นต์ ได้แทบทุกจุดที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื่นครับ ปกติก็จะเป็นบริเวณผิวหน้า ลำคอ เนินอก หลังมือครับ

จะเห็นผลหลังการทำแค่ไหน

หลังทำ 2-3 วัน จะเห็นผลทันทีครับว่าผิวดูชุ่มชื่นขึ้น และจะเห็นผลว่าผิวมีสุขภาพดีที่สุด เมื่อทำครบเซสชั่น ว่าเห็นผลได้นานถึง 2 เดือน

ผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์นี้มีอะไรบ้าง?

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้เช่นเดียวกับการฉีดทั่วๆ ไปครับ มากที่สุดอาจมีอาการบวมแดงและอาการบวมเล็กน้อยที่บริเวณที่ฉีดยา 2-3 วัน ครับ

ปัจจุบันการทำสีผม ถือเป็นแฟชั่นที่ฮิตกันอย่างแพร่หลาย ทุกเพศทุกวัย ทั้งย้อมปิดผมขาว หรือการทำสีอื่นๆ

ในอเมริกามีการสำรวจพบว่าการย้อมสีผมพบได้ถึง 1 ใน 3 ของสตรีชาวสหรัฐฯ และมากกว่า 10 % ของบุรุษเมืองมะกันและคิดว่าบ้านเราก็คงไม่น้อยหน้า แค่ยังไม่มีการทำสำรวจออกมานะคะ

กลุ่มคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์ของผลิตภัณฑ์ความงามและผลิตภัณฑ์ที่มิใช่อาหารของยุโรป ให้ทำการศึกษาและวิจัยผลของสารเคมีที่ผสมในผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมอย่างจริงจัง เช่น กลุ่มสาร Aromatic amine ,Arylamine ซึ่งอยู่ในยาตัวละลาย สีย้อมผม ทำให้ก่อเกิดสารก่อมะเร็งหรือไม่ ผลว่าอาจมีผลให้เกิดมะเร็งทางปัสสาวะในบางคนเท่านั้น และผลวิจัยยังไม่มีนัยสำคัญ ทางองค์กรอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาและองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ จึงมีความเห็นว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุป ว่ายาย้อมผมทำให้เกิดมะเร็งได้จริง จึงยังไม่มีการประกาศห้ามจำหน่าย และทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้ง 2 องค์กร ก็กำลังเฝ้าระวังและติดตามงานวิจัยด้านนี้อย่า’ใกล้ชิดต่อไป ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้จะยังไม่มีการทบทวนงานวิจัยด้านนี้อย่างมีระบบและจริงจังก็ตามคะ

Taskkouche B และคณะได้จุดประกายความคิดเพื่อขจัดความกังขาเรื่องนี้ ด้วยการทบทวนผลงานวิจัยที่ผ่านมา จำนวน 79 รายงาน แบบเป็นระบบได้ผลพบว่าการใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบเลือด (Non-Hodkin lymphoma,Hodkin Lymphoma,Muliple myeloma,Leukemia) ถึง 1.15 เท่า ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ แต่การใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบกระเพาะปัสสาวะเพียง 1.01 เท่า และการใช้สีย้อมผมเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพียง 1.06 เท่า ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญ

ดังนั้นการผลงานรวบรวมการวิจัยในครั้งนี้ทำให้หลายท่านเกิดความกังวลและไม่แน่ใจหรือมั่นใจ ว่าจะย้อมสีผมหรือไม่ ถ้าอยากปลอดภัยและลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง สาวๆ ที่ไม่ยึดติดกับแฟชั่นอินเทรนด์ หรือไม่กลัวแก่และไม่กังวลผมหงอก ก็ควรจะงด ลด เลี่ยงการย้อมสีผมกันดีกว่าคะ สวยในแบบของเราก็ได้นะคะ ^^

Fine Scan 1550 แตกต่างจาก Fraxel อย่างไร
ทั้ง Fine Scan 1550 และ Fraxel รุ่น Re:Store ต่างเป็น Erbium Fiber Fractional Laser ที่ความยาวช่วงคลื่น 1550 nm เหมือนกันครับ (หมอขอพูดถึงเฉพาะรุ่น Fractional CO2 Laser 10,600 nm และ Fraxel Re:fine คือ Erbium Fiber Fractional Laser ที่ความยาวช่วงคลื่น 1410 nm เท่านั้นนะครับ) เพียงแต่ Fraxel Re:Store เป็นเครื่องนำเข้าจาก USA ขณะที่ Fine Scan 1550 เป็นเลเซอร์ที่ประกอบในประเทศ แต่ใช้อะไหล่แท้จากอังกฤษ และหัวอ่าน Scanner จากอเมริกา

ข้อดีของ Fine Scan 1550 คือถูกพัฒนามาเพื่อผิวของคนไทยจริงๆ การตอบสนองต่อผิวคนเอเซียโดยเฉพาะคนไทย

ข้อดีของ Fine Scan 1550 คือถูกพัฒนามาเพื่อผิวของคนไทยจริงๆ การตอบสนองต่อผิวคนเอเซีย โดยเฉพาะ คนไทย มี parameter ที่เหมาะสม เพราะผ่านการทดสอบกับอาสาสมัครคนไทยมากกว่า 500 ราย โดยได้รับความร่วมมือจากวิทยาลัยแพทย์ชั้นนำ (จุฬา รามา ประสานมิตร) และยังพบว่าผลข้างเคียง เรื่องรอยดำ รอยแดง หลังทำ จะน้อยกว่า Fraxel Re:Store ครับ

หัวยิง (Tip or Touch screen) : Fine scan จะมีหัวยิง เป็นรูปสี่เหลี่ยม ที่เวลายิง จะวางที่ผิวหน้า โดยเพียงดึงผิวหน้าให้ตึง และมีขอบที่ชัดเจน เวลายิงจะทำให้น้ำหนักลงที่ผิวได้สม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวหัวยิง กะขอบเขตได้ง่าย ไม่ยิงซ้ำจุดเดิม ขณะที่บางยีห้อหัวยิง จะเป็นลูกกลิ้งๆ ไปที่ผิวหน้า ทำให้ควบคุมน้ำหนักมือได้ยากกว่า และอาจจะกลิ้งซ้ำไปซ้ำมาที่จุดเดิมได้ จึงทำให้ความร้อนในแต่ละจุดมากเกินไป หรือน้อยเกินไป จึงเกิดรอยดำหรือรอยแดง เป็นจ้ำๆ ได้ง่ายกว่า
Scanner type: ระบบในการควบคุมลำแสงเลเซอร์ เป็นแบบ dual axis scanner ที่นำเข้าจากอเมริกา มีหัวอ่านที่เร็วกว่ายี่ห้ออื่น จึงทำให้ไม่เกิดความร้อนสะสม และเวลายิงพลังงานจากเลเซอร์ จะพ่นออกมาได้เหมือนสเปรย์สี และพ่นแบบสุ่มไปมาทั่วบริเวณ (random) จึงมีโอกาสเกิดความร้อนสะสมน้อยกว่า เช่นกัน ซึ่งจะแตกต่างจาก scanner แบบ single axis scanner ของยี่ห้ออื่นๆ ซึ่งจะพ่นพลังงานเลเซอร์แบบคลี่พัดจีนหรือแปรงสี scan แนวเดียวทีละแถว ทำให้ความร้อนเกิดไม่สม่ำเสมอ โดยเมื่อยิ่งทำไปนานๆ ความร้อนจะสะสมที่หางแถวไปเรื่อยๆ จึงมักจะเกิดรอยดำหรือรอยแดงช้ำ ได้ง่ายกว่า
FINESCAN 1550 ใช้หลักการบีบลำแสงให้เล็กไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเส้นผม ซึ่งมีพลังงานสูงมาก ยิงลงบนผิวหนังในช่วงเวลา ไม่ถึง 1/1000 ของวินาที หมายถึง ในหนึ่งวินาที FINESCAN จะยิงไปแล้วหลายพันครั้ง ซึ่งเป็นการยิงแสงเลเซอร์ที่รวดเร็วและเที่ยงตรงมากๆ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยแต่ละจุดเล็กๆ จึงไม่มีแผลชัดเจน ไม่มีเลือด หรือสะเก็ดมากนัก หลังทำทรีทเม้นต์สามารถ ไปทำงานได้ตามปกติ เพราะว่าขนาดสะเก็ดแผลที่เกิดขึ้นมันเล็กจนมองเกือบไม่เห็นครับ

FINE SCAN 1550 นำมารักษาอะไรได้บ้าง

1. รอยหลุมสิว : จัดเป็นข้อเด่นของเลเซอร์ประเภทนี้ เพราะนำมาทดแทน Dermaroller, Dermapoints แบบไร้ที่ติ เพราะตอนนี้จะหา Dermaroller คุณภาพดีๆ เหมือนแต่ก่อนยากครับ และพบว่าจะแก้ไขข้อบกพร่องของ Dermapoints ที่หลังทำจะแดงนานกว่า และกว่ารอยแดงจะหาย จากการทำ Dermaroller,Dermapoints ประมาณ 1-3 สัปดาห์ ขณะที่รอยแดงหลังทำ Fine Scan จะหายใช้เวลาเพียง 1 วัน และพบว่าหลังทำ Fine Scan เพียงครั้งเดียว รอยหลุมสิวตื้นขึ้นประมาณ 30% (จากผลการวิจัย ในอาสาสมัครคนไทย 119 คน จาก สถาบันแพทย์รามา และพบรอยดำหลังทำ เพียง 2.5 % เท่านั้น)
2. รูขุมขนกว้าง : ใช้หลักการรักษาแบบ Rejuvenation โดยลอกผิวด้วยเลเซอร์ด้วยเทคนิค Micro-Laser Peel จึงเลือกระดับความลึกของการยิงเลเซอร์ได้ตามสภาพผิวหน้า และสีผิวของคนไข้ ตั้งแต่ 1/10มิลลิเมตร –2 มิลลิเมตรครับ ปกติถ้าใช้พลังงานต่ำ ก็ได้ผลน้อยและช้าแต่ผลข้างเคียง (เช่น รอยดำ รอยแดง) ก็จะน้อย ซึ่งถ้าใช้พลังงานสูง ก็ได้ผลดีและเร็วแต่ผลข้างเคียง (เช่น รอยดำ รอยแดง) ก็จะมากตาม และต้องมีการพักฟื้นหลังทำ แต่รอยดำ และรอยแดงจะหายไปในไม่ช้าครับ ไม่ต้องกังวล

3. ฝ้าชนิดตื้น เม็ดสีผิวผิดปกติ กระชนิดตื้น : เช่นกันโดยการลอกออกด้วยเลเซอร์ เพียงแต่พลังงานที่ใช้ ควรจะเหมาะสมกับเม็ดสีลานิน จากการศึกษาพบว่าได้ผลดีมากในกลุ่มที่เป็นกระ ฝ้าชนิดตื้นครับ แต่ในกลุ่มที่ฝ้าลึกจะได้ผลสู้กลุ่มเลเซอร์เม็ดสี (Q-switch Nd:YAG เช่น Revlite,Medilte C-6) ไม่ได้ครับ

4. ริ้วรอย เหี่ยวย่น รอบดวงตา : ใช้หลักการรักษาแบบ Rejuvenation เพียงแต่ปรับลำแสงให้เกิดการทำลายแบบ microinjuries เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นตื้นขึ้น ผิวหน้ากระชับขึ้น โดยพบว่า มีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทย 120 คน (รพ.รามา) พบว่าหลังทำ 8 ครั้ง ห่างกันทุก 1 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ดีขึ้นประมาณ 40-50% ครับ

5. รอยแตกลาย : พบว่าได้ผลดี และเจ็บน้อยกว่าการทำคาร์บอกซี่ครับ ใช้เวลาน้อยกว่า หลักการก็เช่นกัน คือ ปรับลำแสงให้เกิดการทำลายแบบ microinjuries เพื่อทำลายพังผืดหรือเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ ที่รอยโรค กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และสร้างเม็ดสีเมลานินใหม่ สิผิวที่แตกลาย ก็จะค่อยจางลง โดยพบว่า มีการวิจัยในอาสาสมัครคนไทย 122 คน (มศว) พบว่า หลังทำ 3 ครั้ง ห่างกันทุก 4 สัปดาห์ พบว่า ริ้วรอยแตกลายดีขึ้น 70-90%

6. การรักษาสิวอักเสบเรื้อรัง : เนื่องจากปัญหาสิวอักเสบในบางคน มีสาเหตุจากความผิดปกติของต่อมไขมัน หรือท่อไขมัน ซึ่งต้องรักษาต่อเนื่อง และใช้เวลาในการรักษานาน ซึ่งการรักษาสิวแบบเดิมๆ เช่น การทายา พบว่าอาจจะทำให้เกิดการดื้อยาได้ หรือการทานยา อาจจะมีผลข้างเคียงได้ เช่น กลุ่ม โรแอคคิวเทรน จึงได้มีการทดลอง รักษาคนไข้กลุ่มนี้ ด้วยการทำ Fractional Laser พบว่า นอกจากจะทำให้ปัญหาสิวอักเสบ จากสาเหตุดังกล่าวดีขึ้นได้เร็ว และยังทำให้รอยแดง รอยดำ จากสิว ดีขึ้นได้ด้วย คล้ายๆ กับการใช้ Dermaroller มารักษาสิวครับ

FINE SCAN 1550 มีขั้นตอนการรักษาอย่างไร

ความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
ทายาชาลงบริเวณที่จะทำการรักษาทิ้งไว้ 45 -60 นาที
เช็ดยาชาและทำความสะอาดใบหน้า
แพทย์จะยิงเลเซอร์บนผิวจนทั่วบริเวณที่รักษา 1-3 รอบ จนครบตามขนาดพลังงานที่คำนวณไว้ในการรักษา

หลังทำ FINE SCAN 1550 จะรู้สึกอย่างไร

หลังการรักษาอาจจะมีอาการแดงเรื่อๆ ทั่วใบหน้า และ/หรือมีความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณที่ทำครับ ดังนั้นจึงควรทาครีมลดรอยแดง หรือโลชั่นลดการอักเสบ และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว (ซึ่งทางคลินิกจะทาให้อยู่แล้วครับ)
หลังการทำวันที่ 3-4 อาจจะพบสะเก็ดเหมือนผงพริกไทย ติดที่ใบหน้า หรือผิวหน้าอาจจะรู้สึกสากๆ เล็กน้อย แต่ไม่ถึงอาทิตย์ ผิวหน้าก็จะลอกออกหมด จะเห็นความแตกต่างตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำครับ

FINE SCAN 1550 ต้องทำบ่อยขนาดไหน

จำนวนครั้งของการรักษาขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคลครับ
สำหรับการดูแลเรื่องแผลเป็นหลุมสิว ควรทำอย่างน้อย 4-6 ครั้ง ห่างกันทุก 2- 4 สัปดาห์

หลังทำ FINE SCAN 1550 จะเห็นผลเมื่อไร

หลังการรักษาครั้งแรกพบว่าได้ผลดีขึ้นประมาณร้อยละ 30 แต่จะเห็นผลชัดเจนภายหลังรักษา 3 เดือน หรือพบว่าหลังทำการรักษาประมาณ 5-10 ครั้ง พบว่าผลการรักษาจะได้ผลมากกว่า 60-80% ผลการรักษาจะคงอยู่ตราบเท่าที่ท่านเอาใจใส่ดูแลผิวพรรณอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอครับ

สวยทางลัดได้!! แต่ต้องใช้ Filler หรือสาร “ไฮยารูโรนิก” ของแท้ เท่านั้น !!!

ที่ผ่านมาภายใน 5 – 10 ปี มีสารสังเคราะห์บางชนิดที่ไม่ใช่ไฮยารูโรนิก แอซิด ซึ่งถือเป็นอันตรายมากๆ นะครับ เพราะถ้ามันไม่ใช่ ของจริงแล้ว เกิดปัญหาอะไรตามมา มันจะฉีดสลายด้วยเอ็นไซม์ไฮยารูโรนิเดส ไม่ได้ครับ

หมายความว่าถ้ากรณีเกิดอักเสบ หรือติดเชื้อ หรือผิดรูป หรือเยอะไป อยากปรับให้น้อยลง ถ้าเป็นของจริงเราฉีดสลายได้เลยครับ โดยการฉีดสลายก็มีความปลอดภัยไม่อันตรายใดๆ แต่ถ้าไม่จริงคุณต้องไปผ่าตัดเอาออก อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่าปัญหามาก น้อยแค่ไหน ถ้าต้องสลบในการผ่าตัด นั่นถือว่าเสี่ยงมากๆ ครับ หรือถ้ากรณีคุณหมอจิ้มเข็มผิดไปโดนเส้นเลือด แล้วเรารีบฉีดสลายให้คุณจะไม่ตาบอด อย่างที่เป็นข่าวกันบ่อยๆ

FILLER มีกี่แบบ

filler มีเยอะมาก เป็นสิบๆ ยี่ห้อครับ แต่ที่นิยมกันในปัจจุบันน่าจะประมาณ 3 ยี่ห้อ
1 Restylane
2 Juvederm
3 Perfecta
แต่ละแบบก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปครับ และจริงๆในท้องตลาดก็มีอีกหลายยี่ห้อ ที่หมอไม่ได้พูดถึง ซึ่งก็เป็นของจริงและผ่านอย แล้วเหมือนกันครับ สำหรับเดอะเฟส เราใช้ยี่ห้อ Restylane ครับ

ยี่ห้อ RESTYLANE ดีที่สุดเหรอ??

หมอว่ามันขึ้นอยู่กับความถนัดของแพทย์แต่ละท่านมากกว่า ที่เราเลือก Restylane เพราะมันมีมานานกว่ายี่ห้ออื่น นั่นหมายความว่ามันมีคนใช้มานานกว่า จำนวนมากว่า มีวิจัยมายาวนานกว่า เพราะมันผลิตกันมานานมากกว่าตัวอื่นๆ ครับ และที่ผ่านมายังไม่มีปัญหาร้ายแรงจากตัวสารไฮยารูลอนิคยี่ห้อนี้ครับ ทำให้หมอมั่นใจเลือกตัวนี้ ^^
อีกข้อคือในความหนืดของสาร ขนาดโมเลกุล และระยะเวลาการสลาย กำลังดี ไม่นาน และไม่เร็วเกินไปครับ รวมทั้งเค้ามีหลายๆ แบบในเลือก เพื่อเหมาะกับแต่ละบริเวณของใบหน้าครับผม

แล้ว FILLER แท้? ไม่แท้? ดูยังไง

บอกกันตรงๆ ว่าดูยากมากๆ ครับ แต่ถ้าเป็นของจริงหรือปลอม คุณหมอท่านที่ฉีดจะรู้เลยครับ เพราะลักษณะความหนืดของสาร เวลาดันยามันจะมีความรู้สึกต่างกัน แต่สำหรับคนไข้ ก็อาจจะต้องพิถีพิถันเลือกกันหน่อย อย่างน้อยก็ควรจะคำนึงถึงข้อหลักๆ ตามนี้ครับ

ข้อแรกเลย  ดูคุณหมอก่อน ว่าเป็นคุณหมอตัวจริง (ของแท้ แต่หมอปลอมมาฉีดก็อันตรายนะครับ 555+) เพราะความชำนาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถประเมินรูปร่างลักษณะของใบหน้า ปัญหาของคนไข้ และเลือกฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลความละเอียด ปริมาณการฉีดได้อย่างถูกต้องตามความเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการฉีดที่ไปรบกวนเส้นเลือด หรือเส้นประสาทอื่นๆ ซึ่งหากฉีดไปโดนเส้นเลือดหรือเส้นประสาทอื่นๆแล้ว อาจนำมาซึ่งอันตรายต่อเนื้อเยื่อครับ บางรายถึงแก่ชีวิตได้เลยนะครับ

ข้อที่ 2 สถานที่ ควรเป็นที่ ที่ได้มารตรฐาน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณหมอจะช่วยเหลือ หรือแก้ไขได้ทันท่วงทีครับ

ข้อที่ 3 กล่อง มีฉลากภาษาไทย มีราคาระบุ มีวันหมดอายุชัดเจน แต่สมัยนี้ บอกตรงๆ คะ ขนาดถือ 2 กล่องเปรียบเทียบกันยังดูยากเลย !!! แล้วถ้ามีอยู่กล่องเดียว ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร คิดว่าจะสังเกตุได้ไหมครับ ของปลอมสมัยนี้ เนียนมากจริงๆ ครับ

ข้อที่ 4 กล่องต้องปิดผนึงเรียบร้อย มี lot number ติดอยู่ และบริเวณข้างกล่องของฟิลเลอร์ จะต้องมีวันที่ผลิต , วันหมดอายุ และ Ref. เลขที่อ้างอิง ซึ่งทุกครั้งที่คนไข้ได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ สถานพยาบาลจะนำ สติ๊กเกอร์ Lot No. แปะไว้ในใบ OPD ของคนไข้โดย รหัส Lot No. จะสามารถตรวจสอบไปยังผู้ผลิตได้ครับ

รูปแสดง Lot No. ที่ติดอยู่บนหลอดฉีด

ข้อที่ 5 ราคาครับ เพราะต้นทุนมันก็เกือบหมื่นแล้วครับ แล้วจะมาขายกันหลักพัน ให้สงสัยไว้ก่อนเลยครับ
ฉีดฟิลเลอร์ในราคาหลัก 1,000 ไม่มีจริง! ต้องระวังให้มากนะครับ เสี่ยงต่อการโดนฉีดด้วยสารสังเคราะห์บางชนิด ซิลิโคนเหลว หรือ ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อเนื้อเยื่อผิวตามมา ไม่คุ้มกันหลอกครับ

ข้อที่ 6 สารไฮยารูโรนิก สามารถสลายได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นของแท้

สารเดียวที่จะสามารถสลายสารไฮยารูโรนิก ได้นั้นคือ เอ็นไซม์ไฮยารูโรนิเดส (Hyarulonidase) เอ็นไซม์นี้ที่จะช่วยสลายสารไฮยารูโรนิกได้ 100% อย่างแม่นยำ สามารถสลายได้อย่างรวดเร็ว โดยจะเกิดการยุบตัวลง และ ละลายเป็นน้ำซึมไปตามผิวหนังได้เองทันที ไม่มีอันตราย และไม่ตกค้างใดๆ ครับ

สำหรับ The Face เรามั่นใจที่จะซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อความสบายใจของหมอ และคนไข้ครับ สำหรับตัวแทนจำหน่าย Filler ยี่ห้อ Restylane และ Perlane ในประเทศไทย คือบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ครับ





ไม่เห็นจะเป็นไร จะแท้ จะปลอม ก็แค่ฉีดแล้วหน้าไม่ตึงเท่านั้น??

ความจริงมันไม่เท่านั้นสิครับ !!! เพราะอย่างที่เกร่ินไปตอนแรก ถ้าของปลอม มันอันตรายมาก เสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ เรื่องไหลย้อยในอนาคต เพราะของจริงมันจะสลายไปเองครับ เสี่ยงเรื่องการเบี้ยวผิดรูปเมื่อผ่านไปนานๆ แล้วถ้าเกิดปัญหาเราต้องไปเอาออกอีก ไม่คุ้มกันหลอกครับ หมอพยายามจะเตือนหลายๆ ท่านครับ การที่เอาสารอะไรไม่รู้มาฉีดเข้าไปในร่างกายเรา เพียงเพราะราคาถูก มันไม่คุ้มครับ ยอมแก่ไปเลยดีกว่าครับ

สอบถามเพิ่มเติม
http://line.me/ti/p/~thefaceaesthetic

บทความที่เกี่ยวข้อง

The Face Aesthetic
คลินิกเวชกรรมความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ปรับผิวขาว l รักษาฝ้า กระ
ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย
Call center : 02-7122334
Line officiel : @thefaceaesthetic
Instragram : thefaceaesthetic

https://line.me/R/ti/p/%40thefaceaesthetic

ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลดเซลลูไลท์
1. ออกกำลังกายเท่านั้นที่จะช่วยได้
เซลลูไลท์เกิดอยู่ชั้นใต้ผิวหนังของเราซึ่งมีกล้ามเนื้อประกอบอยู่ด้วย วิธีที่จะทำให้มันหายไป ก็คือเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริเวณนั้นๆ เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป แต่ก็ขึ้นกับประเภทของเซลลูไลท์ด้วยครับ และนอกจากการออกกำลังกายแล้ว ควรควบคุมเรื่องอาหารด้วยครับ

ปัญหาที่เจอกันคือ พอต้องออกกำลังกายมันก็จะค่อยๆ เป็นค่อยๆไป หลายคนมักใจร้อน พอไม่ค่อยเห็นผลก็เริ่มท้อ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตปกติอีก มันก็เลยเหมือน ทำๆ หยุดๆ ไม่เห็นผลซักที หมอแนะนำหลายๆท่านไปครับ ว่าถ้าคุณออกกำลังกายและควบคุมอาหารได้ นั่นคือสุดยอด แต่ถ้าเคยทำแล้วไม่เวิร์ค ก็ลองใช้ตัวช่วยก่อน เบื้องต้น พอเราเป๊ะแล้วก็ให้เมนเทนไว้แบบนั้น จะง่ายกว่า และมีกำลังใจกว่าครับ

2. เราสามารถกำจัดเซลลูไลท์ได้ด้วยการทาครีมหรือโลชั่น
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ อย่างที่บอกครับ เซลลูไลท์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไขมันและกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง การทาครีมหรือโลชั่น ครีมลงได้ลึกสุดก็แค่ ชั้น epidermis ไม่สามารถลงไปลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ หรือชั้นไขมันได้ และไม่สามารถทำให้เซลลูไลท์หายไปได้จริงๆ ครับ

3. ทำสปาราคาแพงก็ไม่ช่วยให้เซลลูไลท์หายไป
สาวๆ หลายคนเสียเงินไปจำนวนมากให้กับคอร์สสปาสลายเซลลูไลท์ที่แพงแสนแพงนะครับ ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำพลาสติกแรปมาพันตัว หรือการขัดผิว ไม่ได้ทำให้ก้อนไขมันหายไปไหนเลยครับ ยังอยู่ที่เดิม นอกจากว่าการทำสปานั้นทำกับเครื่องมือต่างๆ เข้าช่วย เช่นเครื่องเลเซอร์ คลื่น RF คลื่น ultrasound หรือการฉีดสาร ตรงเข้าไปที่ชั้นไขมัน ว่าไปอย่างครับผม

4. ทุกคนสามารถกำจัดเซลลูไลท์ได้ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุไหน
ผู้หญิงคนไหนที่ค่อนข้างมีอายุหน่อยก็อย่าเพิ่งท้อกับการกำจัดเซลลูไลท์ไปนะครับ หมอยืนยันครับ ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด ก็สามารถกำจัดไขมันออกไปได้อย่างงถาวรครับ เพียงแต่ระยะเวลา อาจยากง่ายต่างกันเท่านั้นครับ ที่สำคัญคือทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายควบคู่ ไปด้วยกันครับ

5. เซลลูไลท์ จะเกิดเฉพาะคนอ้วน
ไม่จริงนะครับ ความจริงแล้วเซลลูไลท์สามารถเกิดในคนที่ที่มีน้ำหนักปกติ ทั่วไป หรืออ้วนก็ได้ เนื่องจากคนเหล่านั้นดูแลตัวเองไม่ดีพอต่างหากครับ

6. เซลลูไลท์ จะเกิดเฉพาะกับผู้หญิง
ข้อนี้ก็ไม่จริงครับ แต่เซลลูไลท์มักจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผู้หญิง จะเรียงเป็นแนวตั้ง และมีปริมาณไขมันสะสมมากกว่าผู้ชาย ส่วนของผู้ชายเรียงเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเล็กๆ และมีปริมาณไขมันสะสมน้อย ทำให้รู้สีกเหมือนว่าไม่ค่อยพบเซลลูไลท์ในผู้ชายครับ

7. เซลลูไลท์จะเกิดกับคนที่มีอายุเท่านั้น เด็กๆ ไม่มีหรอก
ข้อนี้ก็ไม่จริงครับ พบว่าเซลลูไลท์เกิดได้กับเด็กๆ ด้วยครับจากงานวิจัยพบว่าสามารถเกิดได้กับเด็กอายุ ตั้งแต่ 14 ปี ขึ้นไปครับ ปัจจัยหลักได้แก่อาหารนะครับ เพราะฉะนั้น เราต้องควบคุมเรื่องอาหาร เช่นพวกไขมัน ของทอด น้ำตาล และสุรา อย่าทานให้มากจนเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกหมดและทำให้เกิดการสะสมครับ เอาเข้าง่าย แต่เอาออกยาก และแพงมากครับ

ครับ อัพเดทกันนะครับ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นครับ ^^
แต่เพื่อความปลอดภัย หมอก็แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ดีกว่า และควรเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ และไว้ใจได้เท่านั้นครับ

สอบถามเพิ่มเติม
http://line.me/ti/p/~thefaceaesthetic

บทความที่เกี่ยวข้อง

The Face Aesthetic
คลินิกเวชกรรมความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ปรับผิวขาว l รักษาฝ้า กระ
ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย
Call center : 02-7122334
Line officiel : @thefaceaesthetic
Instragram : thefaceaesthetic

พูดถึงแดดเมืองไทย ใครๆ ก็รู้ว่าไม่เป็นสองรองใครนะคะ

แล้วเจ้าแดดแรงๆ บ้านเราเนียะแหละคะ เป็นต้นเหตุของปัญหาผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระแดด ฝ้า จุดด่างดำ และสิว ปัญหาผิวเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะผิวไม่ได้ถูกปกป้องด้วยครีมกันแดดนั่นเอง ถ้าไม่อยากเสียเวลาและเสียเงินฟื้นฟูผิว และจัดการกับปัญหาผิวเหล่านี้ละก็ หมอว่าลงทุนซื้อครีมกันแดดคุณภาพดีๆ มาใช้ป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า

นอกจากปัญหาผิวข้างต้นแล้ว การไม่ใช่ครีมกันแดดยังมีผลกับเรื่องริ้วรอยด้วยนะคะ เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนอายุยังน้อย แต่อายุผิวนี่เลยไปไกลหลายขุมแล้ว สาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้อายุผิวแก่ก่อนวัยก็มาจากแสงแดดนี่แหละคะ เพราะถ้าไม่ได้ทาครีมกันแดดปกป้องผิวจากรังสียูวีเลย ก็จะทำให้ผิวเหี่ยว ความยืดหยุ่นก็ลดลง แล้วริ้วรอยก็ตามมา โดยเฉพาะ รังสี UVA ซึ่งมีช่วงคลื่นยาวกว่า UVB ทำให้มันทำลายผิวชั้นลึกของเรามากกว่า และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยคะ

ทำไมผิวต้องการครีมกันแดด
                                                                                         ทำไมผิวต้องการครีมกันแดด

 

อีกประเด็นที่จำเป็นมากๆ ที่คุณต้องใช้ครีมกันแดด

ทราบไหมคะว่า แค่คุณปล่อยให้ผิวเปล่าๆ ของคุณโดนแดดจัดเพียงไม่กี่ครั้ง ก็เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนัง ได้มากกว่าคนอื่นแล้วคะ รู้แบบนี้แล้วต้องอย่าลืมทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันนะคะ และถึงแม้ว่าคุณจะคิดว่าทำงานอยู่ในออฟฟิศ ไม่เจอแดด ก็ต้องทาครีมกันแดดก็ได้ ความคิดนี้ผิดมหันต์นะคะ เพราะแสงไฟจากหลอดนีออน นี่แหละตัวดีคะ ยิ่งถ้าเป็นหลอดฟลูออเรสเซน มันเป็นหลอดไฟที่ไม่ให้ความร้อน แต่ปล่อยรังสี UVA แทน ซึ่งระยะที่เป็นอันตรายต่อผิวมากๆ คือ ระยะที่ใกล้กว่า 1 เมตร และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีหลอดไฟอยู่หลายหลอดเป็นเวลานานๆ ด้วยนะคะ เพราะจะอาจทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ด้วยค่ะ

ยิ่งน้องๆ ที่ทำงานอยู่หน้าตู้โชว์สินค้า ที่มักจะติดตั้งหลอดไฟเมทัลเฮไลด์ (Metal Halide Lamp) ตัวนี้ก็จะปล่อยรังสี UVA ค่อนข้างเข้มข้นมากกว่าหลอดประเภทอื่นๆ ค่ะ และเมื่อโดนเป็นเวลานานจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ง่าย เช่น หลอดไฟส่องสินค้า ไฟประดับ ไฟเวที รวมไปถึงหลอดไฟในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เช่น เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องฉายแอลซีดี และถ้าคุณไม่แน่ใจว่าตัวอุปกรณ์ต่างๆ ใช้หลอดไฟแบบไหน วิธีง่ายๆ คือ หลีกเลี่ยงแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษ ดีที่สุดค่ะ

แต่ถ้าจำเป็นเลี่ยงไม่ได้ หมอแนะนำว่าอย่างน้อยควรหา SPF 30 นะคะ อย่าต่ำกว่านี้คะ ยิ่งถ้าต้องออกไปเจอแดดตัวจริง ขอ SPF 50 ขึ้นไปเลยคะเพราะแดดบ้านเรามันแรงมากจริงๆ คะ

ทำไมผิวต้องการครีมกันแดด
                                                         ทำไมผิวต้องการครีมกันแดด

อ่านแล้วน่ากลัวใช่ไหมคะ จริงๆ เราป้องกันได้ไม่ยากเลยคะ เพียงแค่คุณต้องทาครีมกันแดดทุกครั้ง ทุกวันแม้อยู่ในบ้าน หรือที่ร่ม และควรเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรมที่คุณทำ เช่นถ้าจะไปเที่ยวทะเล หมอแนะนำว่าต้องเลือก ครีมกันแดด ที่มี SPF 50 ขึ้นไป PA+++ และสำคัญมากต้องทาซ้ำ ๆ ทุก 2 ชั่วโมงด้วยคะ เพียงเท่านี้ เราก็ป้องกันปัญหาผิวจากแดด ได้สบายๆ คะ

พญ. นิภา ปรัชญาวนิชกุล

สอบถามเพิ่มเติม
http://line.me/ti/p/~thefaceaesthetic

บทความที่เกี่ยวข้อง

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ปรับผิวขาว l รักษาฝ้า กระ
ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย
Call center : 02-7122334
Line officiel : @thefaceaesthetic
Instragram : thefaceaesthetic

เข้าใจซะใหม่ Thermage กับ Ulthera

ต้องยอมรับว่าหลักการของ Thermage กับ ulthera คล้ายกันมากครับ และการจะให้ชี้ชัดๆ กันลงไป ว่าอะไรดีกว่าอะไรคงเป็นเรื่องยาก แต่ว่าหมอจะขออธิบายความแตกต่าง ข้อดีข้อเสียของแต่ละตัวดีกว่าครับ

เริ่มที่เครื่องเทอร์มาจ (Thermage) กันก่อน เทอร์มาจเป็นเครื่องมือแพทย์ที่คิดค้นมา ตั้งแต่ช่วงปี 2000 ใช่ ครับเกือบ 17 ปีมาเเล้วครับ เทอร์มาจเป็นเครื่องที่ออกในช่วงปี 2000 ชื่อว่า TC3 เป็นเครื่องรุ่นแรกๆ ของเทอร์มาจ (Thermage) คิดค้นโดยบริษัทเดียวกับเครื่อง vaser และ fraxel ครับ

 

เทอร์มาร์จ คือ การนำเทคโนโลยีความถี่ของคลื่นวิทยุ (Radio Frequency ) ที่เป็นแบบขั้วเดียวที่เจาะจงตำเเหน่ง ปัจจุบันมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนสามารถกระตุ้นได้ตั้งแต่ชั้นหนังแท้ (Dermis) จนลึกขึ้นถึงชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS ชั้นผิวใต้ผิวหนังอยู่ลึกบริเวณกล้ามเนื้อ เป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า) เมื่อคลื่นวิทยุถูกส่งลงไปถึงผิวจะช่วยแก้ปัญหาเส้นใยคอลลาเจนที่หย่อนคล้อย ขาดการยืดหยุ่นสปริงตัว กลับมาหดตัว และยืดหยุ่นเกลียวที่ขึงตึงขึ้น พร้อมจัดระเบียบใหม่ ยึดเนื้อเยื่อของผิวหนังได้ดีขึ้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น มีสปริงและผิวกระชับขึ้น

ผลิตออกมานานขนาดนี้ ก็เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ทันสมัยแล้วสิ

ถึงแม้จะผลิตออกมานาน แต่ Thermage เทอร์มาจ ก็มีการพัฒนาเรื่อยๆ ครับ อย่างตัวล่าสุดจะชื่อ รุ่น Thermage CPT เป็นการพัฒนา ช่วงคลื่นให้เเม่นยำ เจาะจงมากขึ้น ลดความเจ็บ และเพิ่มระบบ Vibration ส่งแรงสั่นสะเทือนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประสาทสัมผัสเราด้วยครับ (แต่การสั่น หรือไม่สั่น ไม่ได้มีผลต่อประสิทธิภาพเครื่องแต่อย่างใดครับ แค่ช่วยเบี่ยงเบนประสาทสัมผัสเท่านั้นเอง) นอกจากนี้ Tip รุ่นใหม่ ยังทำให้การกระจายพลังงานดีขึ้นมาก ลงลึกขึ้นกว่าเดิม ลึกประมาณ 3.5-4 ก็นับว่าสูงใช้ได้เลยทีเดียวครับ

แล้วอีกอย่างการผลิตออกมานานกว่า ก็ทำให้มีจำนวนผู้ที่ใช้เครื่องมากกว่า และทำให้เราเก็บข้อมูลต่างๆ มากกว่า มีผลวิจัยมากกว่า และค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีผลกระทบใดๆ ในระยะยาวครับ

ข้อเด่นของ THERMAGE เทอร์มาจ จริงๆคืออะไร

อย่างที่แจ้งตั้งแต่แรกว่า Thermage เป็นเทคโนโลยีที่เป็น “คลื่นวิทยุ” ที่อาจยังทะลุทะลวงไม่ได้สุดๆ แบบ “คลื่นเสียง” คลื่นจะลงไปยังชั้นผิวที่อยู่ใกล้ชั้นไขมัน ทำให้ไขมันสลายตัวได้ดีไปด้วย ดังนั้นคนที่มีปัญหาแบบ ริ้วรอยเล็กๆ ผิวไม่กระชับ แฟตเยอะ แก้มยุ้ยๆ เดี๋ยวก็อ้วน เดี๋ยวก็ผอม จะเหมาะกับการใช้เทอมาจมากกว่า แต่ถ้าคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อไม่กระชับ ผิวหย่อนคล้อย น่าจะเหมาะกับกลุ่ม อัลเทอร่า (Ulthera) มากกว่า

เมื่อเทียบความพอใจกับผลการรักษาจะเห็นว่า เทอร์มาจได้รับความนิยม มากในอเมริกา ในเรื่อง Age improvement และราคาก็จะถูกกว่า Ulthera

แล้วตกลงอะไรดีกว่ากัน

ตอบกันตรงๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่ากันครับ แต่ละตัวมีข้อดีต่างกัน เหมาะกับแต่ละปัญหาไม่เหมือนกัน
สมมติเรามองผิวหนังเราเป็นภาพตัดขวางนะครับ ผิวชั้นบนสุดก็คือ หนังกำพร้า (Epidermis) ที่พร้อมจะถูกขัดเป็นขี้ไคลได้เสมอ ถัดมาเป็นหนังแท้ (Dermis) ถัดมาอีกก็คือชั้นไขมัน (Hypodermis) ใต้ไขมันเป็นกล้ามเนื้อ บนชั้นกล้ามเนื้อจะมี SMAS หรือเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อไว้ครับ

 

เทคโนโลยีอะไรก็ตามที่สามารถยกกระชับผิวเนี่ย ควรจะออกฤทธิ์ใน 2 จุดครับ
จุดแรกคือบริเวณชั้นหนังแท้ ซึ่งมีอิลาสติน และคอลลาเจนอยู่เยอะ ซึ่ง Thermage เทอร์มาจ จะสามารถออกฤทธิ์ได้ตลอดชั้นของคอลลาเจน สามารถรับความร้อนที่จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เต็มพื้นที่ครับ ในขณะที่ Ulthera ไม่สามารถทำได้

และจุดที่ 2 คือชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS) (ชั้น SMAS คืออะไร พูดกันจังเลยคำนี้ – เพิ่มเติมตาม link เลยครับ) แล้วก็พบว่า คลื่นวิทยุของ Thermage เทอร์มาจก็จะออกฤิทธ์ไม่เท่ากับคลื่นเสียงแบบ Ulthera ถึงแม้ Ulthera ซึ่งเป็น focused ultrasound จะลงได้ลึกกว่า แต่ก็ด้วยความที่เป็น micro-points คือสามารถลงได้เป็นจุดๆ ครับ เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของ Ulthera ก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการยิงด้วย จึงจะเกิดความตึงของกล้ามเนื้อในการยกกระชับได้

สรุปว่าไม่ว่าจะเป็น Thermage หรือ Ulthera ก็ให้ประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวที่พอกัน เพียงแต่ในคนที่ใบหน้ามีชั้นไขมันหนามากการใช้ Ulthera อาจไม่เหมาะนัก เพราะระยะการยิงของ Ulthera ไม่สามารถปรับให้ตามความหนาของชั้นไขมัน ฉะนั้นการยิง Ulhtera อาจจะไม่ได้ผลตามที่ต้องการ หมอก็แนะนำ Thermage เทอร์มาจมากกว่า แต่ Ulthera ก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่า ในการยกกระชับบริเวณช่วงกราม และหน้าผาก แต่ Ulthera จะไม่สามารถทำบริเวณเปลือกตาและริมฝีปากได้ ในขณะที่ Thermage สามารถทำได้ครับ

สรุปอีกทีว่าการใช้รักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อย สามารถทำควบคู่กันได้ ระหว่าง Thermage และ Ulthera และเห็นผลดีด้วยครับ อาจจะพูดได้ว่าในการรักษาความยกกระชับ หรือการปรับรูปหน้า เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของผู้รักษา เพราะผลที่ได้ของทั้งคู่สูสีกันมากคับ ขึ้นกับลักษณะปัญหาของคนไข้มากกว่า ว่าจะเหมาะกับแบบไหน

เคยได้ยินว่า มันมีเครื่องรุ่นใหม่ ที่เอา ULTHERA + THERMAGE ในเครื่องเดียว

ไม่มีครับ ยืนยัน นอนยัน ทั้ง 2 บริษัทไม่เคยมีการร่วมมือสร้างเครื่องอะไรร่วมกัน และยังไม่เคยได้ยินข่าว ว่ามีเครื่องอะไรที่เป็นการผสมกัน ระหว่าง Ulthera และ Thermage หมอว่าอาจจะเป็นเครื่องเกาหลี หรือเครื่องจีน หรือเปล่าครับ เพราะเดี๋ยวนี้ แต่ละคลินิกมักชอบตั้งชื่อทรีทเม้นต์อะไรแปลกๆ ครับ

เคยมีคนบอกว่าเครื่อง RF ทั่วไปถ้าทำ 10 ครั้งมีค่าเท่ากับทำ เทอร์มาส หรือ เอาเทร่า 1 ครั้ง
เป็นไปไม่ได้ครับ ไม่เท่ากันแน่นอนครับ ถึงแม้ว่าเป็น เทคโนโลยีเดียวกัน แต่ประสิทธิภาพของเครื่อง และความลึก ความแม่นยำที่ลงสู่ผิว มันคนละเรื่องกันเลยครับ ถ้ามันจริงหมอจะซื้อเครื่อง Thermage หรือ Ulthera ทำไม เครื่องละ 4 – 5 ล้านครับผม ซื้อเครื่อง RF หลักแสนดีกว่า จริงไหมครับ

ULTHERA เหมาะกับฝรั่ง THERMAGE เหมาะกับคนไทย

นี่ก็ไม่จริงครับ คนเรามีผิวหนังเหมือนกันหมดครับ ไม่ว่าคนไทย หรือฝรั่งก็มี ชั้นผิวตั้งแต่ dermis epidermis SMAS เหมือนกันหมดครับ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่เหมาะกับฝรั่ง หรือไทย ไปมากกว่ากัน แต่ถ้าจะบอกว่าเพราะคนไทยมักมีไขมันที่แก้มเยอะกว่า อันนี้อาจจะถูกต้องบ้าง แต่ก็มีคนไทยที่แก้มตอบๆ ไม่มีไขมัน ก็เหมาะกับการทำ Ulthera ครับ

 

ได้ยินมาว่า THERMAGE รุ่นใหม่ไม่เจ็บ

คำว่าเจ็บไม่เจ็บนี่มันอธิบายยากจริงๆ ครับ คนไข้ผมบางคนฉีด Toxin ได้โดยไม่รู้สึกอะไร บางคนไม่ได้เลยเจ็บมาก แต่ถึงยังไงก็ทำ Thermage ถึงจะรุ่นใหม่ยังไงก็ต้องทายาชาครับ เพราะเจ็บจริงๆ บางท่าน ขอหมอฉีดยาชาเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหมอฟันธงนะครับ Thermage ทุกรุ่น เจ็บหมดครับ แค่เจ็บมาก เจ็บน้อยเท่านั้นเอง ถ้ามีใครมาบอกว่าไม่เจ็บนี้แสดงว่าโกหกกันละครับ

ทำ THERMAGE ครั้งเดียว แล้วจบเลย อยู่ได้ 2-3 ปี

ขอบอกกันตรงๆ ดีกว่าครับ ปกติเราจะนัดคนไข้มาดูผลประมาณ 1 – 3 เดือน หลังการทำ ซึ่งอาจมีบางส่วน ที่ยังไม่เห็นผลตามที่ต้องการ ก็อาจต้องยิงซ้ำ ซึ่งก็แล้วแต่กรณีไปครับ แต่ถ้าจะให้เคลมเลยว่าอยู่แบบนี้ 3 ปี ผมว่าอาจจะยากสักหน่อย อาจต้องดูว่าปกติมีกิจกรรมอะไรบ้าง แล้วเมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิวจะเริ่มสึกหรอและเสื่อมโทรมไปตามวัย การสร้างใหม่ก็ช้าลง น้อยลง ก็อาจจะมายิงซ้ำได้เร็วกว่านั้น เพื่อผลลัพธ์ที่พอใจครับ ซึ่งถ้าหมอแนะนำก็ปีละครั้ง กำลังดีครับ

THERMAGE มีผลข้างเคียงไหม

ผลข้างเคียงที่พบได้คืออาจจะมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยตามบริเวณที่ทำ แต่รอยเหล่านี้จะหายไปในเวลาไม่นาน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ไม่มีแผล แต่อย่างไร

ผลของ THERMAGE อยู่นานเท่าไหร่

Thermage หลังทำจะเห็นผลทันที ประมาณ 30% โดยจะเห็นผลเต็มที่ใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน จากนั้นผลจะคงอยู่อย่างน้อย 1-2 ปี โดยขึ้นกับการดูแล และสภาพผิว มีหลายคนที่ประทับใจในผลลัพท์และต้องการให้ผลอยู่นานๆ สามารถมาทำได้ในอีก 6 เดือนหลังจาก Thermage หมดฤทธิ์ ผิวหนังเราจะค่อยๆกลับสู่ภาวะปกติ โดยมิได้หย่อนคล้อยกว่าเดิม






( *** ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

 

สอบถามเพิ่มเติม
http://line.me/ti/p/~thefaceaesthetic

บทความที่เกี่ยวข้อง

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ปรับผิวขาว l รักษาฝ้า กระ
ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย
Call center : 02-7122334
Line officiel : @thefaceaesthetic
Instragram : thefaceaesthetic

ขนคุด กำจัดด้วยเลเซอร์ ได้จริงมั้ย ??

โรคขนคุด (Keratosis pilaris หรือย่อว่า KP) เป็นอีกโรคที่ติดอันดับต้นๆ ในการสร้างความรำคาญให้สาวๆ ขนคุดพบได้บ่อย ประมาณ 50-80% ในเด็กและวัยรุ่น และถ้าจะนับกันทั่วโลกก็มีคนที่เป็นโรคนี้มากถึง ประมาณ 40% เลยทีเดียว

โรคนี้มักจะเกิดกับสาวๆ มากกว่าหนุ่มๆ คะ และมักจะพบมากในผู้ที่มีผิวแห้งมากกว่าผิวมัน โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศเย็นลง อาการก็จะยิ่งมากขึ้น แต่โรคนี้ไม่อันตรายคะ มันก็แค่สร้างความรำคาญทำให้ผิวเราดูไม่เกลี้ยงเกลา เป็นเม็ดๆ โดยปกติแล้วโรคนี้สามารถหายไปเองได้คะเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ก็มีบางคนที่ถึงแม้อายุมากขึ้นแต่ยังมีอาการอยู่

โรคขนคุดเกิดได้ยังไง

โรคขนคุด เกิดจากพันธุกรรมคะ โดยผิวมีความผิดปกติของการสร้างเซลล์ผิวหนัง (Keratiniza tion) ที่ส่งผลให้บริเวณรูขุมขน มีการอุดตันด้วยสารเคอราติน ที่เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง เราเรียกว่า Keratin plug ส่งผลให้ขนไม่สามารถงอกทะลุรูขุมขนออกมาได้ เกิดเป็นขนขดงอคุดอยู่ใต้ผิวหนัง และจากกระบวนการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเองโดยพื้นฐานความผิดปกติทางพันธุกรรมของการสร้างเซลล์ผิว โรคขนคุดจึงไม่ใช่โรคติดต่อคะ

ข่าวร้ายก็คือ โรคขนคุด ไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ แต่โรคก็มีโอกาสที่จะหายได้เองเมื่ออายุมากขึ้นคะ การรักษาหลักๆ ที่ทำได้ ก็เป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น โดยหลักการคือการใช้ยาทา เพื่อให้โปรตีนเคอราตินที่อุดตันรูขุมขนหลุดออก ซึ่งอาการมักกลับมา เมื่อหยุดการดูแลรักษาคะ เพราะฉะนั้นก็คงต้องมีวินัย และขยันกันหน่อยคะ

แต่ในรายที่อาการเป็นไม่มาก การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังไม่ให้แห้งก็เพียงพอแล้วคะ

หลักๆ เราต้องเลือกใช้สบู่อ่อน สำหรับผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย เช่น สบู่เด็กอ่อน ถ้าเรารู้ตัวว่าเป็นคนที่ผิวแห้งและกิจกรรมประจำวันไม่ได้มีกิจกรรมหนักหรือสกปรกนัก การฟอกสบู่ให้ฟอกเฉพาะลำตัว รักแร้ ขาหนีบ มือ เท้า คอ ที่มีเหงื่อไคลสิ่งสกปรก เว้นบริเวณแขน ขา ก็จะลดความแห้งคันของผิวลงได้

และที่สำคัญต้องทำใจคะ งดอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนเด็ดขาด, งดการขัด (Scrub) ผิว เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น สาวๆ หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเม็ดๆ ขึ้นมาคล้ายสิว เลยไปสครับใหญ่เลย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว จะกลับทำให้อาการเป็นมากขึ้นด้วยซ้ แถมอาจทำให้เกิดรอยแดง แนะนำให้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดผิวอย่ากรดผลไม้ (AHA) อย่างน้อยวันละครั้ง

อีกข้อหนึ่งคือ ควรทาโลชันให้ความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำเช้า-เย็น และทาได้บ่อยขึ้นอีกบริเวณผิวที่แห้ง โดยโลชันควรมีส่วนประกอบของสารให้ความชุ่มชื้นและผลัดเซลล์ผิวอุดตัน (Keratolytic) เช่น 20% Urea, Lactic acid ,Alpha hydroxyl acid (AHA), Salicylic acid, และ/หรือ Glycolic acid

ขอย้ำนะคะ ข้อปฏิบัติทั้ง 2 ข้อนี้ คือ การปฏิบัติตัวเป็นประจำตลอดไปของคนที่เป็นโรคนี้คะ ยังไงต้องทำอย่างต่อเนื่องถึงแม้อาการจะไม่แสดงออกมา แต่ก็ยังคงต้องทำเพื่อไม่ให้อาการกำเริบใหม่คะ

ถ้าทำทั้ง 2 ข้อข้างต้นแล้วยังไม่เห็นผล

ในรายที่อาการมาก ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ ส่วนใหญ่แพทย์จะจ่ายกลุ่มยาที่มีอนุพันธุ์ของวิตามิน-เอ ชนิดทา (Topical Isotretinoin) ตัวนี้จะช่วยผลัดโปรตีนเคอราตินที่อุดตันออก แต่อาจมีผลข้างเคียงเป็นอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง อาจทำให้ผิวหนังอักเสบได้ แต่ส่วนใหญ่แพทย์จะเริ่มต้นจากยาที่มีความเข้มข้นต่ำก่อนเช่น 0.025%

หรือถ้าเป็นมากๆ จริง แพทย์อาจจ่ายยาทาสเตียรอยด์ ใช้ในช่วงที่ตุ่มของโรคขนคุดมีอาการ แดง คัน อักเสบโดยให้ยาเพียงช่วงเวลาสั้นๆประมาณ 2 สัปดาห์

หรือถ้าการรักษาข้างต้นยังไม่เห็นผลชัดเจน แพทย์อาจเพิ่มการรักษาวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เลเซอร์กำจัดขน ใช้ยิงรักษาบริเวณที่เป็น เพื่อลดปริมาณตุ่มขนคุด จากขนที่ไม่สามารถงอกได้ตามปกติ ก็จะทำให้ไม่มีเส้นขนงอกออกมา หรือเส้นขนขนาดเล็กลง ทำให้ตุ่มเล็กลง หรือเรียบไปคะ

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

เจาะลึกการกำจัดขนถาวร

ผิวหนังของคนเราเกือบทุกส่วนจะปกคลุมด้วยเส้นขน แต่สาวๆ รู้ไหมคะว่าจริงๆ แล้วเส้นขน มีประโยชน์หลายอย่าง เช่นช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิในร่างกาย ปกป้องแสงแดดและเพื่อความสวยงาม บางคนเริ่มสงสัยว่าแล้วขนบริเวณรักแร้ หละจะมีประโยชน์อะไร ตอบเลยคะ มีไว้สำหรับลดแรงเสียดสี

เจาะลึกการกำจัดขนถาวร
     เจาะลึกการกำจัดขนถาวร

 

แต่สาวๆ มักจะไม่ชอบหรือไม่อยากมีไว้ในครอบครองสักเท่าไร แต่สมัยนี้อะไรก็เป็นไปได้คะ ถ้าไม่อยากมีไว้ เราก็ต้องกำจัดมันออกไป

การกำจัดขน มี 2 วิธีคือ

1. การกำจัดขนแบบชั่วคราว ได้แก่ การโกน ถอน ใช้ด้ายกระตุก การแว๊กซ์ วิธีการเหล่านี้นอกจากต้องทําบ่อย ๆ แล้วยังมักก่อให้เกิดปัญหาของรูขุมขนอักเสบ และขนคุด ตามมา
2.กําจัดขนแบบถาวร

วิธี electrolysis คือ การใช้เข็มสอดลงไปที่รากขนทีละเส้นแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้า เพื่อไปทำลายรากขน วิธีนี้ค่อนข้างเจ็บ เสียเวลานานมาก และมีโอกาสเสี่ยงกับการเกิดแผลเป็นค่อนข้างสูง

วิธีการใช้แสงความเข้มสูง หรือ เลเซอร์ เป็นวิธีการที่อาศัยพลังงานความร้อนจากแสงไปทําลายรากขน

วิธีการกำจัดขนโดยเลเซอร์ให้ผลดีขนาดไหน

การนำเลเซอร์มาใช้เพื่อกำจัดขนในปัจจุบันถือว่าได้ผลดี และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง วิธีการคือการเลือกคลื่นแสงที่เหมาะสมหรือ Selective Photothermolysis โดยเลือกช่วงความยาวและความกว้างของคลื่นที่เหมาะสมที่ให้พลังงานเพียงพอไปยังขน โดยพลังงานจากเลเซอร์ จะถูดดูดซึมโดยเม็ดสีเมลานินในต่อมขน ก่อนที่ความร้อนจะกระจายออกไปเพื่อทำลายขนโดยไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง พลังงานเลเซอร์ถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะเจาะจงกับเซลส์เม็ดสีในรากขน เมื่อเซลส์รากขนถูกทำลาย ขนก็จะหลุดร่วงไปและขึ้นใหม่ในลักษณะที่น้อยลง บางลง หรือไม่ขึ้นอีกเลย ดังนั้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำซ้ำอย่างน้อย 6-8 ครั้ง

เจาะลึกการกำจัดขนถาวร
เจาะลึกการกำจัดขนถาวร

ทำไมทำแล้วไม่เห็นผลเท่าที่ควร

ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับหลายอย่างเช่น ความชำนาญของแพทย์ ผิวและลักษณะความหนา บาง ของเส้นขน และที่สำคัญที่สุดคือเครื่องมือที่ใช้ในการทำเลเซอร์กำจัดขนซึ่งมีหลากหลายดังนี้

1. คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่น 590-1,200 nm หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ IPL เป็นการใช้แสงความเข้มสูง เครื่องมือนี้เป็นการใช้ไฟแฟลชที่มีตัวกรองแสงเพื่อสร้างแสงมีความยาวคลื่นกับจังหวะการตกกระทบ โดยแสงจะเข้าไปทำลายขน และเพราะ IPL เป็นแสงความเข้มข้นสูงแต่ความยาวของคลื่นสั้นจึงทำให้พลังงานไม่สูงพอจะทำลายรากขนได้ทั้งหมด อาจจะได้ผลบ้างในไรขนอ่อนๆ บางๆ แต่ถ้าขนดกหนา ผลคือขนบางลงและขึ้นช้าแต่จะไม่หายไปทั้งหมด IPL เป็นเครื่องมือที่กำจัดขนได้รวดเร็ว แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพราะผิวหนังอาจดูดซับพลังงานที่มากเกินไปทำให้ผิวไหม้ได้
2. เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 800 nm หรือที่เรียกว่า Diode Laser เครื่องมือชนิดนี้ให้พลังงานสูงให้ผลได้ดีกว่า IPL เนื่องจากมีความยาวคลื่นที่เหมาะสม จึงสามารถทำลายลึกถึงรากขน เหมาะสำหรับกำจัดขนบริเวณพื้นที่ใหญ่ๆ เช่น ขนหน้าอก หน้าท้องอย่างไรก็ตามเมื่อใช้กับผู้ที่มีสีผิวเข้ม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
3. เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1,064 nm หรือที่เรียกว่า Long Pulse ND-YAG Laser หรือที่คุ้นหูว่าแย๊ก สามารถใช้กำจัดขนได้กับผิวหนังทุกประเภทความเข้ม และด้วยความยาวของคลื่นสูงจึงสามารถทะลุไปยังใต้ผิวหนังชั้นลึกสามารถกำจัดขนได้ลงลึก การดูดซับพลังงานที่ผิวหนังน้อย จึงเกิดประสิทธิภาพในการกำจัดขนได้ดี รวมทั้งมีระบบประคบให้ความเย็นของเครื่องมือยังปกป้องผิวหนัง เหมาะกับทุกสีผิวไม่ว่าสีผิวจะเข้มระดับใดก็ตาม ทั้งผิวขาว ผิวสองสี และผิวคล้ำ

ตอนนี้สาวๆ คงมีไอเดียที่จะเลือกการกำจัดขนที่ดีพอแล้วนะคะ ^^

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

ในขณะที่ใครๆ ก็อยากจะผอมให้มากที่สุด จนยอดอดอาหารบางมื้อ แต่ก็มีบางคนที่ผอมมากแบบที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนขึ้นสักที

บางคนผอมมากเพราะป่วย บางคนไทรอยด์เป็นพิษ บางคนผอมเพราะเป็นโรคกลัวอ้วน แต่จะอะไรก็ตาม อ้วนเกินหรือผอมเกิน ย่อมไม่ใช่ภาวะร่างกายปกติของคนเราแน่ๆ

สำนักงานตรวจสุขภาพแห่งชาติ กรุงออสโลว์ ประเทศนอร์เวย์ มีการศึกษาวิจัยแบบจริงจังและยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 โดยติดตามผลการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด วัดความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีมวลกายกับความดันเลือดในขณะที่หัวใจบีบตัว ของประชาชนเมืองเบอร์แกน ชาย 21,145 คน หญิง 30,330 คน อายุระหว่าง 30-79 ปี และจดบันทึกพัฒนาการด้านสุขภาพ สาเหตุของการเสียชีวิต จนจบการทดลอง จึงพบว่า…

ผู้หญิงที่น้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติ จะเสียชีวิตจากระบบหัวใจ หลอดเลือดล้มเหลว โดยมีข้อมูลสัมพันธ์กันเชิงสถิติ

ผู้หญิงที่น้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติ เสี่ยงต่อการแท้งบุตร เพราะรังไข่ทำงานผิดปกติ และการอดอาหารมากเกินไปทำให้ร่างกายเสียสมดุล ฮอร์โมนผิดปกติ ระบบต่างๆจึงทำงานไม่ปกติ ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ประจำเดือนมาไม่ปกติ และทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนในที่สุด

คนที่น้ำหนักตัวน้อยเกินไป จะมีปริมาณเนื้อเยื่อในสมองรวมน้อยกว่าคนปกติ สมองเกิดโพรงกว้างและทำงานหนักขึ้น รวมถึงการขาดกลูโคสเพราะอดอาหาร สมองจะสร้างโดปามีนมาทดแทนเพิ่มขึ้น ทำให้สูญเสียความควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

ดังนั้นการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ทั้งการกิน อยู่ คือสมดุลร่างกายและจิตใจด้วย คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะจริงๆ แล้วความงามนั้นมาจากสุขภาพกายใจที่ดี แต่สำหรับคนที่กินอย่างไรน้ำหนักก็ไม่ขึ้น ไม่แนะนำให้รับประทานอาหารหวานจัด เค็มจัด หรือมีไขมันสูง เพื่อให้ได้แคลอรี่มากๆ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง แต่ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (แทนการเพิ่มน้ำหนัก แต่พุงยื่นแทน) เช่น นม ไข่ ถั่ว ธัญพืช (ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีประโยชน์) ร่วมกับออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกน้ำหนัก เล่นเวท โยคะ พิลาทิส ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มน้ำหนักกล้ามเนื้อแล้วยังช่วยเสริมสร้างกระดูก ป้องกันภาวะกระดูกบางอีกด้วย วิธีอื่น ๆ ได้แก่ คลายเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น หางานอดิเรกที่ชอบ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เลื้ยงสัตว์ รวมทั้งหยุดสูบบุหรี่ หากต้องการเพิ่มน้ำหนักจริงๆ อาจเพิ่มปริมาณแคลอรีต่อวันขึ้นอีกประมาณ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยอาจแบ่งเป็นหลายๆ มื้อ อย่าลืมว่าไม่ควรเพิ่มแคลอรีจากอาหารหวานและมัน ควรเพิ่มจากโปรตีนมากกว่า

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

เดี๋ยวนี้การกำจัดขน มีหลากหลายวิธีให้สาว ๆ ได้ตัดสินใจเลือกทำกัน ตั้งแต่การโกน แวกซ์ หรือแม้แต่เลเซอร์กำจัดขนตามคลินิกและสถานเสริมความงามที่เปิดรอให้บริการเต็มไปหมด ก็เพราะการมีขนทำให้สูญเสียความมั่นใจ เวลาจะใส่เสื้อแขนกุดหรือกางเกงขาสั้นในวันชิล ๆ ก็ต้องคอยกังวลคอยหาอะไรมาปกปิดขนอยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงหลายคนจึงแห่ไปเลเซอร์กำจัดขนที่ให้ผลดีและรวดเร็ว แต่ทางที่ดี ก่อนที่จะไปทำก็ควรรู้ความจริงของการกำจัดขนที่เราได้นำมาฝากกันก่อน แล้วค่อยตัดสินใจดีกว่านะคะ

การเลเซอร์กำจัดขนมีราคาสูง

หากคุณเลือกไปเลเซอร์กำจัดขนในสถานเสริมความงามหรือในคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา คุณต้องมีเงินจำนวนมากพอสมควรในการกำจัดขน เพราะยังไงการเลเซอร์ครั้งเดียวก็ไม่เห็นผลแน่นอน คุณอาจจะต้องซื้อคอร์สเป็นระยะเวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลชัดเจน ฉะนั้นก่อนไปทำลองคิดดูให้ดีกว่า เงินที่เสียไปนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาหรือไม่และเมื่อจ่ายไปแล้วต้องไม่ส่งผลกระทบในด้านการงานในชีวิตประจำวันด้วย

สำรวจเครื่องมือก่อนทำ

ก่อนคิดจะไปกำจัดขนตามคลินิกจริง ๆ อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจ ให้ลองไปปรึกษาและขอดูอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ของคลินิกแต่ละแห่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง ยิ่งคลินิกไหนที่มีเครื่องไม้เครื่องมือเยอะหรือเครื่องมือสุดแสนจะทันสมัยไว้ใจได้ด้วยล่ะก็ ให้เลือกคลินิกนั้นเถอะเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ตรวจสอบบุคคลที่กำจัดขนให้

บางคลินิกหรือสถานเสริมความงามที่คุณขอเข้ารับบริการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษาไม่ได้เป็นคนลงมือกำจัดขนให้คุณเอง แต่อาจจะเป็นนางพยาบาลหรือบุคคลที่ทำงานในคลินิกมาทำให้แทน ทางที่ดีคุณควรจะสอบถามประวัติของบุคคลคนนั้นให้ดีก่อนทำ อาจจะถามถึงประสบการณ์การทำงาน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผลลัพธ์ในการกำจัดขนจะออกมาดีดั่งใจคิด ดีกว่าลองเสี่ยงให้ใครมาทำให้ก็ไม่รู้ แล้วสุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจเพราะผลลัพธ์ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปนะคะ

ไม่มีทางกำจัดขนได้ถาวร

ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือสุดยอดเทคโนโลยีมาช่วยในการเลเซอร์กำจัดขน แต่ก็ไม่มีทางที่ขนจะหายไปเลยจากชีวิตของคุณ อย่างดีก็แค่เปลี่ยนสีอ่อนลงให้ดูไม่ชัดเจนเหมือนเดิมเท่านั้นเอง ยิ่งหากคุณโชคร้ายไปเจอคลินิกกำจัดขนที่ฝีมือแย่ ขนที่ขึ้นใหม่จะยิ่งดกดำดูน่าเกลียดกว่าเดิมอีกด้วย ทางที่ดีควรเลือกคลินิกหรือสถานเสริมความงามที่มีคุณภาพก่อนทำเถอะนะ

รู้ก่อนการตัดสินใจ กำจัดขนถาวร

 

การทำเลเซอร์กำจัดขนจะไม่เห็นผลถาวร ผลของเลเซอร์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปีเท่านั้น

ดังนั้น สาวๆ ที่กำลังมองหาวิธีกำจัดขนควรพิจารณากำลังทรัพย์ตนเอง ว่าเพียงพอหรือเปล่า เครื่องเลเซอร์ที่ใช้เป็นรุ่นใด ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ หาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองนะคะ ^^

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของเรา คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญของผิว เพราะเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ แต่ภายหลังอายุ 20 ปี ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง ผิวหนังจึงยุบตัวลง เกิดเป็นร่องริ้วรอย ทำให้ความเหี่ยวย่น ปรากฏขึ้น

มหัศจรรย์ สารเติมเต็ม FILLER

สารฟิลเลอร์ Filler (HA) ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในการปรับแก้ไขรูปหน้า ทั้งแบบเฉพาะจุดเช่น เสริมจมูก เสริมคาง เติมหน้าผากยุบ ฉีดหน้าผากนูนเพิ่มโหวงเฮง เติมขมับบุ๋ม เติมแก้มที่ตอบ เติมร่องใต้ตา หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยอื่นๆ บนใบหน้า และฉีดแบบเมโส MesoFiller เพื่อลดริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ

การฉีดแบบ Meso Filler

ล่าสุด Filler ได้ถูกพัฒนาขึ้น ให้ฉีดแบบเมโสเธอราปี (Mesotherapy) ซึ่งเป็นการใช้เข็มค่อยๆ ผลักตัวยาลงไปใต้ชั้นผิวทีละจุดๆ ทั่วทั้งหน้า เพื่อเติมเต็มทำให้ผิวเอิบอิ่ม กระชับผิวให้เต่งตึง และด้วยวิธีการนี้จะช่วยในการรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้ในบางราย โดยไม่ทิ้งรอยแผล ไม่เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ ไม่ต้องหลบแดด การฉีด Filler เทคนิคใหม่นี้จะต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฉีดสารฟิลเลอร์ ได้ตามหลุมสิว หรือร่องสิว มากน้อย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

Filler Shin – ฉีดฟิลเลอร์ เติมคาง ปรับรูปหน้าเรียว ( *** ผลลัพธ์ขึ้ยอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

Filler eyes – ฉีดฟิลเลอร์ร่องใต้ตา  ( *** ผลลัพธ์ขึ้ยอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

Filler lips – ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ อวบอิ่ม   ( *** ผลลัพธ์ขึ้ยอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

Filler cheek – ฉีดฟิลเลอร์ เติมร่องแก้ม  ( *** ผลลัพธ์ขึ้ยอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

Filler nose – ฉีดฟิลเลอร์ เสริมจมูก ปรับรูปหน้า   ( *** ผลลัพธ์ขึ้ยอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

Filler acne scar, skin – ฉีดฟิลเลอร์ลดหลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว  ( *** ผลลัพธ์ขึ้ยอยู่กับแต่ละบุคคล )

 

เมื่อไรจึงจะเห็นผล และผลการรักษาด้วย Filler อยู่ได้นานแค่ไหน

เห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด Filler และจะเห็นได้ชัดว่าใบหน้าเข้ารูป กระชับขึ้นหลังฉีดไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลการรักษาด้วย Filler อยู่ได้นานประมาณ 8 เดือน ถึง 1.5 ปี

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ Filler เป็นอย่างไร

เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นแพทย์จะทายาชาเพื่อลดความเจ็บในการฉีด หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะประคบเย็นแล้วแต่กรณี

ขณะฉีดฟิลเลอร์ Filler จะรู้สึกอย่างไรบ้าง

อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยบางบริเวณ ไม่มากเหมือนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และเนื่องจาก filler ตัวใหม่ๆ มียาชาผสมอยู่แล้ว จึงช่วยลดอาการเจ็บได้มากทีเดียว

The Face Aesthetic ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร ปลอดภัยแค่ไหน

เดอะเฟสจะใช้ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane จากประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น และฟิลเลอร์ของยี่ห้อนี้ได้รับใบอนุญาติ ผ่านอย. แล้วทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีคนฉีดทั่วโลกเกือบ 20 ล้านคนในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดคะ

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าตัวสารฟิลเลอร์จะมีความปลอดภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใด การฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นการเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตอบทุกคำถาม Filler – อันตรายแค่ไหน

https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/promotion_detail.php?tid=141

จุดสำคัญในการฉีดฟิลเลอร์ Filler เพื่อยกกระชับอย่างเห็นผล

https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/promotion_detail.php?tid=152

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

วิธีทาครีมรอบดวงตา ช่วยให้สวย หรือเพิ่มความเหี่ยว

สาวๆ ทุกคนต้องรู้จัก eyes cream กันอยู่แล้ว คำถามคือแล้วรู้จักวิธีทากันหรือเปล่า ???
การทา eyes cream บางคนบอกว่าให้ทาจากหางตาไปหัวตา บางคนบอกหัวตาไปหางตา แถมเคยได้ยินมาอีกว่า เปลือกตาบนทาจากหางมาหัว
แต่ใต้ตาให้ทาจากหัวไปหาง

สาวๆ คงเคยได้ยิน และเคยงงกับเทคนิคเหล่านี้ มาบ้างนะคะ

งานนี้ หมอบอกเลยคะ ว่าผิดหมดทุกวิธี ไม่ว่าจะหางมาหัว หรือหัวมาหาง เพราะอะไรรู้มั้ยคะ เพราะการที่เราถูครีม ไปตามผิวหนังมันเกิดการเสียดสี และอาจทำให้เกิดริ้วรอยบางๆ ขึ้นได้ และไอ้เจ้าริ้วรอยบางๆ นี่แหละคะ ยิ่งนานวัน สะสมกันเข้าไปก็จะเป็นริ้วรอยที่ลึกขึ้นได้  บางคนแย้งว่า มันเป็นการช่วยดึงริ้วรอยให้ตึงขึ้นต่างหาก หมอขอเถียงนะคะ ถ้าการถูตาจากหัวตาไปหางตา หรือจากหางตามาหัวตาแล้วทำให้ผิวรอบดวงตาตึงขึ้น คงไม่มีใครไปฉีด Toxin แล้วคะ หรือจะมีบางคนแย้งอีกว่า เป็นการนวดเพื่อให้เลือดไหลเวียน ต่อมน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น ข้อนี้หมอเห็นด้วยครึ่งนึงคะ มันอาจช่วยได้ถ้าคุณทำถูกวิธี แต่ถ้าเราถูผิดๆ ถูกๆ นอกจากจะไม่ช่วยการทำงานต่อมน้ำเหลืองแล้ว ยังอาจทำให้เกิดเลือดคั่งใต้ตา หรือเป็นรอยดำใต้ตาอีกต่างหาก เอาเป็นว่าอย่าเสี่ยงดีกว่าคะ เรามาทา eyes cream กันอย่างถูกวิธีกันนะคะ

วิธีที่ถูกต้องในการทา eyes cream ง่ายมากๆ เลยคะ

เรา แค่แตะครีม ให้รอบดวงตา ตามภาพเลยคะ ไม่ต้องถูนะคะ แตะๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ให้รอบดวงตา โดยเว้นระยะเล็กน้อย ไม่ต้องทาใกล้ดวงตามากนัก เพิ่มเทคนิคอีกนิดคะ แนะนำให้ใช้นิ้วนาง หรือนิ้วก้อยนะคะ ห้ามนิ้วชี้เลยคะ เพราะแรงกดระหว่างนิ้วชี้ กับนิ้วนางหรือนิ้วก้อยต่างกันมากคะ ค่อยๆ แตะอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา หมออยากให้สาวๆ มะโนว่าผิวรอบตา เป็นเสมือนผ้าไหมอียิปต์ที่มีมุลค่าหลายร้อยล้าน เพราะฉะนั้นต้องแตะต้องให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

ทาครีมรอบดวงตา ช่วยให้สวย หรือเสี่ยงรอยเหี่ยว

 

ปกติแล้วอายครีมมักจะใช้เวลาประมาณ 1 นาทีในการซึมซาบลงผิว แต่ถ้าเป็นเนื้อเจล หรือเซรุ่มก็จะเร็วกว่านั้น เพราะฉะนั้นควรเว้นเวลาประมาณ 1 นาทีก่อนลงแป้ง หรือรองพื้น หรือครีมบำรุงตัวอื่นๆ นะคะ

เนื้อเจล
                                                                   เนื้อเจล

 

เนื้อครีม
                                         เนื้อครีม

 

เนื้อเซรั่ม
                                            เนื้อเซรั่ม

 

ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ ต่อไปนี้สาวๆ ก็จะมีผิวรอบดวงตาที่สวยปิ๊งๆ แล้วหละค่ะ

 

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว

ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : @thefaceaesthetic

Youtube : www.youtube.com/channel/thefaceaesthetic

Instragram : thefaceaesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทำสมาธิให้จิตใจสงบผ่องใส สามารถส่งผลให้หน้าตาและผิวพรรณดูสดใส ไร้ริ้วรอยได้จริง ๆ เมื่อนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้พบว่าการทำสมาธิเป็นประจำ จะกระตุ้นการทำงานของเยื่อหุ้มสมอง ส่วนหน้าซีกซ้ายที่เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ยินดี และส่งผลกับกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อมีสมาธิ จิตใจปลอดโปร่ง มีความสุข ก็ทำให้ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ^ ^

การฝึกทำสมาธิมีหลายรูปแบบ โดยรูปแบบเบื้องต้นที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ ดังนี้

1. ฝึกหายใจให้สมบูรณ์ คือการทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส การอยู่ในอิริยาบถที่สบาย นั่งสบายๆ ค่อยๆหายใจเข้าลึกๆ จนลมหายใจถึงกระบังลม หรือที่เรียกว่าหายใจเข้าท้องป่อง หลังจากนั้นก็หยุดหายใจประมาณ 2 วินาที เพื่อให้ปอดได้รับอ๊อกซีเจนอย่างเต็มที่ แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ จนท้องแฟ่บ
2. เมื่อหายใจอย่างสมบูรณ์แล้วก็มาเริ่มฝึกสมาธิกัน โดยสามารถเลือกได้ว่าจะฝึกสมาธิกับอะไร เช่น การเพ่งกสิณ การมองพระพุทธรูป และที่นิยมคือการติดตามลมหายใจของตนเอง และติดตามการเดินของตนเองในขณะเดินจงกลม ซึ่งถือว่าเป็นการฝึกสมาธิที่ได้ผลดีชนิดหนึ่ง
3. ก่อนการทำสมาธิควรตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทำสมาธิ รวมทั้งมนัสการคุณพระรัตนตรัยก่อน
4. หลังการทำสมาธิ ควรอุทิศบุญที่สำเร็จแก่ ตนเอง บิดา มารดา ญาติ ครู อาจารย์ เทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกรูปทุกปาง เจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวร และแผ่เมตตาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย

สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆ มีผิวพรรณผุดผ่อง สดใส ตราบนานเท่านานนะค่ะ สาธุ ^ ^

หลังจากนั่งๆ นอนๆ อยู่กับน้องน้ำมาหลายอาทิตย์ เริ่มสังเกตุเห็นห่วงยางรอบเอว กลัวใส่ชุดว่ายน้ำไม่สวย ลองฝึกท่าโยคะง่ายๆ เหล่านี้ จะช่วยให้สะโพกและต้นขาลดลงได้ในสองสัปดาห์ โยคะทั้ง 5 ท่านี้ต้องทำต่อเนื่องกันไป สำหรับคนที่เริ่มฝึกหรือน้ำหนักตัวมากให้ยกขาเท่าที่ทำได้ แต่ต้องเกร็งขาและสะโพก ทำติดต่อกัน 3-5 รอบ แต่ไม่ควรเล่นหลังจากรับประทานอาหารนะค่ะ
ท่ายืนภูเขา ยืนตัวตรง กางขาเท่าช่วงไหล่ หายใจเข้าลึกๆ กางแขนออก ยกขาขวาไปข้างหน้า เหยียดแขนและขาให้ตึง หายใจออก
ท่าดวงดาว หายใจเข้า งุ้มปลายเท้า วาดขาขวาออกด้านข้าง แขนขวาชูขึ้นด้านบน หายใจออก
ท่าเครื่องบิน หายใจเข้า วาดขาขวาไปทางด้านหลัง ลดแขนขวาลง กางแขนทั้งสองข้างโน้มตัวลงเล็กน้อยให้ลำตัวขนานกับพื้น หายใจออก
ท่ากิ่งไม้ หายใจเข้า เคลื่อนแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้า ประนมมือยืดแขน-ขาให้ตึง หายใจออก
ท่าต้นตาล หายใจเข้า ขาขวาแตะพื้น เกร็งตัว แขนทั้งสองชูขึ้น เหยียดแขนให้ตรง หายใจออก ลดแขนทั้งสองข้างลงข้างลำตัว กลับสู่ท่ายืนภูเขา แล้วทำสลับขาข้างซ้าย

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว

ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ

Call center : 02-7122334

LINE official : theface_aesthetic

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

เครดิต: นิตยสาร Health & Cuisine ฉบับที่ 87

3 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Cleansing Oil

1.ใช้ Cleansing Oil แล้วยังรู้สึกลื่นบนใบหน้า… แล้วผิวจะสะอาดจริงหรือ??

โดยปกติ ผิวของคนเรานั้นจะสร้างน้ำมันตามธรรมชาติ เพื่อเคลือบผิวไว้อยู่แล้ว ความรู้สึกลื่นเล็กน้อยหลังล้างหน้าด้วยออย คือกลไกในการรักษาสมดุลของน้ำมันบนผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งเกินไป หรือมันมากจนเกินไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดีนั้น ควรทำความสะอาดอย่างล้ำลึก แต่ในขณะเดียวกันต้องไม่ทำลายสมดุลโดยธรรมชาติของผิวด้วย

2.ผิวมัน สามารถใช้ Cleansing Oil ได้หรือไม่

คนส่วนใหญ่มักมีความเชื่อว่า ยิ่งใช้น้ำมันล้างหน้า ก็จะยิ่งทำให้หน้ามันมากขึ้น แต่ความจริงก็คือ สาเหตุของความมันเกิดจากผิวขาดสมดุลเนื่องจากการล้างหน้า ที่ผิววิธี ดังนั้นการใช้ออยล้างหน้าอย่างถูกวิธี นอกจากจะไม่ทำให้หน้ามันมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ใบหน้าผลิตน้ำมันช้าลงอีกด้วย

3.การใช้ Cleansing Oil ที่ถูกต้องควรใช้อย่างไร

– สเปรย์ออยลงบนบริเวณใบหน้า หรือผิวที่ต้องการทำความสะอาดให้ทั่ว แล้วนวดวนเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าที่แห้งประมาณ 1 นาที

– ใช้นิ้วแตะน้ำสะอาดเล็กน้อย แล้ววนซ้ำให้ทั่วผิวหน้าจนกระทั่งออยเปลี่ยนเป็นน้ำนม และความมันค่อยๆ หายไป

– ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด จนกระทั่งหมดความมัน ซับหน้าให้แห้ง พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป

 

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

แผลเป็น หลุมสิว ใช้ยารักษาไม่เพียงพอจริงหรือ???
จริงที่สุดค่ะ !!

เนื่องจากหลุมสิวเกิดจากการที่สิวเกิดอาการอักเสบนานต่อเนื่องเป็นเดือนๆ หรือเกิดจากการ กด บีบ สะกิดแบบผิดวิธีจนทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดซ้ำๆ จนทำให้การอักเสบลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ และหลุมสิวไม่มีทางหายเองนะคะ ไม่ว่าจะทายา หรือครีมสูตรไหน ราคาแพงแค่ไหน การรักษาทำได้ด้วยการแต้มกรด ฟิลเลอร์ หรือการทำเลเซอร์ที่เป็น Fractional เท่านั้นคะ

ลักษณะหลุมสิว

1. Ice Pick Scar หลุมสิวลึก ขอบแคบ ขอบเล็ก เหมือนเป็นมากกว่าหลุม กลุ่มนี้จะรักษายากที่สุด
2. Box Scar เป็นหลุมสิวรอยกว้าง ขอบยก เห็นชัด เกิดจากสิว หรือ อีสุกอีใส
3. Rolling Scar เป็นหลุมสิวแบบแอ่งเว้า การรักษาต้องใช้ความอดทนและใช้เวลานาน

การรักษาหลุมสิว เราจะแบ่งคร่าวๆ ได้ดังนี้

โดยการรักษาอาการข้างต้นทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นกับลักษณะปัญหาของแต่ละท่าน

1. แต้มกรด จะมีผลทำให้เกิดการเร่งเซลล์ผิว หลังทำจะเป็นสะเก็ดดำ หลุดไปเอง ต้องทำซ้ำทุก 1สัปดาห์
2. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี คือการใช้ผงอะลูมิเนียมออกไซด์ พ่นโดยใช้สูญญากาศ ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื้อใหม่ ต้้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลได้ดี
3. Dermapoint คือการใช้เข็มเล็กๆ จิ้มบริเวณหลุมสิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ได้ผลค่อนข้างดี แต่มีข้อเสียคือค่อนข้างเจ็บ และต้องทายาชา
4. Subcision คือการใช้เข็มเข้าไปแซะที่ก้อนหลุม เพื่อแซะพังผืดออก เหมาะกับคนที่มีหลุมไม่มากและมีขนาดใหญ่ อาจใช้ร่วมกับวิธีรักษาแบบอื่น เพื่อให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
5. ใช้เลเซอร์ในกลุ่ม Fractional Laser (ที่รู้จักกันในชื่อ Fraxel, Finescan, E-Matrix) หลักการคือการปล่อยคลื่นแสงเป็นอนุภาคเล็กๆ บนผิวหนัง จากนั้น ผิวก็ซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่

อย่างไรก็ดีทุกวิธีข้างต้นควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละรายไป
ทราบอย่างนี้แล้ว คิดให้ดีก่อนการบีบสิว กดหรือแกะสิวนะค่ะ สาวๆ ^ ^

สอบถามเพิ่มเติม
The Face : 02-7122334
The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

สาวๆ คนไหนที่กำลังประสบพบเจอกับปัญหาปากดำทำไงดี? วันนี้เรามีวิธีแก้ปัญหาริมฝีปากดำมาฝากกันค่ะ

ปัญหาริมผีปากคล้ำคงเป็นเรื่องที่หลายๆ คนทำใจได้ยาก โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเราๆ ที่มักจะกังวลเป็นพิเศษเพราะไหนจะไม่สวยแล้วยังจะถูกมอง ถูกล้อ ว่าเป็นคนไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพ หรือไม่ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นพวกสูบบุหรี่จัดทำให้ถึงกับเสียความมั่นใจไป วันนี้เรามีคำตอบ ในการแก้ปัญหาริมฝีปากดำมาบอกกันคะ

มาดูสาเหตุกันก่อน ริมฝีปากดำเกิดจากหลยสาเหตุ เช่น พันธุกรรม การสูบบุหรี่ นิสัยการกัดริมฝีปาก นิสัยชอบเลียริมฝีปาก หรือการแพ้สารเคมีต่างๆ เช่นพวกลิปสติก ครีมบำรุงริมฝีปาก หรือแม้แต่ยาสีฟัน

ปัญหาริมฝีปากดำจึงอาจเกิดจากสาเหตุเดียวหรือมาจากหลายๆ สาเหตุประกอบกันก็ได้ ส่วนการจะรักษาก็ต้องพิจารณาจากสาเหตุเป็นหลักค่ะอย่างง่ายที่สุดก็คือ การหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นสาเหตุ เป็นต้นว่า ถ้าเกิดจากการทำพฤติกรรมซ้ำๆ เช่น สูบบุหรี่ทุกวัน หรือชอบกัดริมฝีปากตัวเองตลอดเวลา ก็ให้พยายามละ เลิก พฤติกรรมนั้นๆ เสีย หรือถ้าเกิดจากการแพ้สารสัมผัส เช่น แพ้สารบางอย่างในลิปสติก ดินสอเขียนตัดขอบปาก หรือขี้ผึ้งทาปากบางชนิดก็ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไปเลยหรือบางท่านที่แพ้อาหารหรือยาบางชนิดก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือยาดังกล่าว

หากสามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆ ได้ โอกาสที่ริมฝีปากจะลดความดำลงก็เป็นไปได้ในระดับหนึ่งทีเดียวเพราะโดยธรรมชาติร่างกายจะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทำให้ริมฝีปากที่เคยดำเปลี่ยนกลับเป็นสีเดิม อย่างไรก็ตามวิธีข้างต้นอาจช่วยลดรอยดำได้เพียงบางส่วนถ้าอยากให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้นคงต้องใช้ยาทาหรือยารับประทานมาช่วยเสริมอีกทางหนึ่งค่ะ

ส่วนผู้ที่มีริมฝีปากดำจากพันธุกรรมหรือเกิดจากการสูบบุหรี่แล้วรักษาด้วยวิธีอื่นไม่เป็นผลเห็นจะต้องพึ่ง เทคโนโลยีเลเซอร์มาช่วยในการแก้ปัญหา วิธีนี้มีหลักการคือ การใช้แสงเลเซอร์ไปทำลายเม็ดสีผิว ให้การทำงานของเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีอ่อนแอลง

ในการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ แพทย์จะใช้ยาชาชนิดครีมทาบริเวณริมฝีปากก่อนโดยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง เวลาที่ทำจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ การรักษาด้วยแสงเลเซอร์แต่ละครั้งใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังทำจะรู้สึกร้อนเล็กน้อย จำนวนครั้งในการรักษาขึ้นกับความเข้มของสีผิวที่ริมฝีปากแต่ส่วนใหญ่เฉลี่ยราว 2-3 ครั้ง
ภายหลังทำเลเซอร์ ในช่วง 7 วันแรก ให้หลีกเลี่ยงการใช้ลิปสติกหรือขี้ผึ้งทุกชนิดยกเว้นยาทาที่แพทย์สั่ง นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ยาสีฟันที่มีรสเข้มข้นหรือรสเผ็ดจัด และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาที่สำคัญอีกประการก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำอีกด้วย

ผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากดำไม่ควรลองผิดลองถูกหรือหาซื้อยามาทาเองโดยเฉพาะยาที่มีขายดาษดื่นตามท้องตลาด เพราะอาจเกิดผลเสียในระยะยาว ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุพบแล้วก็จะได้ทำการรักษาในแนวทางที่ถูกต้อง ส่วนจะเป็นวิธีใดแนวทางไหนคงต้องขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา

 

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

ข้อมูลจาก: หนังสือพิมพสยามรัฐ

แตงกวานับเป็นอาหารผิวชั้นดีที่บางคนยังไม่รู้ !!!

เพราะแตงกวาอุดมไปด้วย วิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม แตงกวาจึงทำให้ผิวกระจ่างใส เส้นผมเป็นมันเงา เล็บแข็งแรง และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แตงกวามีคุณสมบัติลดการอักเสบและคืนความชุ่มชื่น

ให้ผิวอีกด้วย เพื่อสุขภาพผิวที่ดีควรรับประทานแตงกวากันทุกวันนะค่ะ

วันนี้ The Face มีสูตรกระชับรูขุมขนด้วยแตงกวามาฝากกันค่ะ

1.นำแตงกวาครึ่งลูก ถั่วเฮเซลนัท 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแร่ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในเครื่องปั่นอาหาร
2.นำส่วนผสมที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางคั้นเอาแต่น้ำ ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก

ไม่ยากใช่ไม๋ค่ะ สำหรับผิวชุ่มชื่น ที่สามารถทำได้เอง ^ ^

 

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

คุณเคยได้ยินประโยคทำนองนี้บ้างไหมคะ

อวบระยะสุดท้าย
เห็นหน้าแล้วอยากกินข้าวขาหมู
ขอยืมห่วงยาง ไปว่ายน้ำหน่อยได้มะ
ไม่อ้วนเอาไรคะ

ฟังแล้วอย่าเครียดค่ะ เพราะตอนนี้เรามีวิธีช่วยคุณได้ ^^

ก่อนอื่น เรามาดูสาเหตุของการเกิดเซลลูไลท์กันก่อน

ตามปกติเซลล์ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกประคองด้วยเซลล์ร่างแหบางๆ (คล้ายตาข่าย) ที่เรียกว่า “เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน” ทำหน้าที่ยึดระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ กั้นกลุ่มไขมันไว้เป็นช่องๆ แต่เมื่อเกิดเซลลูไลท์ เซลล์ไขมันในช่องพวกนี้จะขยายขึ้น ในขณะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันไม่ขยายตาม ทำให้เบียดทั้งทางเดินน้ำเหลืองและระบบหมุนเวียนหลอดเลือดเล็กๆ ใต้ผิวหนัง จนการไหลเวียนของระบบเลือดบริเวณนั้นลดประสิทธิภาพลง เกิดการคั่งของน้ำเหลืองเป็นพังผืดดึงผิวด้านบนให้ย่นลงมาเป็นรอยบุ๋มเป็นช่วงๆ จึงเป็นที่มาของการเรียกเซลลูไลท์ว่า “ผิวเปลือกส้ม”

นอกจากเซลลูไลท์จะสร้างปัญหาด้านความงาม รบกวนจิตใจของคุณผู้หญิงแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคจากการที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไปด้วย เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และหากการไหลเวียนของน้ำเหลืองมีประสิทธิภาพลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการไหลเวียนของเส้นเลือดดำ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดและเท้าบวมตามมา ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ ของผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มักเริ่มมีเซลลูไลท์และเมื่ออายุมากกว่า 50 จะมีผิวเซลลูไลท์ให้เห็นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพันธุกรรม เชื้อชาติเผ่าพันธุ์

เซลลูไลท์แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

1. Hard Cellulite: พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อายุน้อย (20-40 ปี) และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะที่พบ คือ เมื่อบีบตามร่างกายจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ พบบ่อยบริเวณสะโพก และบั้นท้าย
2. Flaccid Cellulite: พบได้ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว พบบ่อยบริเวณท้องแขน คาง รอบเอว และหน้าท้อง
Edematous Cellulite: เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้ลักษณะเหมือนบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบบ่อยที่ต้นขา สะโพก พบว่าผิวหนังดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม
3. Mixed Cellulite: พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งในหนึ่งคนอาจพบเซลลูไลท์ทุกแบบ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

พัฒนาการของเซลลูไลท์

ระยะที่ 0: เป็นระยะที่เริ่มมีพังผืดเกิดขึ้น แต่ไม่มาก ไม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการยืน หรือการนอนจะไม่เห็นเป็นผิวเปลือกส้มแต่อย่างใด แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาจะปรากฏเป็นรอยบุ๋มเกิดขึ้น
ระยะที่ 1: ยังไม่สามารถเห็นรอยบุ๋มได้เช่นเดียวกับระยะที่ 0 แต่เมื่อทดลองหยิบเนื้อขึ้นมาพบว่ามีรอยบุ๋มเพิ่มมากขึ้น
ระยะที่ 2: สามารถเห็นรอยของเซลลูไลท์ได้ชัดเจนในขณะยืนโดยไม่จำเป็นต้องจับขึ้นมาดู แต่ในขณะนอนจะยังไม่สามารถเห็นได้
ระยะที่ 3: ไม่ว่าจะยืนหรือนอนจะสามารถเห็นเป็นผิวเปลือกส้มได้ทั้งหมด เป็นระยะที่รักษายากที่สุดเพราะเกิดการสะสมของเซลลูไลท์มาในระยะเวลานานมาก

ทั้งนี้ ระยะการก่อตัวของเซลลูไลท์จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละบุคคล ประกอบกับการกินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรท ไขมัน และน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นต้น

คราวนี้เรามาดูวิธีกำจัดเจ้าเซลลูไลท์กันค่ะ

แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่มีวิธีขจัดเซลลูไลท์ที่ได้ผล 100% แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยสลายเซลลูไลท์ ซึ่งวธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่…

เมโซเธอราปี (Mesotherapy)

สลายไขมันเฉพาะส่วนด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังชั้นเมโซเดิร์ม (Mesoderm) ทำให้กระบวนการเกิดไขมันถูกขัดขวาง ทำให้ไขมันสลายตัวในที่สุด ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 8 – 10 ครั้ง

คาร์บ็อกซี เธอราปี (Carboxy Therapy, Carbondioxide Therapy)

สลายไขมันเฉพาะส่วน ด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อสลายเซลลูไลท์ และไขมันทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมันมากขึ้น และสลายเซลลูไลท์สลายตัวไปในที่สุด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและไขมันของผู้ต้องการลดเซลลูไลท์เป็นสำคัญ โดยเฉลี่ย ไม่เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์

การนวดแบบเอนเดอร์โมโลยี (Endermologie)

การนวดกำจัดเซลลูไลท์เฉพาะส่วน ด้วยเครื่องสูญญากาศ โดยส่วนหัวของเครื่องจะมีท่อสุญญากาศอยู่ตรงกลางและด้านข้างเป็นลูกกลิ้งคู่ขนาน เม

ใหม่ “ไหมสปริง” หรือ Spring Lifting

หลายท่านคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วนะค่ะ ไหมสปริงถือเป็นไหมตัวใหม่ล่าสุด ที่ผ่านอย. เรียบร้อยแล้วค่ะ เส้นใหมมีขนาดใหญ่ขึ้น ที่พิเศษคือมีลักษณะเป็นเกลียวกลมอยู่รอบเส้นไหม ตลอดเส้นคล้ายลักษณะของคอลลาเจน ดังนั้นการร้อยไหมสปริงนอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่แล้ว ก็ยังเชื่อกันว่าลักษณะเกลียวกลมที่อยู่รอบๆ เส้นไหมจะช่วยเกาะเกี่ยวกับเนื้อเยื่อของผิวได้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น และสามารถต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงได้ดีขึ้น ผลของการร้อยจะอยู่ได้นานมากขึ้นกว่าไหมละลายปกติ

ชนิดของไหมที่นิยมในปัจจุบันมีดังนี้

-ไหมฟันปลา(Aptos threads) เป็นไหมไม่ละลายมีรอยฟันปลาตลอดเส้นเพื่อเกี่ยวกับผิวหนัง วิธีทำต้องใช้เข็มเบอร์ใหญ่ในการร้อย ทำให้มีอาการบาดเจ็บและรอยฟกช้ำมาก จึงไม่เป็นที่นิยม
-ไหมทองคำ (Goldthread) เป็นโลหะที่ไม่ละลาย ดังนั้นเส้นไหมทองคำก็จะอยู่ในผิวไปตลอด หลังการรักษาควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อน เช่น เลเซอร์ หรือ การทำทรีทเม้นต์ที่มีความร้อน เนื่องจากอาจทำให้เส้นไหมทองคำขาดได้
-ไหมละลาย (PDO) เป็นไหมที่ใช้ทั่วไปในวงการแพทย์ ไม่มีปฏิกิริยาแพ้ใดๆ โดยไหมจะค่อยๆละลายไปภายใน 6เดือน ข้อดีคือไม่เหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก ข้อเสียคือผลการรักษาจะอยู่ได้ 2-3 ปี หลังจากนั้นต้องทำซ้ำ
-ไหมสปริง(Spiral threads) เป็นไหมตัวล่าสุดที่เพิ่งผ่าน อย. ไหมจะมีลักษณะเป็นเส้นยาวโดยตรงกลางเส้นไหมจะยืดหยุ่นคล้ายสปริง ข้อดีคือใช้ไหมจำนวนน้อย ตรงจุด ตัวไหมจะไม่ละลายเหมือนไหมทองคำ ดังนั้นผลการรักษาจะอยู่ได้นานกว่าไหม PDO

ทั้งนี้ต้องขอย้ำเหมือนเดิมค่ะ ว่าการตัดสินใจรักษาโดยวิธีใด ควรทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน และทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เท่านั้นค่ะ ^^
The Face Clinic : 02-7122334
The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

แค่นอน ก็ผอมได้ !!!

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่เรานอนหลับนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะพักตามไปด้วย การหายใจจะช้าลงอย่างสม่ำเสมอ มีการหลั่งฮอร์โมนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
โดยในปี 1994 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า เซลล์ไขมันในร่างกายเราสามารถหลั่งโปรตีนฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “ฮอร์โมนแลปติน” (Leptin) เจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะมีหน้าที่ส่งสัญญาณให้สมองระงับความอยากอาหาร พร้อมๆกับกระตุ้นการเผาผลาญในขณะที่เรานอนหลับ เพราะฉะนั้นหากเรานอนหลับอย่างมีคุณภาพ ก็จะยิ่งช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนนี้ได้ง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายลดความอยากอาหาร

รู้ได้อย่างไรว่าเรานอนแบบมีคุณภาพแล้ว??

ง่ายมากค่ะ เมื่อคุณได้นอนหลับพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ ไม่มาก หรือน้อยเกินไป เมื่อตื่นขึ้นมาคุณจะรู้สึกกระปรี่กระเปร่า สดชื่น แจ่มใส และอารมณ์ดี
แต่ในขณะเดียวกันการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ พักผ่อน ซึ่งอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น
1 มีเรื่องไม่สบายใจ เครียดกังวลจนทำให้สมองรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
2 เกิดลมในช่องท้องมากเกินไป ทำให้การไหลเวียนเลือดต่ำ และรวมถึงมีอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
3 ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep apnea) เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับมี อันตราย และทำให้เกิดความผิดปกติอื่นจน ถึงเสียชีวิตได้ พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้บ่อยครั้งในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคความดันเลือดสูงจะทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อย ในระหว่างนอนหลับ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพื่อหายใจ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้นอน
4 ภายในห้องอาจจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เสียงหยดน้ำ เสียงเครื่องปั๊มน้ำ เสียงแอร์ที่ดังเกินไป เสียงพัดลม เสียงเข็มนาฬิกาเดิน เป็นต้น เสียงเหล่านี้อาจจะแทรกเข้าไปในความรู้สึกและคลื่นสมองของเราระหว่างนอนได้ ทำให้รบกวนการนอน และนอนไม่เต็มอิ่ม
5 การออกกำลังกายเกินขอบเขต ที่ร่างกายจะรับได้เรียกว่า ” Over-training”เมื่อคนที่ออกกำลังกายมากเกินไปเมื่อตื่นเช้า จะมีอาการดังนี้ รู้สึกเหนื่อย และอ่อนล้า ปวดตามกล้ามเนื้อ เซื่องซึม และ ซึมเศร้าโดยไร้สาเหตุ ครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ แต่ไม่ได้เป็น รวมทั้งเกิดอาการกังวล โดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นเป็นเพราะร่างกายฟ้องว่า เราออกกำลังกายมากเกินไปร่างกายต้องการการพักผ่อนเพิ่มอีกค่ะ

เป็นไงค่ะ เป็นเคล็ดลับที่ทำได้ง่ายอย่างเหลือเชื่อเลยค่ะ ขอให้ทุกท่านนอนหลับอย่างมีคุณภาพทุกคืนนะค่ะ ^^
The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะคอลลาเจนยังทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกายไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นเนื้อเยื่อ เป็นอวัยวะ และร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ โดยปกติแล้วร่างกายคนเราสามารถสร้างคอลลาเจนได้เอง แต่เมื่ออายุมากขึ้น รวมทั้งปัจจัยสภาพมลภาวะต่างๆ ทำให้ร่างกายสร้างได้น้อยลง ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนยาน ซึ่งก็คือเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ประกอบกันเป็นผิวหนังขาดคอลลาเจน นั่นเอง

แล้วเราจะทำไงเพื่อรักษาเจ้าคอลลาเจนให้อยู่กับผิวเราไปนานๆ ??

1. ทาครีมกันแดด ทุกวัน ทำให้เป็นนิสัยเลยค่ะ ไม่ว่าจะออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้าน ทาไว้ก่อนเลยค่ะ
2. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชม. ต่อวัน
3. ทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่
4. ไม่ดื่มแอลกอฮอร์ ไม่สูบบุหรี่
5. ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ
6. ไม่เครียด

มีหลายคนถามต่อไปว่า แล้วเราเพิ่มคอลลาเจนเข้าไปเลยไม่ง่ายกว่าหรือ

อธิบายอย่างนี้ค่ะ คอลลาเจนเกิดจากการสร้างของร่างกายไม่ใช่การกิน การทาหรือการฉีดสารคอลลาเจนใดๆ
ข้อเท็จจริงประการแรกคือคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่เป็นสายยาว ไม่สามารถผ่านลงไปสู่ผิวหนังได้ง่ายดายเช่นนั้น ดังน้นการทาไม่มีทางเพิ่มคอลลาเจนได้
ข้อเท็จจริงประการที่สองคือการดูดซึมโปรตีนเข้าสู่ร่างกายจำเป็นต้องผ่านกระบวนการย่อยก่อน โปรตีนทุกชนิดจะถูกเอนไซม์หลายชนิดในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กย่อยสลาย จากโปรตีนที่เป็นสายยาวจะถูกเอนไซม์ย่อยเหลือเพียงหน่วยย่อยที่เล็กที่สุด คือ กรดอะมิโน แล้วร่างกายจึงดูดซึมกรดอะมิโนเพื่อนำไปประกอบกันขึ้นใหม่เป็นโปรตีนที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ คอลลาเจนเองก็ต้องถูกย่อยจนกลายเป็นกรดอะมิโน ไม่เหลือสภาพความเป็นคอลลาเจน ไม่แตกต่างจากโปรตีนชนิดอื่นๆ คอลลาเจนจึงไม่ได้ถูกดูดซึมไปทั้งเส้นแล้วตรงไปประกอบเข้าเป็นผิวหนังอย่างที่หลายคนเข้าใจข้อเท็จจริงประการสุดท้าย คอลลาเจนไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว เท่าที่ค้นพบในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 29 ชนิดแต่ละชนิดก็เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อแบบต่างๆ คอลลาเจนที่อยู่ในชั้นผิวหนังคือคอลลาเจนชนิดหนึ่ง นอกจากนี้คอลลาเจนของสัตว์แต่ละชนิดล้วนแตกต่างกัน สังเกตได้ง่ายๆ จากเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อปลา จะมีลักษณะและความยืดหยุ่นแตกต่างกัน ความแตกต่างของคอลลาเจนในสัตว์แต่ละชนิดจึงทำให้ ไม่สามารถนำคอลลาเจนจากสัตว์อื่นๆ มาทดแทนหรือรวมเป็นองค์ประกอบในโครงสร้างผิวหนังของคน

ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนไม่สามารถรับจากภายนอกได้ ไม่สามารถรับจากสัตว์อื่นๆ ได้ ก็มีเพียงร่างกายของเราเท่านั้นที่สามารถสร้างเองได้ ดังนั้นการบำรุงรักษากลไกของร่างกายที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจน ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นวิธีที่สามารถช่วยรักษาเจ้าคอลลาเจนไว้ได้

แต่ถ้าคอลลาเจนลดไปเยอะแล้ว ก็คงต้องพึ่งเลเซอร์และเทคโนโลยีกันค่ะปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่นการใช้คลื่น RF การร้อยไหมละลาย เป็นต้น ในแต่ละวิธีข้างต้นเหมือนเป็นการหลอกร่างกาย ให้ตื่นตัวและกระตุ้นตัวมันเองให้สร้างคอลลาเจนขึ้นมาเอง ทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นอย่างรวดเร็ว

คราวหน้าเราจะมาดูกันค่ะว่า เราสามารถหลอกร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนได้อย่างไร ^ ^
ทุกวิธีก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนการตัดสินใจใดๆ ค่ะ เราไม่มีทางฝืนธรรมชาติ ! …แค่ชะลอได้นะคะ !

 

Tel: 02-712 2334
The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว
ร้อยไหม ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพเพื่อความงามของคุณ
Call center : 02-7122334
LINE official : theface_aesthetic
Instragram : theface_aesthetic
Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

การปรับรูปหน้า
ปัจจุบัน มีการพูดถึงการปรับรูปหน้ากันมากมาย และหลายครั้งที่คุณอาจจะได้ยินคำว่า V-shape ตามมา แต่จริงๆ แล้วการปรับรูปหน้าให้เรียวเป็น V-shape อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะแต่ละคนจะมีโครงสร้างใบหน้าที่ต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น V-shape อาจจะไม่ได้ทำให้คุณดูสวยเสมอไป ความสวยก็มีสัดส่วนของมันอยู่ค่ะ

ปกติใบหน้าคนเราจะดูดีหรือไม่ ขึ้นกับสัดส่วนของเครื่องหน้า (ตา คิ้ว จมูก ปาก) และกรอบใบหน้า (หน้าผาก แก้ม คาง) ทั้งสองส่วนมีความสำคัญเท่าๆ กัน หลายๆ คนไปให้ความสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่า ทำให้เมื่อปรับรูปหน้าออกมาไม่สวยดังที่คาด และที่สำคัญสัดส่วนรูปหน้า ของผู้หญิงและผู้ชายก็แตกต่างกันออกไปด้วย การปรับรูปหน้าจึงต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยด้วยกัน

ก่อนอื่น การปรับรูปหน้าเราควรต้องมีการออกแบบเสียก่อน ตามทฤษฎี 3:5

ใบหน้าที่สวยงามต้องมีสัดส่วนตามแนวนอน เท่ากัน 3 ส่วนและต้องมีสัดส่วนตามแนวตั้งเท่ากัน 5 ส่วนดังรูป

ปรับรูปหน้า ต้องมีเทคนิค
ปรับรูปหน้า ต้องมีเทคนิค

คนไทยส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องสันจมูก กราม และหน้าผาก โดยสามารถแก้ปัญหาได้หลายอย่างเช่น ปรับลดกราม ลดไขมันบริเวณแก้ม ปรับองศาคิ้ว ปรับมุมปาก ปรับร่องแก้ม เติมความยาวของคาง เติมสันจมูก และช่วยยกกระชับผิว เติมหน้าผากให้ดูโหนก ยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึงขึ้น เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดสัดส่วนที่สมดุลของรูปหน้า และทำให้คุณดูสวยขึ้นนั่นเอง ซึ่งปัญหาดังกล่าว สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด หรือการเสริมซิลิโคน แต่เป็นการเติมสารฟิลเลอร์ และการทำ Toxin

บริเวณหน้าผากถึงปลายจมูก ควรมีลักษณะเป็น S curve ดังรูป

ปรับรูปหน้า ต้องมีเทคนิค
ปรับรูปหน้า ต้องมีเทคนิค

ปัจจุบันรูปหน้าที่สวยและเป็นที่นิยม คือใบหน้ารูปไข่ ถือว่าเป็นรูปหน้าที่สวยสมบูรณ์ ซึ่งถ้าใครมีรูปหน้าลักษณะนี้ก็ค่อนข้างได้เปรียบ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อคนเราอายุมากขึ้น ใบหน้าที่หย่อนคล้อย องศาของความงามก็ผิดเพี้ยนไป S Curve หายไป องศาเปลี่ยนไป สัดส่วนเปลี่ยนไป แม้จะเคยสวยในอดีต แต่เมื่ออายุมากขึ้น องศาความงามก็ผิดไป จึงอาจไม่ดูดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าสามารถปรับรูปหน้าให้ได้องศา และสัดส่วน ตามองศาความงามได้ ก็หมายถึงใบหน้าที่กลับมาดูดีอีกครั้ง

การจะปรับรูปหน้าให้ดูดี ไม่ใช่จะอาศัยแต่เรื่องของเครื่องมือหรือทฤษฎีเพียงอย่างเดียว

ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางการแพทย์ มีเทคโนโลยีมากมายที่สามารถปรับสัดส่วนองศาให้รูปหน้าได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ดังนั้นใครๆก็สามารถมีรูปหน้าอย่างที่ต้องการได้ไม่ยาก และไม่เสี่ยง ไม่ว่าจะปรับกรอบหน้าให้เรียวเล็ก จมูกโด่ง ตาจิก หรือปากกระจับ อายุที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

การปรับรูปหน้าที่สมบูรณ์อาจต้องใช้เทคโนโลยีการยกกระชับอื่นๆ ร่วมด้วยซึ่ง เทคโนโลยีแต่ละตัว ก็จะเหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของแต่ละท่านแตกต่างกันไป จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมทำทรีทเม้นต์ตัวเดียวกัน ผลลัพธ์จะต่างกัน เช่นผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่มาก การใช้คลื่น RF ในช่วงคลื่นสั้นๆ ก็สามารถทำให้ผิวดูเฟิร์ม ดูกระชับขึ้นได้แล้ว ในบางกรณีที่เครื่องมือทันสมัยมากก็จริงแต่ ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ชั้นคอลลาเจนได้ อาจจะเป็นเพราะองค์ประกอบของใบหน้าที่มีคอลลาเจนน้อยอยู่แล้ว ก็ต้องลงไปแก้ที่ชั้นลึกกว่านั้นร่วมด้วย เช่นการส่งคลื่นพลังงานลงไปยกกระชับกันที่ชั้นกล้ามเนื้อ SMAS เป็นต้น

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเรื่องยกกระชับจำเป็นต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เครื่องมือดีอย่างเดียวก็อาจจะไม่ใช่คำตอบ และทำให้คุณเสียเงินไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า

ดังนั้น ก่อนจะเลือกปรับรูปหน้าด้วยวิธีไหน ลองปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญก่อนก็จะดีค่ะ เพื่อจะได้ปรับรูปหน้า ได้ตรงตามความตั้งใจ แก้ปัญหาได้ถูกจุด และไม่เปลืองงบประมาณ

สำหรับการร้อยไหม เริ่มต้นที่ 8,000 บาท ขึ้นกับปัญหาผิวของแต่ละท่าน

The Face Clinic : 02-7122334

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง :

ไขความจริง เรื่องร้อยไหม

ร้อยไหม 4D

ร้อยไหมสปริง

ร้อยไหม Turbo Lift

The Face Aesthetic คลินิกเวชกรรมความงาม ปรับรูปหน้าเรียว เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์ผิวขาว

 

Call center : 02-7122334

LINE official : @thefaceaesthetic1

Instragram : theface_aesthetic

Facebook : https://www.facebook.com/thefaceclinic

นั่งนานๆ … อาจเสียชีวิตได้ !!!

ผลวิจัยล่าสุดจากอังกฤษชี้ว่า การนั่งนานๆ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ หรือขั้นเลวร้ายที่สุด อาจทำให้เสียชีวิตได้ แม้ว่า คนๆนั้น จะออกกำลังกายเป็นประจำก็ตาม

ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ พบว่าคนเราใช้เวลาในช่วงตื่นนอน15 ชั่วโมง หมดไปกับการนั่งไม่ว่าจะเป็นการนั่งดูทีวี นั่งทำงาน และนั่งอยู่ในรถ รวมกันถึง 14 ชั่วโมง เหลือเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นที่ไม่ได้นั่ง ที่สำคัญคือยิ่งโตขึ้นเรายิ่งนั่งมากขึ้น ในวัยเด็กใช้เวลานั่ง 44% วัยผู้ใหญ่จะนั่งเพิ่มเป็น 55% และเมื่อเข้าสู่วัยชราจะนั่งนานถึง 65%

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ และ ลาฟโบโรห์ ยังพบอีกว่าการนั่งนานๆ อาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และขั้นเลวร้ายสุด อาจทำให้เสียชีวิต แม้ว่าคนๆนั้น จะเป็นผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็ตาม

ขณะที่ ผู้ที่นั่งนานๆ แต่อาศัยเวลาในช่วงเช้าหรือเย็นออกกำลังกาย อาจจะได้เปรียบคนที่ไม่ออกกำลังกาย เพราะคนกลุ่มนี้ จะมีสุขภาพที่ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามพบว่าก็ยังคงมีความเสี่ยง ที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคระบบไหลเวียนโลหิต โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน และล่าสุดโรคECS (Economy Class Syndrome) ซึ่งเกิดกับผู้ที่ต้องนั่งโดยสารเครื่องบินเป็นเวลานานๆ เป็นประจำ

-โรคหัวใจ

นักวิจัยทางการแพทย์สหรัฐยังพบว่าการนั่งทำงานรวดเดียวเป็นเวลานานหลาย ชั่วโมงเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ถึงแม้จะออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้หญิงที่นั่งเกินวันละ 6 ช.ม.เสี่ยงกว่าผู้หญิงที่นั่งวันละ 3 ช.ม. ถึง 37% ส่วนผู้ชายที่นั่งนานเกินวันละ 6 ช.ม.เสี่ยงมากกว่าผู้ชายที่นั่งวันละ 3 ช.ม. ถึง 18%

-โรคระบบหลอดเลือด

ผู้โดยสารบนเครื่องบินที่ต้องบินเป็นระยะเวลานานนับสิบชั่วโมงโดยไม่ค่อยได้ เคลื่อนไหวร่างกาย หรือคนขับรถเป็นเวลานานก็เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูง เพราะเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึกได้ง่าย

-โรคทางระบบเมตาโบลิก

หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือโรคระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายช้าลง เป็นสาเหตุให้เกิดโรคน้ำหนักเกินอ้วนลงพุง โรคเบาหวานชนิดที่สอง ระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง 20% เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้สูง ตลอดจนโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคทางกระดูก และกล้ามเนื้อ

อย่างไรก็ดีในปัจจุบันเราอาจหลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ ไม่ได้เพราะฉะนั้นถ้าจำเป็นต้องนั่งนานๆ แล้วท่านั่งที่ถูกต้องจึงสำคัญมากเช่นกัน (ลองดูตามรูปเลยค่ะ)

นั่งนาน อาจเสียชีวิตได้
นั่งนาน อาจเสียชีวิตได้

… แนะนำว่าควรออกกำลังกายต่อเนื่อง โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ได้ทุกวันประมาณวันละ 30-60 นาที เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และโรคอื่นๆ และที่สำคัญควรลดเวลาการนั่งนานๆ ด้วยการเปลี่ยนท่า หรือเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง โดยทุก 1 ช.ม. ควรลุกมาเดินเล่น หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ บ้าง เช่นเดินขึ้นลงบันได 1-2 ชั้น

ไม่ยากเกินไปสำหรับสุขภาพที่ดีใช่ไม๋คะ ลองทำดูนะค่ะ ^ ^

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก thaihealth.or.th

และ www.economyclasssyndrome.com

มีหลายท่านเข้ามาปรึกษาหมอเรื่องการรักษาสิว รอยแดง และแผลเป็นของหลุมสิว คนไข้ส่วนมากจะใจร้อนค่ะ อยากรักษาทีเดียวทั้งหมดทุกปัญหา … หมอมักจะอธิบายเสมอว่าต้องรักษาทีละปัญหา ไม่สามารถรักษาทีเดียวทุกอย่างพร้อมๆ กันได้ค่ะ

ก่อนอื่นคือต้องรักษาสิวให้หายก่อน และเรื่องรอยแดงตามมาเป็นอันดับที่สอง ซึ่งทั้ง 2 ปัญหานี้ไม่ต้องกังวลนะค่ะ รักษาง่ายมาก และผลค่อนข้างเกือบ 100% เมื่อปัญหาสิว กับรอยแดงหายแล้ว เราจะมาดูแลเรื่องแผลเป็นหรือหลุมสิวกันค่ะ ซึ่งตัวนี้จะเป็นตัวที่น่าจะกังวลมากที่สุด โดยเฉพาะรอยที่เป็นมานานแล้ว อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา และอาจจะไม่สามารถรักษาได้ 100% แล้วแต่ปัญหาและระยะเวลาที่เป็นค่ะ

ขออธิบายเจาะลึกเรื่องการรักษาแผลเป็นนะคะ

สำหรับการรักษาแผลเป็นจากสิว ต้องดูที่ปัญหาก่อนว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ถ้าปัญหาไม่รุนแรง อาจจะทำทรีทเม้ต์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยพลังงาน RF ต่ำๆ หรือการจี้ด้วยกรดก็สามารถรักษาได้แล้ว แต่วิธีจี้กรดต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้ทำอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นตามมาได้ ง่ายๆ เลยคะ

สำหรับปัญหาที่ค่อนข้างเยอะอาจจะต้องใช้การรักษาที่เฉพาะ เจาะจงมากขึ้น เช่น กรอผิว(microdermabrasion) การเลาะพังผืดหลุมสิว(subcision) เหมาะสำหรับหลุมสิวลึกๆ กว้างๆ และเป็นแผลเป็นที่เป็นมานานแล้ว หรือถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น การรักษาด้วย laser resurfacing ก็เป็นอีกทางเลือกที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยการรักษาด้วย laser resurfacing ถือเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยทึ่สุด เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ค่ะ

หลักการคร่าวๆ ของ laser resurfacing คือการยิงลงไปที่ผิวหนังเพื่อให้ผิวเกิดแผลเล็กๆ แล้วร่างกายก็จะพยายามรักษาตัวเองโดยการสร้างผิวขึ้นมาใหม่ ทำให้รอยหลุม หรือรอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น และเนียนเรียบกับผิวปกติในที่สุด ซึ่งการรักษาวิธีนี้ ยังมีผลพลอยได้คือสามารถทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ (fine line) หายไป ทำให้ผิวกระชับขึ้นค่ะ

สำหรับ Laser resurfacing ก็จะมีหลากหลายตัวด้วยกัน แต่ที่คุ้นหู และเป็นที่นิยมจะมีอยู่ประมาณ 3-4 ตัวดังนี้คะ
– Fractional Co2 laser
– Fraxel
– Finescan

– E-matrix

เรามาเปรียบเทียบกันทีละตัวเลยคะ

ตัวแรกคือ Co2 เป็นตัวแรกๆ ที่นิยมในเรื่องการรักษาหลุมสิว ตัวนี้จะเป็นการยิงทั่วหน้าโดยแสงเลเซอร์จะลงใต้ผิวได้ไม่ลึกมาก ข้อดีคือทำแล้วจะรู้สึกว่าผิวเนียน รูขุมขนแคบลง แต่ถ้าในแง่ของหลุมสิวลึกๆ แล้วช่วยไม่ได้มากนัก แต่ข้อเสียคือหลังการรักษาผิวจะเป็นรอยคล้ายตารางทั่วใบหน้า ใช้เวลา downtime ประมาณ 5-7 วัน และข้อเสียอีกตัวหนึ่งคือ ผิวของคนเอเชีย ถ้าเป็นคนผิวคล้ำจะเกิด PIH (postinflammatory hyperpigmentation) หรือ สำหรับเรื่องรอยดำหลังจากการรักษาตามมาได้ง่าย จึงเลิกนิยมกันไป

ต่อมาจึงมีการพัฒนาให้แสงเลเซอร์ ออกเป็นจุดๆเล็กๆทั่วๆหน้า(fractional) หลังการรักษาแผลจะเล็กมาก คนไข้ชอบมากขึ้น รักษาตัวง่ายขึ้น แต่ก็ต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อได้ผลที่น่าพอใจ เลเซอร์ตัวนี้สามารถลงได้ลึกกว่าตัวแรกค่ะ แต่ก็ยังคงเป็น fractional ablative เช่นกัน คือเมื่อยิงแล้วจะทำให้เกิดแผล โดยจะมีสะเก็ตดำๆ ทั่วใบหน้า ซึ่งเวลา downtime ประมาณ 5-7 วัน เช่นกัน

เพื่อตัดปัญหา downtime ที่ค่อนข้างนาน และรอยตารางที่ผิวหลังการรักษาซึ่งเห็นชัดเจน จึงมีการพัฒนาเป็นเครื่อง Non-ablative fractional resurfacing นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจาก downtime ลดลงเหลือประมาณ 2-3 วัน และรอยแดงหลังการรักษาก็ไม่ชัดเจนเหมือน 2 ตัวแรก คือจะเป็นรอยแดงทั่วๆ ใบหน้าหรือบริเวณที่รักษา และหลังจากนั้นจะรู้สึกสากๆ ที่ผิวเท่านั้น ไม่เป็นสะเก็ตเหมือน 2 ตัวแรกคะ สำหรับเลเซอร์ในกลุ่มนี้มีหลายยี่ห้อในปัจจุบัน เช่น Fraxel, Fincescan 1550, Sellas 1550 ซึ่งแต่ละตัวเห็นผลแทบจะไม่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าคลินิกไหนชอบแบบไหน คุณหมอถนัดแบบไหนมากกว่า

นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องมืออีก 1 ตัวในกลุ่มของการรักษาหลุมสิว คือ E-Metrix (Fractional Radiofrequency (RF)) แต่ตัวนี้จะใช้หลักการที่ต่างกันไป คือ แทนที่จะใช้แสงเลเซอร์ ก็เปลียนมาใช้เป็นพลังงานคลื่นวิทยุแทน โดยเชื่อว่าคลื่น RF จะสามารถช่วยเรื่องการยกกระชับไปพร้อมๆ กันได้ด้วย แต่จากผลการวิจัยพบว่า ไม่ได้ช่วยเรื่องการยกกระชับมากนัก ถ้าคนไข้กังวลเรื่องริ้วรอย น่าจะใช้เครื่องมือที่รักษาริ้วรอยโดยตรงไปเลยจะดีกว่า และสำหรับผลลัพธ์การรักษา เมื่อเทียบกับ Fraxel, Finescan 1550, Sellas 1550 ก็ใกล้เคียงกันมากจนไม่สามารถบอกความแตกต่างได้ค่ะ

รักษาหลุมสิว วิธีไหนเห็นผลสุด??
รักษาหลุมสิว วิธีไหนเห็นผลสุด??

รูปนี้เปรียบเทียบผลของ ablative กับ non-ablative

รูปซ้ายสุดนี้เป็นการการรักษาแบบแรก คือ Co2 จะเห็นว่าเลเซอร์จะไม่ลงลึก ทำงานแค่ผิวชั้นบนๆ เท่านั้น และทำลายผิวรอบข้างที่โดนยิงไปด้วยทั้งหมด สำหรับรูปด้านขวาอีก 3 รูปจะเป็นการรักษาแบบ fractional คะ

รูปที่สอง เป็น fractional ablative คือจะไม่กวาดหน้าผิวทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานในชั้นผิวที่ลึกอยู่ดีค่ะ

รูปที่สาม เป็น fractional non-ablative ที่เราใช้กันมากในปัจจุบัน ตัวนี้จะส่งพลังงานลงลึกกว่า และไม่เป็นแผลขั้นทำลายล้าง แต่จะเพียงแค่ไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และสร้างผิวใหม่

โดยสรุปก็อาจจะพูดได้ว่า วิธีการต่างๆ ก็จะมีผลดี ผลเสียต่างกันค่ะ แต่หมอมั่นใจว่า ถ้าอยู่ในมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงแล้ว การรักษาในเกือบทุกวิธี จะสามารถแก้ปัญหาให้คุณได้แน่นอนค่ะ ^^

วันนี้อยากจะมานำเสนอเครื่องดื่มที่เพิ่มความสวยกันค่ะ ^ ^

หลายท่านคงเคยได้ยินใช่หรือไม่คะ ว่าการดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากถึงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกันคนที่ไม่ดื่ม และก็คงได้ยินมาบ้างว่า การดื่มไวน์แดงวันละแก้ว ช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเครื่องดื่มยอดฮิตที่หลายคนอาจจะดื่มอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว …. โกโก้นั่นเองค่ะ

ในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช๊อคโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ สามารถช่วยให้อายุยืนขึ้นเนื่องจจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล polyphenolic flavonoids สำหรับ คนอายุต่ำกว่า 50 ปี แล้วนั้น สาร polyphenolic flavonoids ช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับของไขมันเลว เพิ่มระดับไขมันดี โดยนอกจากโกโก้แล้ว แอปเปิ้ลแดง บลูเบอรี่ และชาเขียว ก็มีโพลีฟีนอลเช่นกัน แต่ในงานวิจัย ยังไม่มีการระบุถึงปริมาณ ที่แนะนำในการบริโภคต่อวัน ซึ่งประโยชน์ของโกโก้นั้น จะขึ้นอยู่กับ กระบวนการผลิตโกโก้ ช๊อคโกแลตหรือโกโก้ แต่ละชนิดด้วยคะ

ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะจากมหาวิทยาลัย คอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

แม้ว่าโกโก้จะถูกนำมาทำเป็นอาหารหลายอย่าง เช่นช๊อคโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่า ทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช๊อคโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมันปริมาณมาก โดยช๊อคโกแลต ขนาด 40 กรัม อาจมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ 0.3 กรัม เท่านั้น

ดื่มแล้วสวยยย

ศาสตราจารย์เอียน แมคโดนัลด์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งนอตติงแฮมในประเทศอังกฤษได้นำเสนอผลการทดสอบต่อที่ประชุมว่า “ในบรรดาผู้หญิงที่ให้ดื่มเครื่องดื่มประเภทโกโก้ที่มีสารฟลาวานอลส์สูง มีการไหลเวียนโลหิตในสมองดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้ดื่ม”

เป็นไงค่ะ วันนี้คุณ คุณดื่ม โกโก้กันแล้วหรือยัง ??

ไม่น่าเชื่อว่าคนอายุ 25-35 ปี เป็นวัยที่เริ่มแก่แล้วทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นวัยรุ่นมาได้ไม่นาน แถมบางคนเริ่มแก่เร็วตั้งแต่อายุประมาณ 20 ด้วยซ้ำ

ความแก่ที่หมายถึงคือความแก่ระดับเซลล์ที่จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อายุประมาณ 25 ปี การตรวจร่างกายแบบทั่วไปจึงมักไม่พบความผิดปกติใด เพราะความแก่ยังอยู่ในระดับเซลล์เล็กๆ เกินกว่าจะสามารถถสังเกตเห็นได้ แต่การตรวจในระดับของอายุรวัฒน์สามารถบอกสัญญาณเริ่มต้นบางอย่างได้ เช่น จากปริมาณเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่เริ่มลดน้อยลง

ความแก่จะแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดก็ล่วงเลยไป 30ปี ดังนั้นช่วงอายุ 20-30 จึงมักเป็นวัยที่เราทำร้ายสุขภาพ อย่างไม่รู้ตัว จากริ้วรอยที่เกิดเฉพาะตอนแสดงสีหน้า จะเริ่มเปลี่ยนเป็นตลอดเวลา คนผิวแห้งมาก ริ้วรอยจะมาเร็วกว่า

พออายุ 40 ถือว่าวัยนี้เป็นวัยแห่งการเปลี่ยนแปลง จากริ้วจะเปลี่ยนเป็นร่องลึก ตอนนี้แก้ยากมาค่ะ บอกเลยว่าการทาครีมไม่ได้ช่วย แต่ถ้าเราปฏิบัติตัวดีไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือบริหารสุขภาพจิตใจได้ดี ไม่เครียดก็จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่กระบวนการแก่ช้าลง แทนที่จะเริ่มแก่ตั้งแต่อายุ 35 ปี อาจจะสามารถชะลอด้วยตัวคุณเองไปได้ถึงราว 40 ปี ในวัยนี้ความแก่จะเห็นชัดเจนขึ้น และรู้สึกว่าร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่า

อายุ 45 ปีขึ้นไป วัยนี้ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพบกับความแก่อย่างชัดเจน สิ่งที่บอกคือความหย่อนคล้อยตามแนวขากรรไกร คนผิวคล้ำอาจได้เปรียบกว่ากคนผิวขาว และผิวแห้ง เพราะแก่ช้ากว่า แต่อย่างไรก็ตามเมื่อความแข็งแรงของผิวลดลง 2 ส่วนที่ฟ้องอายุเสมอคือ คอและหลังมือ ดูแลใบหน้าแล้วอย่าลืมดูสอง ส่วนนี้ด้วยค่ะ

แม้ว่าความแก่จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะชะลอมันออกไปได้ โดยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยมากมายในปัจจุบัน อย่ารอจนความแก่มาเยือนนะค่ะ

สเต็มเซลล์ เป็นชื่อสร้างปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ให้ความหวังว่าจะสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค มันเป็นชื่อของสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุคใหม่ ไม่แปลกที่ไม่นานต่อมา สเต็มเซลล์จะกลายเป็นเชื่อของสิ่งวิเศษที่สามารถเสริมความงาม กระชากวัย จนมีข่าวว่า ดาราหลายคนบินรัดฟ้าไปฉีดสเต็มเซลล์ที่ดึงเอาความเยาว์วัยกลับมากันหลายคน

สเต็มเซลล์ในปัจจุบัน

สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดเป็นชื่อที่สั่นสะท้านวงการแพทย์ ด้วยความหวังที่ว่ามนุษย์จะนำไปรักษาโรคที่รักษาไม่ได้หลายชนิด เพราะโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ที่รักษาไม่ได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เซลล์ของเนื้อเยื่อมนุษย์บางชนิดเมื่อตายไปแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างใหม่ได้ เช่น สมอง หัวใจ ดังนั้นการค้นพบสเต็มเซลล์จึงเป็นเสมือนการค้นพบแหล่งสร้างเซลล์ชนิดที่ต้องการเพื่อนำไปพัฒนาเป็นการรักษาต่อไป

สเต็มเซลล์ รักษาโรคได้ทุกโรคเลยเหรอ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมางานวิจัยทางด้านสเต็มเซลล์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาก ทำให้เกิดความหวังกับนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่จะหาแนวทางรักษาโรคที่ในอดีตคิดกันว่า ไม่มีทางรักษาได้แน่นอน

ผศ.ดร.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เห็นถึงความเป็นไปได้ของความฝันที่จะมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในทางการแพทย์อย่างกว้างขวางในอนาคต แต่อย่างไรก็ดียังมีสิ่งที่บุคคลทั่วไปเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ปัจจุบันโรคที่ใช้สเต็มเซลล์รักษาได้จริงยังมีจำกัดไม่กี่โรค ถึงนำไปสร้างเซลล์ที่ต้องการได้ในหลอดทดลองก็ไม่ใช่ว่าฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วจะเกิดประโยชน์ ในทางตรงข้ามกันการนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสมก็ทำให้เกิดอันตรายได้ ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ยังต้องศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์จริงและลดอันตรายต่อผู้ป่วย ที่แน่ๆคือยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะสามารถรักษาโรคได้ทุกโรคตามที่หลายคนในสังคมเข้าใจ

เพราะสเต็มเซลล์นั้นจริงๆแล้วมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน นำไปใช้สร้างเซลล์ของเนื้อเยื่อคนละชนิด มีประโยชน์และโทษแตกต่างกันเมื่อนำไปปลูกถ่ายตัวอย่างง่ายๆคือ สเต็มเซลล์ของเลือด ก็สร้างเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง สเต็มเซลล์ของสมองก็สร้างเฉพาะเซลล์ประสาท และเซลล์เยื่อหุ้มประสาทเป็นต้น ส่วนสเต็มเซลล์ที่สร้างเซลล์ร่างกายได้ทุกชนิดมีเพียง สเต็มเซลล์ตัวอ่อน (human embryonic stem cells) ซึ่งยังต้องวิจัยพัฒนาอีก 5-10 ปี ก่อนคนไข้ทั่วไปจะมีโอกาสได้ใช้

สเต็มเซลล์รักษาอะไรได้บ้าง

หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด เผยว่าการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคอย่างมีมาตรฐานนั้นในประเทศไทยนับเพียง สเต็มเซลล์เลือด(จากไขกระดูก หรือสายสะดือทารก)สำหรับโรคเลือดเท่านั้น ในต่างประเทศบางแห่งการเพาะและปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ผิวหนังและกระจกตา เป็นการรักษามาตรฐาน แต่เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงมาก ทำให้ในทางปฏิบัติมีการใช้ในยุโรปบางประเทศเท่านั้น โรงเรียนแพทย์ของไทยมีการพัฒนาเทคนิคดังกล่าวแต่ยังเป็นโครงการวิจัยไม่ใช่การรักษามาตรฐาน

แต่ความก้าวหน้าในการวิจัยสเต็มเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดกับงานวิจัยที่คว้ารางวัลโนเบลของศ.ชินยะ ยามานากะ ค้นพบวิธีการการนำเซลล์ชนิดใดก็ได้ในร่างกายมนุษย์มาทำให้กลายเป็นเซลล์ไอพีเอส iPS technology (Induced Pluripotent Stem cell) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนสเต็มเซลล์ตัวอ่อน ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ใดก็ได้ในร่างกาย เนื่องจากเป็นเซลล์ของตัวผู้ป่วยเองจึงมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาการรักษาใหม่ ที่น่าจะสามารถใช้เป็นการรักษาแบบมาตรฐานได้ในเร็วๆ นี้

 

STEM CELL .. สวยหรือเสี่ยง มาดูกัน !!

แล้วเรื่องผิวพรรณ ความงามหละ

จากกระแสข่าว ที่พบว่า มีดาราพากันไปฉีดสเต็มเซลล์เพื่อหวังผลด้านความสวยความงาม ตั้งแต่การฉีดสเต็มเซลล์จากแกะในราคา 6-7 หลักเลยทีเดียว และถึงแม้ราคาสูงขนาดนี้ ก็ยังมีผู้สนใจจำนวนมาก และแถมต้องบินไปฉีดกันถึงเยอรมนี

แต่การใช้สเต็มเซลล์ในความเข้าใจที่ผิดนั้นมีอยู่มากมาย อย่างการฉีดสเต็มเซลล์ ที่เป็นเซลล์สดของสัตว์เพื่อใช้ในด้านความงามนั้น หัวหน้าศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด เผยว่า นอกจากจะมีวิธีการที่ยุ่งยาก ต้อง match cell ต้องตรวจร่างกาย ต้องตรวจเลือด และจริงๆ แล้วการฉีดเซลล์ของสัตว์เข้ามาในร่างกายนั้นอาจไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะปัจจุบันก็ยังไม่มีสถาบันใดๆ ที่กล้าออกมายอมรับเรื่องนี้ อย่าง 100% ทั้งที่ทั่วโลกก็ฉีดกันทุกวัน

ด้วยข้อจำกัดและความยุ่งยากดังกล่าว ในปัจจุบันจึงมีบริษัทยุโรป หลายๆ ที่สกัดสเต็มเซลล์ ออกมาแบบพร้อมใช้คือสามารถฉีดได้เลย ไม่ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิที่กำหนด ไม่ต้องครวจเลือด ไม่ต้อง match cell ซึ่งทำให้การฉีดสเต็มเซลล์ยิ่งนิยมกันไปใหญ่ เพราะก็ไม่ต้องบินไปฉีด ไกลถึงต่างประเทศ และแถมราคายังลดลงอีกเยอะ จาก 7 หลักก็เหลือเพียง 6 หลัก แถมเป็น 6 หลักต้นๆ ด้วยครับ

แต่ทางทีมศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิด และเซลล์บำบัด มีความเห็นว่าส่วนที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นนั้น อาจมีการฉีดสารด้านความงานอื่นๆ เข้าไปร่วมด้วยมากกว่า และสารเหล่านั้นน่าจะทำงานผสมผสานกับสเต็มเซลล์ (ที่อาจไม่ได้มากมายอะไร) แล้วช่วยให้ผิวพรรณดูดีขึ้น จึงเกิดความนิยมขึ้นในปัจจุบัน

สเต็มเซลล์แบบสกัดนี้ มันช่วยอะไรได้บ้าง

  • ช่วยซ่อมแซมเซลล์ ที่เสท้อมสภาพ ให้กลับมาสมบูรณ์ แข็งแรง
  • ต่อต้านความชราของร่างกายโดยรวม
  • ผิวพรรณเปล่วปลั่ง
  • ปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
  • ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
  • การนอนหลับเต็มอิ่ม หลับลึก หลับนานขึ้น

คือถ้าอยากหน้าเด็ก การฉีดสเต็มเซลล์ก็ช่วยได้

ถ้าหวังผลเรื่องหน้าเด็ก แนะนำให้รักษา บำรุง หรือดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะจะเห็นชัดกว่า เพราะการใช้สเต็มเซลล์ มันคือการยื้อให้อวัยวะเสื่อมช้าลง ให้มีอายุยืนยาวที่มีคุณภาพมากขึ้น อายุทั้งร่างกายไม่ใช่แค่อายุหน้า

 

อายุเท่าไรสมควรจะฉีดสเต็มเซลล์

คำถามนี้ ตอบง่ายๆ คือ ไม่เกี่ยวกับอายุครับ ร่างกายเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 20  จริงๆ แล้วอายุที่เรานับๆ กันตามปี ก็ไม่ตรงกับอายุร่างกาย หรืออายุเซลล์ ตอนนี้เรามีเครื่องสแกนด้วยระบบไฟฟ้า ระบบแม่เหล็ก รวมถึงการตรวจเลือด สามารถบอกอายุคร่าวๆ ของเซลล์อวัยวะได้ และบอกพยากรณ์คร่าวถึงโรคอนาคตได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นอยู่ที่ความพอใจมากกว่า แต่ของพวกนี้ บำรุงตั้งแต่มันเสื่อมน้อยๆ ก็ย่อมดีกว่าครับ

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นสเต็มเซลล์ของจริง หรือ ของปลอม

ต่อให้เป็นของปลอมคุณก็ไม่รู้ครับ เพราะเหมือนถามว่า Botox ของจริง หรือปลอม ของแบบนี้มันตอบยากมากๆ ครับ ขนาดเอามาเทียบกันต่อหน้า ยังแยกลำบากเลย แนะนำว่าให้เลือกสถานพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ เปิดมานาน มีแพทย์ประจำ อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็น่าจะรับผิดชอบ

สเต็มเซลล์แพงไหม

สเต็มเซลล์คล้ายๆ ยานครับ มองว่าไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ถ้าร่างกายคุณยังโอเคอยู่ ก็ไม่มีประโยชน์ในการฉีดเท่าไร แต่ถ้าอยากให้ผิวพรรณดี แข็งแรง แล้วมีกำลังก็ไม่มีปัญหา แต่อย่างที่บอกว่าถ้าอยากให้ผิวหน้าเด้ง กรณีนี้แนะนำให้ดูแลเฉพาะเจาะจงไปที่ผิวหน้าเลยจะคุ้มกว่าครับ เพราะสเต็มเซลล์จะไม่ได้ทำให้ผิวหน้าคุณดีขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันจะทำงานรวมๆ ทั้งตัวครับ

ถ้าถามว่าแพงไหม ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเซลล์เรามันเสื่อมมากขนาดไหน ถ้าไม่เสื่อมมากฉีดเต็มเล็กน้อยก็ดีขึ้น กรณีก็ไม่แพง แต่ถ้าเสื่อมมากจริงๆ ต้องเน้นปริมาณเยอะๆ อันนี้ก็ต้องเตรียมเป็นหลักแสนไว้เลย 

ฉีดแล้วผลจะอยู่ได้นานแค่ไหน

ก็ต้องมีวันหมดไปตามการใช้ชีวิตของเรา ร่างกายของเรา กิจวัตร หรือกิจกรรมต่างๆ เช่นชอบกีฬา ชอบปาร์ตี้ ดื่มเป็นประจำ หรือดูแลสุขภาพสม่ำเสมออย่างไรมากกว่ากันครับ

สเต็มเซลล์มีอันตรายไหม

ทุกอย่างไม่มีคำตอบ 100%  อาจจะมีอาการแพ้ได้ ถ้าบังเอิญคุณแพ้สารประกอบสักตัวในนั้น มันก็อันตราย ร่างกายมีสิทธิ์จะไม่รับ ต้องย้ำอีกว่าสเต็มเซลล์ไม่ใช่ยาวิเศษ ไม่ใช่ว่าทุกคนฉีดแล้วจะดี หรือถ้าคนอื่นฉีดแล้วดี ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะดีเหมือนคนอื่นๆ ครับ

 

Credit : ทีมข่าวผู้จัดการ LIVE

ตอบโจทย์ทุกความหย่อนคล้อยได้ตรงจุดมากที่สุดขณะนี้ !!!

ปัจจุบันนี้ไหมที่ใช้สำหรับการแก้ปัญหารูปหน้า และความหย่อนคล้อยนั้นมีหลากหลายชนิดทั้งไหมที่สามารถละลายได้ PDO, กลุ่มไหมถาวร หรือพวกเส้นไหมทองคำ และแยกย่อยในกลุ่มไหมที่ละลายได้ ก็มีอีกหลายๆ แบบ เช่น ไหมก้างปลา ไหมปม ไหมกุหลาบ ฯลฯ ทั้งที่ไหมแต่ละแบบก็ผลิตจากหลายประเทศ เช่น เกาหลี ยุโรป และอเมริกา ซึ่งคุณสมบัติของแต่ละแบบก็ต่างกัน ทีนี้ก็ขึ้นกับคุณหมอที่ต้องวินิจฉัย ลักษณะผิว และปัญหาของคนไข้แต่ละท่าน แล้วเอามาปรับใช้ และเลือกให้เหมาะกับแต่ละปัญหาผิว เพื่อเพิ่มทางเลือกให้คุณสาวๆ อีกทาง

วันนี้เดอะเฟสจะขอแนะนำโปรแกรมร้อยไหมกรวยแบบใหม่ล่าสุด (Turbo Lift) ตัวนี้จะสามารถดึงผิวที่หย่อนคล้อยได้มากกว่าแบบเก่าๆ มาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง เป็นไหมจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่า Silhouette (ซิลลูเอต) ก่อนหน้านี้ไหมกรวยได้ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา.ยุโรป และเอเชีย เริ่มตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา โดยได้รับการรับรองผ่านอย.US-FDA, CE MARK. วัตถุประสงค์ใช้ในการการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย และส่วนที่หย่อนคล้อยอื่นๆ ผ่านกรวยขนาดเล็กที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ

โปรแกรม Turbo Lift คือการแก้ปัญหารูปหน้า ที่หย่อนคล้อยให้ยกกระชับในทันทีที่รักษาเสร็จ และขั้นตอนการรักษาไม่ยุ่งยาก ไม่มีแผลเปิด ไม่มีรอยช้ำหรือบวมหลังการร้อย สำหรับเส้นไหมที่มีใช้ในโปรแกรม Turbo Lift จะมีความพิเศษมาก คือเป็นเส้นไหมที่ประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นเส้นไหมเย็บชนิดไม่ละลายผลิตจาก Polypropylene มัดเป็นปม และระหว่างปม มีส่วนที่เป็นกรวยชนิดละลาย ผลิตจาก Lactide/Glycolide *โดยกรวยจะละลายหมดก่อนภายใน1 ปี

การร้อยไหมกรวย TURBO LIFT ปลอดภัย และเห็นผลจริง
สำหรับประเทศไทย ก่อนหน้านี้ได้มีการนำเข้ามาใช้ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งปี 2013 ถือว่าเป็นข่าวที่ดีมากๆที่ไหม Silhouette ได้ผ่านการรับรองจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา อ.ย เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเป็น ”ไหมประเภทแรกและประเภทเดียว ที่ใช้สำหรับดึงหน้าจริง” ใช้เพื่อยกกระชับแก้มชั้นใน ใต้หนังแท้ ใช้บำบัด บรรเทารักษาโรค และดัดแปลงด้านกายวิภาคของร่างกายมนุษย์ ”ยกผิวหนังบริเวณใบหน้าส่วนกลาง “are for use in mid-face suspension surgery to fixate the cheek sub dermis in an Elevated position”

การร้อยไหมกรวย มีขั้นตอนอย่างไร
โดยทั่วไป ขั้นตอนไม่ต่างจากการร้อยไหมแบบประเภทอื่น แต่ที่ต่างกันโดดเด่นคือคุณหมอจะวางแนวการร้อย โดยจะดึงเส้นไหมขึ้นไปแขวนไว้กับเนื้อเยื้อที่แข็งแรงตรงขมับ ไม่ใชการแขวนลอยๆ อยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผลการยกกระชับดีกว่าแบบอื่น และอยู่นานกว่าครับ

TURBO LIFT สามารถยกกระชับส่วนใหนได้บ้าง?
โปรแกรม Turbo Lift สามารถแก้ปัญหาผิวได้ค่อนข้างหลากหลายจุด เช่น คิ้วตก, หนังตาตก, แก้มย้อย, รูปหน้าไม่คมชัด, มุมปากตก, ปีกจมูกบาน, จมูกไม่โด่ง, คาง 2ชั้น, หน้าอกคล้อย, เหนียงคล้อยยาน เป็นต้น การรักษาใช้เวลาประมาณ 45 นาที เท่านั้น และใช้ยาชาฉีดเฉพาะที่ ระยะเวลาการพักฟื้นผิวประมาณ 2 วัน สามารถเห็นผลทันทีหลังการรักษา, และผิวจะยกกระชับมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

โปรแกรม TURBO LIFT มีความปลอดภัยแค่ไหน

กรวยละลายตามธรรมชาติไม่มีสารตกค้าง ได้รับการรับรองจาก อย. ผลการรักษาสามารถอยู่ได้นานถึง 18เดือน(550วัน). เมื่อเทียบกับ ไหมชนิดอื่นๆแล้ว ถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก
ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงอีกข้อหนึ่ง กับการร้อยไหมด้วยไหมชนิดก้างปลาหรือไหม แอ็ปทอส (Aptos) ที่มักจะเลื่อนหลุดง่ายและกระชับอยู่ได้ไม่นาน หรืออาจเกิดการทะลุของไหมเป็นเงี่ยงๆได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เพราะวัสดุที่ผลิตแตกต่างกัน
DR.ROBERTO PIZAMIGLIO ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลกว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการร้อยไหม กล่าวว่า ไหม Silhouette เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อยทั้งในส่วนของร่องแก้มและมุมปาก หรือที่เรียกว่าใบหน้าส่วนกลางและไม่ต้องการให้มีแผลเป็นหน้าใบหู (ซึ่งมักจะพบได้ในการผ่าตัดดึงหน้าแบบเดิมๆ) และเหมาะสำหรับท่านที่มีความหย่อนคล้อยไม่มากพอที่จะถึงกับจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่




อย่างไรก็ดี การร้อยไหม ไม่ว่าจะเป็นไหมประเภทใด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคะ ^ ^

Treatment ที่เกี่ยวข้อง

ปรับรูปหน้า : ปรับรูปหน้าให้สวยเป๊ะ ไม่ใช่เรื่องง่าย มาดูกันว่ามีหลักการยังไง

Thermage Lifting : ยกกระชับผิว พร้อมสลาย Fat ทำครั้งเดียวได้ผลลัพธ์ถึง 2

MaDe Collagen : ปรับผิวให้กระชับ เติม collagen ให้ผิวดูเด็กและสดใส

Thread Lifting 4D : ยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ด้วยการร้อยไหมยกกระชับ 4มิติ เทคนิคล่าสุดจากเกาหลี

Age Lock by Air Jet : วิวัฒนาการขั้นสุด ในการยกกระชับ ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดศัลยกรรม

Dermal Filler : ปรับรูปหน้า ยกกระชับ แบบเห็นผลทันทีหลังทำ

Spring Thread Lifting : ร้อยไหม ไม่ละลาย ที่นี่ที่เดียวยกกระชับนานเกือบ 10 ปี

The Face Aesthetic

คลินิกเวชกรรม ความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ฉีดผิวขาว l รักษาฝ้ากระ

ด้วยทีมแพทย์มีอาชีพ เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย

Call center : 02-7122334

LINE official : @thefaceaesthetic หรือ click เลย https://line.me/R/ti/p/%40thefaceaesthetic

Instragram : thefaceaesthetic

การรักษาฝ้า กระ ให้หายขาดไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป !!
สาวๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางค์หนาเตอะเพื่อปกปิดรอยคล้ำดำจากฝ้า กระ อีกต่อไป ด้วยนวัตกรรมของเทคโนโลยีเลเซอร์ล่าสุด ที่รวมเอาคุณลักษณะของเลเซอร์ที่เข้าไปกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์ผิว ในระดับชั้นที่ลึกลงไปถึงชั้นผิวแท้ ช่วยเร่งกระบวนการกระตุ้นพลังงานในเซลล์ และฆ่าเซลล์ผิวที่ผิดปกติให้ตายไปอย่างถาวร

จะรักษาฝ้าให้หายขาดต้องรู้จักฝ้ากันก่อน

ฝ้ามีด้วยกัน 3 ชนิดคะ
ฝ้าตื้น (Superficial Type) จะเห็นได้ชัดเพราะอยู่ที่เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นนอก) ฝ้าชนิดนี้จะมีสีน้ำตาลดำเข้ม มีขอบชัดเจน ชนิดนี้รักษาไม่ยากคะ สามารถทายาฝ้า อ่อนๆ ร่วมกันครีมกันแดด ก็สามารถลบเลือนให้หายได้

ฝ้าลึก (Deep Type) มีสีน้ำเงินอมม่วงหรือเทาอ่อนๆ ของเขตไม่ชัดเจน ฝ้าชนิดนี้รักษาให้หายยากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเกิดอยู่ที่ผิวหนังชั้นลึกลงไป คือชั้นผิวหนังแท้

ฝ้าผสม (Mixed Type) จะมีลักษณะของฝ้าตื้นและฝ้าลึกปนกัน สำหรับกลุ่มนี้ก็ต้องรักษาควบคู่กันไป

สาเหตุของการเกิดฝ้า

ระดับฮอร์โมนเพศหญิง ที่เปลี่ยนแปลงในขณะตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตรหรือระหว่างรับประทานยาคุมกำเนิด
วัยหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังมีความเสื่อมโทรมและอ่อนแอลง
ความเครียดและความกังวลใจ
เผ่าพันธุ์ โดยพบว่าสาวชาวเอเชียจะเป็นฝ้ามากกว่าสาวชาวตะวันตก
การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
รังสี UV จากแสงแดด แสงไฟ และความร้อนจากเตาไฟ ตัวการที่ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ หรือรอยด่างดำมากขึ้น
สารเคมีและมลภาวะ ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

สำหรับการรักษากระและฝ้า นั้นเป็นการรักษามุ่งเน้นหลักสำคัญสองประการคือหลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระหรือฝ้าเป็นมากขึ้น ร่วมกับการพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาอื่นๆที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงการออกแดด และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การเลือกครีมกันแดดจะต้องเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเรา ในกรณีที่มีปัญหากระหรือฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF (Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 30 หรือสูงกว่า

การทำให้รอยคล้ำจากกระและฝ้าจางลงมีได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป สำหรับปัญหาฝ้าตื้นคงจะไม่ใช่ประเด็นหลัก เนื่องจากสามารถรักษาได้ง่ายด้วยการทายา และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่เร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้า หรือกลุ่มที่มีผลลดการสร้างเม็ดสีเมลานินเช่น ยาไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) กรดโคจิค (Kojic acid) หรือเจลวิตามินซี

เรามาดูการรักษาฝ้าลึก กันนะคะ

หลายท่านคงเคยได้ยินว่ามียากลุ่ม Tranxemic acid ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทำให้บริเวณที่กำลังมีเลือดไหลออกมานั้นหยุดได้เร็วขึ้น มาประยุกต์ใช้รักษาฝ้าเนื่องจากยาชนิดนี้สามารถลดการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง มีผลทำให้ฝ้าจางลงบ้างในบางราย แต่ก็ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัย เป็นที่ยืนยันอย่างชัดเจน ปัจจุบันได้มีการนำหลักการนี้มาประยุกษ์โดยใช้การฉีดยากลุ่มนี้ลงไปยังชั้นผิวแท้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดยิ่งขึ้น ซึ่งจากการวิจัยพบว่าฝ้าจางลงอย่างมีนัยสำคัญ
การรักษาด้วยวิธีกรอผิวชนิด Microdermabrasion (หรืออาจได้ยินในชื่อของเครื่องกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการรักษา โดยเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ ข้อควรระวังคืออาจให้ผิวเกิดการระคายเคืองง่าย
การใช้เครื่องเลเซอร์ Q-Switched Laser ซึ่งเป็นเลเซอร์ชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติในการรักษา กระลึก กระแดดขนาดใหญ่ ปาน หรือไฝโดยกำเนิด และรอยสักโดยเฉพาะ ซึ่งได้รับการยอมรับจากแพทย์ผิวหนังต่างประเทศว่าผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ โดย Q-Switched Laser จะเข้าไปเลือกทำลายเฉพาะเซลล์เม็ดสีที่อยู่ในผิวชั้นลึก เม็ดสีที่ถูกทำลายแล้วจะแตกตัวออก แล้วเม็ดเลือดขาวจะมาเก็บกินทำลายซากสีเหล่านี้ ทำให้ฝ้าค่อยๆ จางลง ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย และเกิดรอยดำหลังการรักษาในระยะเวลาเพียงแค่ประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นรอยดำต่างๆที่เกิดขึ้นจะค่อยๆจางลง และหายไปในที่สุด แต่แนะนำว่าควรรักษาอย่างต่อเนื่องอีก (4-8 ครั้ง) ขึ้นอยู่กับสี ความลึกและภาวะปัญหาที่ต้องการรักษา เพื่อผิวที่แข็งแรงและลดรอยด่างดำต่างๆอย่างถาวร

ภาพ ก่อน – หลังการทำทรีทเม้นต์ 5 ครั้ง

ภาพ ก่อน – หลัง การทำทรีทเม้นต์ 4 ครั้ง

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่เป็นฝ้าก็คือ “ความอดทน” คะ เพราะต้องเข้าใจว่าการรักษาฝ้านั้นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ประมาณ 2-3 เดือน ดังนั้นการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจึงสำคัญที่สุด และจะทำให้เห็นผลตามที่ต้องการคะ

The Face Aesthetic : 02-712 2334

รักแร้เป็นส่วนที่มีเส้นขนปกคลุมเพื่อลดการเสียดสีของผิวหนังใต้วงแขน ผิวบริเวณรักแร้เป็นผิวที่บอบบางมากนะคะ ซึ่งผิวบริเวณนี้ประกอบด้วยต่อมเหงื่อและรูขุมขนจำนวนมาก การกำจัดขนด้วยการถอนอย่างรุนแรงหรือการแว็กซ์บ่อยครั้งจะทำให้รูขุมขนเด่นชัดขึ้น ดูคล้ายหนังไก่ และยิ่งจะทำให้การงอกของขนเส้นใหม่ยากขึ้น กลายเป็นขนคุดอยู่ภายใน ทำให้มองเห็นคล้ายเป็นหนังไก่ได้เช่นกัน การรักษาผิวที่มีปัญหาหนังไก่จึงควรเปลี่ยนวิธีการกำจัดขน อย่าถอนขนรุนแรง เมื่อผ่านไปสักระยะรูขุมขนจะยุบตัวลงเช่นเดิม ปัญหาหนังไก่ก็จะหมดไปค่ะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีธรรมชาติ อาจต้องอาศัยเวลาและความอดทนสักหน่อย

ทางเลือกอีกทางหนึ่งที่เห็นผลได้ดี และเร็วขึ้น แพทย์ผิวหนังแนะนำการใช้เลเซอร์กำจัดขนคะ ซึ่งการเลือกใช้เลเซอร์กำจัดขน ก็ควรเลือกใช้เครื่องที่มีความยาวคลื่นเหมาะกับการกำจัดขน ซึ่งปัจจุบันเครื่องเลเซอร์กำจัดขนที่ได้รับความนิยม และยอมรับกันอย่างกว้างขวางคือ เครื่องเลเซอร์ชนิดเอ็น ดี แยค (Nd: YAG Laser) เป็นเลเซอร์ ที่มีความยาวคลื่นแสงสูง จึงทำให้แสงสามารถผ่านลงไปสู่ผิวได้ลึกกว่า เมื่อเทียบกับเลเซอร์อื่น ๆ สามารถเผาผลาญและทำลายตำแหน่งสร้างขนโดยตรงที่เรียกว่า “Aestilight” ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นขน จึงมีความโดดเด่นเหนือใคร ในการกำจัดขนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคนทุกสีผิว สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย จึงทำให้ Nd: YAG Laser เป็นเลเซอร์ที่แพทย์ทั่วโลกนิยมใช้ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี DCD ซึ่งเป็นแก๊สเย็น ที่จะออกมาก่อนการยิงเลเซอร์ เพื่อปกป้องผิวหนังชั้นบนไม่ให้ถูกทำลาย จึงปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง

จากการทำวิจัย โดยใช้เลเซอร์ Nd: YAG Laser ในการกำจัดขน โดย E. Victor Ross และ Lori M. Hobbs แพทย์ผิวหนังใน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า

ในคนไข้ 100 ราย ที่ทำการรักษา หลังการรักษาครั้งแรก ปริมาณขนลดลง 20-40% ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการกำจัดขน เมื่อทำครบ 4 ครั้ง สามารถกำจัดขนได้ถาวร
การกำจัดขน สามารถทำได้ทั้งขนเส้นเล็ก และเส้นใหญ่ ซึ่งเลเซอร์รุ่นอื่น ๆ ส่วนใหญ่ สามารถกำจัดขนได้เฉพาะเส้นใหญ่ แต่ไม่สามารถกำจัดขนเส้นเล็กได้

เพื่อให้ผลการรักษาที่ดี ควรทำต่อเนื่อง 4-5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกันประมาณ 3-6 สัปดาห์ ขึ้นกับลักษณะขนและ ความเห็นแพทย์คะ

ผิวใต้วงแขนที่เนียนเรียบย่อมเป็นที่ปราถนาของหลายๆ ท่าน ลองพิจารณาดูนะคะ หรือโทรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเราได้คะ

The Face Aesthetic : 0-712-2334

หลายคนสงสัยว่า อายุเพิ่งจะเลข 2 ปลายๆ แต่ทำไมผิวจึงมีริ้วรอย ไม่สดใสเหมือนชาวบ้านเลย ??

วันนี้เราจะมาดูสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรคะ

1 สาเหตุจากอายุ
อายุ เป็นปัจจัยแรกซึ่งใครก็หลีกหนีไม่พ้น เมื่ออายุมากขึ้นผิวพรรณก็ล่วงโรยตามวันเวลาที่มากขึ้นเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามมีการศึกษาการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าของผู้หญิง พบว่าจะแตกต่างกันตามวัยที่เพิ่มขึ้นดังนี้
· ปลายอายุ 20 เริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ บางๆ ที่ใต้ตา ริ้วรอยรอบๆ ตา ซึ่งเป็นผลจากการยิ้ม เรียกว่า Fine line
· ต้นอายุ 30 มีริ้วรอยรอบดวงตาลึกขึ้น และรวมตัวชัดเป็นรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกาที่หางตา และริ้วรอยระหว่างคิ้วและบนหน้าผาก ที่เป็นผลจากกิริยาขมวดคิ้ว
· ปลายอายุ 30 รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา หน้าผาก และหว่างคิ้วเพิ่มมากขึ้น รอยเหี่ยวย่นรอบริมฝีปาก รอยเหี่ยวใต้ตา และร่องแก้มหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลก
· อายุ 40 ขึ้นไป รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ริมฝีปาก หน้าผาก และหว่างคิ้ว รอยเหี่ยวย่นจากการหย่อนคล้อยของผิวหน้า เส้นริ้วรอยที่ลำคอ

2 ปริมาณสารคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว
โดยปกติผิวหน้าจะกระชับเต่งตึงได้ เพราะสารคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิว เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง หรือความสมบูรณ์ของคอลลาเจนเสื่อมลง ริ้วรอยย่อมเกิดขึ้น แต่เกิดช้าๆ ทีละน้อย เริ่มจากรอยเล็กๆ บางๆ ซึ่งในแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติล้วนมีคอลลาเจนแตกต่างกัน สำหรับชาวเอเซียอย่างเรา คอลลาเจนไม่แข็งแรงเท่ากับกลุ่มคนผิวสี แต่ดีกว่าฝรั่งเยอะ เปรียบเทียบคนเอเซียกับชาวตะวันตกที่อายุเท่ากันจะเห็นว่าคนไทยสาว ใส ดูดีกว่ามาก

3 สภาวะแวดล้อม และวิถีชีวิต
สภาวะแวดล้อม และวิถีชีวิตก็มีส่วนในการเกิดริ้วรอยด้วยเช่นกันคะ แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำวิธีดูคุณภาพผิวที่แท้จริงด้วยการเปรียบเทียบระหว่างผิวที่ใบหน้ากับผิวที่ก้น ถ้าผิวที่หน้ามีริ้วรอยมากมาย ในขณะที่ผิวก้นยังเต่งตึงอยู่ แสดงว่าพื้นฐานผิวดี แต่ปัจจัยภาพนอกเป็นตัวการทำลายคอลลาเจน และก่อให้เกิดริ้วรอย เช่น การแสดงอารมณ์ทางสีหน้า การรับประทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ แสงแดด สูบบุหรี่ ความเครียด การที่น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ เป็นต้น

4 แสงแดด
แสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร เป็นสิ่งที่เราควรหลีกเลี่ยงและควรป้องกันเป็นอย่างยิ่ง รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดถือเป็นศัตรูตัวฉกาจที่กระตุ้นให้ผิวสร้างอนุมูลอิสระ และทำลายอีลาสตินกับคอลลาเจนในผิวหนังให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ รังสี UVA จะส่งผลโดยตรงกับคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับ และริ้วรอยก่อนวัย ส่วนรังสี UVB จะส่งผลในเรื่องของการผลิตเม็ดสีผิว หรือเมลานิน ทำให้ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ผิวไหม้เกรียม (Sunburn) หรือ ถ้าในระยะยาวอาจลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้

เมื่อทราบสาเหตุกันแล้ว สาวๆ ก็ต้องป้องกันและคอยดูแลสุขภาพกันมากขึ้นนะคะ แต่ทั้งนี้ก็อย่ากังวลเกินเหตุ ริ้วรอยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ต้องมีบ้างเป็นธรรมดาคะ ^^

สำหรับผู้ที่กังวล หรือรู้สีกว่าดูโทรมก่อนวัยอันควรจริงๆ

สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับทาง The Face ได้ทุกวันคะ 10:00 – 20:00

Tel:02-7122334

เรื่องนี้พูดกันมานานนะคะ และมีความเห็นแบบคนละขั้วกันเลยนะคะ
 
น้ำเกลือที่พูดถึงกันคือน้ำเกลือที่เราเอามาใช้ล้าง ทำความสะอาดแผล หรือที่เรียกว่า Normal saline solution คือ สารละลายเกลือโซเดียมคลอไรด์ 0.9% 
ที่นิยมเอามาล้างแผล ก็เพราะเป็นสารละลายที่มีค่า PH ใกล้เคียงกับผิว คือ PH 5.5 ในขณะที่น้ำปะปา มีค่า PH ประมาณ 7  เมื่อดูจากค่า PH จะเห็นชัดๆ เลยว่า น้ำเกลือมีความเป็นกรด ด่างใกล้กับผิวมาก ทำให้ผิวที่บอบบาง ผิวไม่แข็งแรง หรือมีแผลอยู่ จะไม่ระคายเคืองผิวถ้าใช้น้ำเกลือทำความสะอาด แต่สำหรับคนที่ผิวปกติแล้ว ไม่มีความแตกต่างระหว่าง น้ำเกลือกับน้ำปะปาเลยคะ
น้ำเกลือที่พูดถึงกันคือน้ำเกลือที่เราเอามาใช้ล้าง

แต่ในแง่ของการรักษาสิว นั้นเราคงต้องมาดูว่าสิวเกิดจากอะไร

หลักๆ แล้ว สิวเกิดจากการผลิตน้ำมันในผิวมากเกินไป อาจเกิดจาก ฮอร์โมน ยาบางชนิด สภาพอากาศ รวมถึงแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอยู่บริเวณรูขุมขน (propionibacteria) เป็นสาเหตุให้สิวอุดตัน เกิดการอักเสบ บวมแดง หรือเป็นหัวหนองขึ้นมาได้เหมือนกันคะ
 

การรักษาสิว
การรักษาสิว

 
ดังนั้นการรักษาสิว คือควรลดการสะสมของไขมันที่อุดตันอยู่ใต้รูขุมขน  ซึ่งน้ำเกลือไม่สามารถละลายไขมัน หรือล้างไขมันที่ฝังอยู่ในหัวสิวได้นะคะ ดังนั้นประเด็นนี้ หมอถือว่าตกไป  
 
อีกสาเหตุของสิว คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นการนอนดึก การสูบบุหรี่ อีกพฤติกรรมยอดฮิตที่เป็นสาเหตุของสิว คือการล้างเครื่องสำอางค์ไม่สะอาด แล้วเกิดอุดตันที่ผิว ทำให้เกิดสิว สำหรับประเด็นนี้หมอพูดได้เต็มปากว่า น้ำเกลือไม่สามารถเช็ดล้างเครื่องสำอางค์ที่ตกค้างแต่อย่างใด โดยมากเครื่องสำอางค์ มันจะเป็น oil base ดังนั้นเราควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางค์โดยเฉพาะ จะดีกว่าใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าแทนคะ
 
อีกประเด็นที่พูดกันเยอะมากในเนต คือน้ำเกลือสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ข้อนี้จริงบางส่วนคะ คือน้ำเกลือสามารถฆ่าเชื้อได้บางตัวเท่านั้น แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้แน่นอนคะ
 
นอกจากน้ำเกลือจะไม่ช่วยเรื่องการรักษาสิว แล้ว น้ำเกลือยังทำให้ผิวแห้งตึง และถ้าใช้ไปนานๆ ผิวอาจเหี่ยวก่อนวัยอันควรได้เลยคะ จริงๆ สำหรับผู้ที่เป็นสิว หมออยากให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ที่คุณอาจไม่รู้ตัวนะคะ
 
วิธีลดสิว แบบธรรมชาติ
ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว – วิธีน้ำง่ายสุดเลยคะ จิบเรื่อยๆ แป้ปเดียวก็ 8 แก้วแล้วคะ
ไม่นอนดึก – ซีรี่เกาหลีต่างๆ ควรงด ถ้าไม่อยากเป็นสิวนะคะ เวลาที่ไม่ดึก คือ ไม่ควรเกิน 10:00  คะ ลองค่อยๆ ปรับดูคะ
งดอาหารมันๆ –  ข้อนี้จำเป็นสุดคะ ลองเปลี่ยนจากทอด เป็นย่าง หรือต้มแทนดูนะคะ
หลีกเลี้ยงฝุ่น ล้างหน้าให้สะอาด – ไม่ว่าจะแต่งหน้า หรือไม่แต่งหน้า ก็ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวคะ 
 
เพียงเท่านี้คุณอาจไม่ต้องมากังวลเรื่องสิว อีกต่อไปเลยก็ได้คะ ^^
 
 
 
The Face Aesthetic 
คลินิกเวชกรรมความงาม Anti Aging l ปรับรูปหน้า l ปรับผิวขาว l รักษาฝ้า กระ 
ด้วยทีมแพทย์มืออาชีพ  เพราะความสวยต้องมาพร้อมความปลอดภัย 
Call center  : 02-7122334
Line officiel : @thefaceaesthetic หรือ click เลย line.me/R/ti/p/%40thefaceaesthetic
Instragram : thefaceaesthetic

“วิวัฒนาการขั้นสูงสุด กับการยกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์เทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า”

เจาะลึก FACE LOCKED BY AIR JET  ดึงหน้า โดยไม่ต้องศัลยกรรม

Face Locked by Air Jet นับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดในเรื่องของการยกกระชับ ผลลัพธ์ที่ได้เสมือนการผ่าตัดศัลยกรรม เป็นการใช้แรงดันอากาศ พลังงานสูงมาก ส่งผ่านสารอาหารผิวนับล้านเข้าสู่ผิวในชั้น SMAS ทำให้เกิดการฟื้นฟู และซ่อมแซมใต้ชั้นผิว ถือเป็นการพลิกโฉมการยกกระชับ ด้วยการพัฒนา นวัตกรรมที่ไม่ใช้ความร้อน ในการยกกระชับผิว

Face Locked by Air Jet เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการรักษาปัญหาริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อยอย่างสิ้นเชิง !!!!   ทำให้เกิดการฟื้นฟูผิว อย่างทันทีทันใด ด้วยกระสุนของสาร solution จำนวนมหาศาลที่ลงสู่ชั้นผิวชั้นลึกเป็นวงกว้าง แบบ 3 มิติ ทำให้ผลที่ได้ดีขึ้นกว่าเทคโนโลยีเก่าๆ

การยกกระชับมีหลากหลายเทคโนโลยี

ไม่ว่าจะเป็นการฉีด Toxin การฉีดฟิลเลอร์ ที่เรารู้จักกันมา แต่หลักการที่หวังผลระยะยาว ของการยกกระชับ คือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งโดยปกติแล้ว เราจะคุ้นเคยกับเทคนิคการใช้ความร้อน เข้ามากระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่เทคนิคการใช้ความร้อนนี้ อาจจะส่งผลเสียต่อผิวในระยะยาว ไม่ว่าความร้อนจะมากหรือน้อย ยังไงซะคงจะดีกว่าถ้าเทียบกับการที่ไม่ใช้ความร้อนเลย

แต่ตอนนี้เรามีนวัตกรรมยกกระชับผิวใหม่ล่าสุดจากเกาหลี ประเทศที่ต้องยอมรับเรื่องการศักยกรรม นวัตกรรมนี้ไม่มีความร้อนมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว

สำหรับ เทคนิคการยกกระชับของ Air Jet นั้น เรียกว่า เทคโนโลยี Jet Bullet Effect  เป็นการส่งยา และ สารอาหารผิวที่จำเป็นต่างๆ ลงไปในชั้นผิวหนังแท้ ด้วยการส่งผ่านสารอาหารผิว ด้วยควาเร็วที่สูงมาก คล้ายกระสุนนาโน ความเร็วของ เจทอยู่ที่ 150 m/sec ผ่านผิวทำให้เกิดจุดเล็กๆ บนผิวชั้นบน ขนาด 200  micron (ซึ่งถือว่าเล็กมากๆ ) โดยสารอาหารและตัวยาต่างๆ จะกระจายออกรอบทิศทาง เกิดบาดแผลเล็กๆ แบบ 3D Subcision เพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูผิวและ คอลลาเจนใหม่ในบริเวณกว้าง คิดเป็นพื้นที่ 1.2 ตารางเซนติเมตร  โดยไม่มีการใช้ความร้อน เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ในระหว่างการฟื้นฟูสภาพผิว ผิวจะมีการดูดซึมสารอาหารเข้าไปด้วย ทำให้ได้ชั้นผิวใหม่ที่หนาตัวขึ้น เต่งตึง และชุ่มชื้น ชั้นผิวใหม่จะช่วยดึงรั้ง อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวและรูปหน้าที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้นได้

ปัญหาผิวแตกลาย เกิดจาการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจน ที่ให้ความยืดหยุ่น เมื่อร่างกายมีการขยายขนาด (อ้วนนั่นเองค่ะ) ทำให้ผิวหนังมีการยืดตัวออก เมื่อผิวถูกยืดออก เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งอยู่ในชั้นหนังแท้ซึ่งทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นกับผิวก็จะเกิดการฉีกขาดตามไปด้วย และพบว่าอาจมีการฉีกขาดของเส้นเลือดฝอยในชั้นหนังแท้ร่วมด้วย จึงเกิดการอักเสบแดงให้เห็นในระยะแรก และเมื่อปล่อยไว้นานไป รอยสีแดงจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เห็นเป็นเส้นๆตามรอยแตก บางส่วนของผิวหนังอาจพบเป็นรอยบุ๋มร่วมด้วย
ผิวแตกลายพบได้หลายกรณีคะ เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ นักเพาะกาย นักกีฬา ที่มวลกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเกิดรอยแตกบริเวณต้นแขนหรือหน้าอกได้ และยังพบในอีกหลายกรณี เช่น คนอ้วน หรือโรคประจำตัวบางอย่างที่ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือจากการรับประทานหรือทายาจำพวกสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ บริเวณที่มักจะเกิดผิวแตกลายได้ง่าย มักจะเป็นบริเวณ หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีการยืดตัวของผิว

การป้องกันง่ายๆ คือพยายามให้ความชุ่มชื่นกับผิวเช่นการใช้ครีมบำรุงผิวเป็นประจำ และควรรักษาน้ำหน้กตัว และรูปร่างให้คงที่อย่าให้แกว่งมากจนเกินไปค่ะ บางคนถามว่าแล้วถ้าป้องกันไม่ทันแล้ว ทำยังไงดีค่ะ

สร้างผิวใหม่ เลิกกันทีผิวแตกลาย

ไม่ต้องห่วงคะ ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยทำให้ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องง่ายในพริบตา

Nd-Yag Laser

เลเซอร์ชนิดเอ็นดีแยคนี้มีหลายชนิดที่นำมาใช้รักษารอบแตกลาย คือ Long-Pulsed Nd-Yag Laser ที่มีความยาวคลื่อในช่วง 1,064 นาโนเมตร การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับรอยแตกในระยะแรกๆที่มีสีแดง หากรอยแตกนั้นมีสีขาวซีด เป็นรอยแตกในระยะหลังๆ มักไม่ได้ผล (ผิวแตกลายในระยะแรกจะเห็นเป็นรอยแตกสีแดง จะรักษาได้ง่ายกว่ารอยแตกที่เป็นสีขาวซีด) พบว่าการรักษารอยแตกลายด้วยวิธีนี้ได้ผลประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์

Carboxytherapy

วิธีนี้เป็นวิธีการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในร่างกาย พบว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ฉีดเข้าไปสามารถกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณผิว กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวตึงกระฉับขึ้น ช่วยสลายเซลล์ไขมันส่วนเกินได้อีกด้วย แต่กวิธีการฉีดก๊าซเพื่อรักษารอยแตกลายต้องมีเทคนิคต่างจากการสลายไขมันนิดนึงค่ะ คือต้องฉีดตื้นๆ ให้เข้าไปเพียงชั้นหน้งแท้ตามแนวร่องแตกลายผิวหนัง ขณะที่กำจัดไขมันส่วนเกินต้องฉีดก๊าซลึกเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง การฉีดสามารถฉีดได้สัปดาห์ละครั้ง จากการศึกษาวิธีนี้ใช้ได้ผลประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์

Fine Scan

วิธีนี้เป็นการปล่อยคลื่นแสงในช่วง mid infrared ลงไปใต้ผิวซึ่งขนาดจะเล็กมากๆ นับพันจุดต่อตารางเซนติเมตร โดยสามารถปรับระดับการรักษาให้เป็นเปอร์เซนต์ครอบคลุมต่อพื้นที่แตกต่างกันไปตามลักษณะปัญหาของแต่ละท่าน คลื่นแสงจะลงไปยังบริเวณผิวหนังในระดับที่พอดีกับการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เมื่อแสงเลเซอร์สัมผัสกับผิวจะเกิดปรากฎการณ์ Fractional Photothermolysis ขึ้นและ ณ ตำแหน่งนั้นเอง เซลล์เก่าจะถูกกำจัดทิ้งและจะถูกผลัดให้หลุดออกไปภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลผิวเดิมที่เสื่อมสภาพไป ผลการรักษาจะเห็นได้ชัดเจนหลังการรักษาครั้งที่ 2-3 แต่ผู้เข้ารับการรักษาจะสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวทันทีที่หลังการรักษาครั้งแรก ผลการรักษาจะดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ (Collagen Remodeling Process) ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องคะ ^ ^

 

เมื่อพูดเรื่องไขมัน หรือเซลลูไลท์ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเก็บเอาไว้กับตัว ปัจจุบันการกำจัดเจ้าตัวปัญหาเหล่านี้ มีหลากหลายวิธีจนเลือกไม่ถูก ลองมาดูกันว่าวิธีไหนเหมาะกับใครนะคะ

กลุ่มแรก Invasive เป็นการใช้เครื่องมือสอดเข้าสู่ร่างกาย

กลุ่มแรกมีวิธีดังนี้

Vaser Therapy

การดูดไขมัน ด้วยเครื่อง Vaser เป็นการเจาะรูขนาดเล็กประมาณ 1 Cm เพื่อสอดท่อ probe ultrasonic เพื่อทำการดูดไขมันออกมาจากร่างกาย อย่างไรก็ดีวิธีนี้ก็อาจจะทำให้เกิดความบาดเจ็บกับเส้นเลือด เส้นประสาท ทำให้คนไข้มีการปวด ข้ำ หลังการรักษาได้

Carboxy Therapy

เป็นการส่งผ่านแก๊ซลงสู่ผิวบริเวณที่มีไขมัน เพื่อทำให้ไขมันแตกตัวและสลายออกมาด้วยระบบการขับถ่ายของเสียของร่างกายตามปกติ (ระบบน้ำเหลือง) Carboxy therapy เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้อ้วนเกินไป หรือมีไขมันแค่เฉพาะส่วนเท่านั้น

Meso Fat Therapy

เป็นการใช้เข็มขนาดเล็ก และเจาะตื้นเพียงไม่กี่มิลลิเมตร โดยการส่งตัวยา และแร่ธาตุที่ใช้ในการเผาผลาญไขมันในปริมาณเข้มข้นเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังเพื่อให้ไขมันแตกตัว ไม่นับว่าเป็นการกำจัดไขมันแบบ Invasive เหมือนกับ

Carboxytherapy

เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้อ้วนเกินไป หรือมีไขมันแค่เฉพาะส่วนเท่านั้น

กลุ่มที่สอง Non-Invasive คือการกำจัดไขมันโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดเข้าสู่ร่างกาย

กลุ่มนี้มีหลากหลายวิธีดังนี้

Massages

การนวดโดยผู้เชี่ยวชาญ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มระดับการไหลเวียนของเลือด และยังช่วยให้เซลล์ไขมันแตกตัว โดยต้องนวดแบบใช้แรงตบ หรือลงน้ำหนักมากๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อและไขมันที่เชื่อมติดกันจะยืดหยุ่น และช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปได้ ออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเผาผลาญไขมัน ยิ่งร่างกายได้รับมาก จะยิ่งช่วยให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้นการนวดอย่างเดียวนั้นจะไม่ทำให้ไขมันสลายไปได้ แต่ต้องออกกำลังกายหรือทำงานที่ใช้แรงควบคู่ไปด้วยการนวดจึงเป็นการเตรียมไขมันไว้สำหรับการกำจัดออกภายหลังโดยระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย

Vacuum

เป็นระบบนวดสุญญากาศผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์ตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันช่วยสลายไขมัน ลดผิวเปลือกส้ม รอยแตกลาย และกระชับผิว เพราะระบบนวดสุญญากาศทำให้เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองได้เป็นอย่างดี

Infrared Ray

เป็นการใช้เครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล ทำให้ร่างกายสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายที่ดีขึ้นของต่อมเหงื่อ เมื่อร่างกายขับเหงื่อได้มากขึ้นทำให้มีการขับเกลือโลหะหนักและไขมันออกมามากขึ้นเช่นกัน

Radiofrequency

เครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีนี้ จะปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อนๆ ในรูปของคลื่นความถี่วิทยุออกมา พลังงานจากการแสไฟฟ้าในช่วงคลื่นความถี่ต่ำนี้สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังชั้นใน กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนรูปของพลังงานจากภายใน ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบโลหิตและระบบน้ำเหลืองบริเวณนั้น ๆ ไหลเวียนดีขึ้น เซลล์ไขมนแตกตัวออกจากกัน และถูกขับออกจากร่างกายด้วยระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะได้ผิวหนังที่กระชับขึ้นด้วย โดยทั่วไปการกำจัดไขมันด้วย เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุนั้นจะใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีอื่นด้วยเพื่อผลที่เป็นที่พอใจมากยิ่งขึ้น

Freeze Lipo Therapy

นับเป็นวิธีล่าสุดในการสลายไขมัน โดยมีหลักการคือทำลายไขมันด้วยความเย็นระดับติดลบ โดยไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียง หรือเซลล์ผิวหนังอื่นๆ เซลล์ไขมันที่ถูกคลื่นความเย็นนี้จะค่อยๆทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ และร่างกายก็จะกำจัด เซลล์ที่ตายแล้วเหล่านี้ออกไปตามกระบวนการขับน้ำเหลืองตามปกติของร่างกาย ได้ผลเช่นเดียวกับการดูดไขมัน แต่ไม่เจ็บตัว ไม่มีแผลเปิด ไม่ต้องพักฟื้น ผู้ที่ได้รับการรักษาจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ชั้นไขมันจะหดเล็กลง และจะเห็นผลอย่างชัดเจนหลังรับการรักษา 2-3 เดือน คนไข้ไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่มีการพักฟื้น ผิวหลังทำอาจจะเป็นรอยแดงๆ อยู่บ้าง หลังการรักษาสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ วิธีการนี้ยังเป็นวิธีการเดียวที่ได้รับ U.S. FDA approved ว่าสามารถสลายไขมันได้จริงทางการแพทย์โดยไม่ต้องผ่าตัด
วิธีนี้จะเหมาะมากกับคนที่มีไขมันสะสม ที่ทำให้รูปร่างไม่ได้สัดส่วน เช่น มีหน้าท้อง หรือเพิ่งคลอดลูก หน้าท้องทำอย่างไรก็ไม่ยุบ หรือคนเจ้าเนื้อที่มีไขมันมากบริเวณสะโพก ต้นขา ปีกหลังใต้วงแขน ผลการรักษาอยู่ได้ยาวนาน เช่นเดียวกับการดูดไขมัน ไม่กลับมาอ้วนอีก
 
สุดท้ายก็ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะกำจัดไขมันด้วยวิธีไหน แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการควบคุมการทานอาหารในแต่ละวัน และออกกำลังกาย โดยวิธีออกกำลังกายที่ง่ายและเห็นผลที่สุดคือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เห็นผลมากกว่าการวิทอัพนะค่ะ ขอย้ำค่ะว่าต่อให้เอาไขมันออกไปจนหมด แต่ถ้ายังทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง และไม่ออกกำลังกายก็มีโอกาสที่ไขมันจะกลับมาอยู่กับเราได้อีกค่ะ

 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการทำสมาธิให้จิตใจสงบผ่องใส สามารถส่งผลให้หน้าตาและผิวพรรณดูสดใส ไร้ริ้วรอยได้จริง ๆ เมื่อนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้พบว่าการทำสมาธิเป็นประจำ จะกระตุ้นการทำงานของเยื่อหุ้มสมอง ส่วนหน้าซีกซ้ายที่เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ยินดี และส่งผลกับกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อมีสมาธิ จิตใจปลอดโปร่ง มีความสุข ก็ทำให้ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ^ ^
 
 

การฝึกทำสมาธิมีหลายรูปแบบ โดยรูปแบบเบื้องต้นที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. 1.    ฝึกหายใจให้สมบูรณ์ คือการทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส การอยู่ในอิริยาบถที่สบาย นั่งสบายๆ ค่อยๆหายใจเข้าลึกๆ จนลมหายใจถึงกระบังลม หรือที่เรียกว่าหายใจเข้าท้องป่อง หลังจากนั้นก็หยุดหายใจประมาณ 2 วินาที เพื่อให้ปอดได้รับอ๊อกซีเจนอย่างเต็มที่ แล้วจึงค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ จนท้องแฟ่บ
  2. 2.    เมื่อหายใจอย่างสมบูรณ์แล้วก็มาเริ่มฝึกสมาธิกัน โดยสามารถเลือกได้ว่าจะฝึกสมาธิกับอะไร เช่น การเพ่งกสิณ การมองพระพุทธรูป และที่นิยมคือการติดตามลมหายใจของตนเอง และติดตามการเดินของตนเองในขณะเดินจงกลม ซึ่งถือว่าเป็นการฝึกสมาธิที่ได้ผลดีชนิดหนึ่ง
  3. 3.    ก่อนการทำสมาธิควรตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทำสมาธิ รวมทั้งมนัสการคุณพระรัตนตรัยก่อน
  4. 4.    หลังการทำสมาธิ ควรอุทิศบุญที่สำเร็จแก่ ตนเอง บิดา มารดา ญาติ ครู อาจารย์ เทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกรูปทุกปาง เจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวร และแผ่เมตตาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย

 
สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆ มีผิวพรรณผุดผ่อง สดใส ตราบนานเท่านานนะค่ะ สาธุ ^ ^

ต้องยอมรับนะค่ะ ว่าช่วงวิกฤติอุทกภัยตอนนี้ ทุกคนแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองกันเลย ห่วงแต่เรื่องน้องน้ำ  วันนี้เดอะเฟสจึงขอนำสูตร สวย ง่ายๆ ได้ด้วยตัวเองมาแนะนำคะ

 

ตาบวมและดำคล้ำ

    มีกิจกรรมหลายอย่างที่ทำร้ายผิวหนังรอบดวงตาของเรา เช่นการขยี้ตา การใช้สายตาอย่างหักโหมเช่นอ่านหนังสือหรือเล่นคอมพิวเตอร์นานติดกันหลายชั่วโมง รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอก็ล้วนมีส่วนทำให้เบ้าตาหมองเพราะเส้นเลือดดำขยายตัว บางครั้งเกิดจากเม็ดสีที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากผิวอักเสบเพราะแพ้อายแชโดว์ ครีมบำรุงผิว และน้ำยาทำความสะอาด เพราะฉะนั้นวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าคือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเบ้าตาสลับด้วยผ้าห่อน้ำแข็งนานประมาณ 10 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ก่อนนอนควรทาครีมรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) วิตามินซี หรือสารให้ความขาว (Whiteners) อย่าง Arbutin, Kojic Acid และ Mulberry Extract เพื่อกำจัดรอยดำให้หายไปอย่างถาวรภายใน 2-4 สัปดาห์
 
    ส่วนอาการตาบวมมักจะเกิดขึ้นเพราะระบบเลือดในร่างกายหมุนเวียนไม่ดีซึ่งอาจเกิดพร้อมกับรอยดำคล้ำได้ สามารถแก้ไขโดยนำแตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นบาง ๆ วางบนเปลือกตาทั้งสองข้างนานประมาณ 10 – 20 นาที ascorbic acid กับ caffeic ในแตงกวาจะช่วยบำรุงผิวและลดอาการบวมได้ หรือจะใช้เทคนิคแต่งหน้าช่วยโดยแต้มคอนซีลเลอร์โทนเหลืองซึ่งมีสีอ่อนกว่าผิวจริงหนึ่งเฉด ใช้นิ้วนางเกลี่ยอย่างเบามือก่อนลงรองพื้นแล้วแต่งหน้าตามปกติ

ผิวหน้าแห้งและปากลอกเป็นขุย

    อากาศร้อนและลมแรงทำให้ผิวหน้าของเราแห้งเพราะสูญเสียความชุ่มชื้น ในขณะที่อากาศเย็นจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังสร้างน้ำมันออกมาไม่เพียงพอ หนังกำพร้าของเราจึงหลุดลอกได้ง่ายกว่าปกติ แต่ริมฝีปากซึ่งไม่มีต่อมไขมันอยู่ข้างใต้จะแห้งและแตกง่ายกว่าผิวหนังบริเวณใบหน้า ส่วนวิธีป้องกันการลอกเป็นขุยของหน้าอย่างเร่งรัดคือล้างหน้าด้วยน้ำเย็นโดยไม่ต้องใช้คลีนซิ่งเพราะทำให้ผิวแห้งตึงหลุดลอกกว่าเดิม จากนั้นซับหน้าให้แห้ง ลงครีมกันแดดและครีมบำรุงผิวตามปกติ รอจนผิวหน้าแห้งสักพักแล้วสังเกตุว่าบริเวณไหนลอกเป็นขุยจึงใช้ปลายนิ้วป้ายปิโตรเลียมเจลบางๆ ทาผิวก่อนทาแป้งทับ

    สำหรับทางแก้ปัญหาปากแห้งแตกแบบด่วนๆ ให้ใช้ปิโตรเลียมเจลนวดริมฝีปากเบาๆ ทิ้งไว้ 2 นาที เช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหรือใช้แปรงสีฟันจุ่มน้ำอุ่นแปรงเบาๆ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่แตกออก เมื่อต้องการลงลิปสติกให้ทาลิปบาล์มหรือลิปแคร์ที่มีส่วนผสมของสาร Dimethicone และ Lanolin ก่อนเพราะช่วยให้ความชุ่มชื้นและช่วยให้สีติดทนขึ้น อย่างไรก็ตามต้องรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี กรดไขมันจำเป็นและวิตามินเอเพื่อบำรุงผิวหนัง เช่นธัญพืชไม่ขัดขาว ผักใบเขียว ผลไม้ นม ไข่ ปลา ถั่วเปลือกแข็งและดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ หากต้องนั่งในห้องปรับอากาศทั้งวันให้นำแก้วใส่น้ำวางไว้ใกล้ๆ กับเครื่องปรับอากาศเพื่อเพิ่มความชื้น

สิวเสี้ยนและสิวอักเสบ

    สิวเกิดขึ้นเพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากไป ประกอบกับเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันในรูขุมขนทำให้เกิดเป็นสิวเสี้ยนที่มองเห็นเป็นจุดดำๆ บริเวณจมูก คาง และแก้ม แต่ถ้าหากมีน้ำมันและแบคทีเรียสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เกิดสิวอักเสบซึ่งมีลักษณะบวมแดงหรือเป็นหนอง 

    ในกรณีที่สาวๆ มีเวลาจำกัดแต่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยนอย่างเร่งด่วน ให้ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนแทนการบีบออกนะคะเพราะอาจทำให้สิวเสี้ยนกลายเป็นสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ควรใช้บ่อยเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์เพราะจะทำผิวให้ระคายเคือง ทางที่ดีควรทาครีมซึ่งมีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ (Retinoic Acid) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ความเข้มข้นต่ำก่อนเข้านอน สำหรับบางคนที่มีผิวแพ้ง่ายให้ทาทิ้งไว้ 10 – 20 นาทีแล้วล้างออกเพื่อช่วยละลายไขมันอุดตัน

สำหรับสิวอักเสบ ใครมียาแต้มที่ช่วยลดอาการบวมแดงอยู่แล้วก็สามารถทาได้เลย แต่ถ้าชอบวิธีรักษาแบบธรรมชาติ ให้ผสมผงขมิ้นละลายน้ำและน้ำผึ้งพอข้นเหนียว แต้มทิ้งไว้ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาดแล้วแต่งหน้าตามปกติ หากต้องการเพิ่มความมั่นใจด้วยการลงรองพื้นเพื่อช่วยปกปิดก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำมันผสมอยู่มาก

และเนื่องจากสิวคือปัญหาที่ทำให้สาวๆ หนักใจมากสุด เพราะฉะนั้นจึงขอปิดท้ายด้วยสูตรสยบสิวแบบไทยๆ ซึ่งมีน้ำซาวข้าวเหนียวเป็นตัวเอกเพราะอุดมด้วยธาตุสังกะสีช่วยลดปัญหาการเกิดสิว และยังมีน้ำมะนาวช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวแห้งและยุบตัวได้ดีดังนี้

ส่วนผสม :

 
ข้าวเหนียว 1 ถ้วย น้ำมะนาวคั้นสด 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำสะอาด 1 ลิตร

วิธีทำ :

 
ซาวข้าวเหนียวหนึ่งครั้งแล้วแช่ในน้ำ ใช้มือขัดข้าวเบาๆ จนน้ำเป็นสีขาวขุ่น รินเอาเฉพาะน้ำ เติมน้ำมะนาวลงไปแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดด้วยคลีนซิ่งก่อนนำน้ำซาวข้าวเหนียวที่ผสมไว้ล้างหน้าซ้ำอีกครั้งแล้วซับให้แห้ง ควรทำทุกเช้า-เย็น เพื่อช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้นค่ะ

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอคือ เคล็ดลับสำคัญสำหรับใบหน้าที่อ่อนเยาว์ 
และการนอนหลับพักผ่อนในช่วงเวลา ดี1- ตี3 ตับจะหลั่งสารเมลาโทนิน ที่ส่งผลให้หน้าอ่อนกว่าวัย

เมลาโทนิน หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ N-acetyl-5-methoxytryptamine ไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะกับการนอนหลับ  แต่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์  ระบบประสาท  ระบบต่อมไร้ท่อ  ระบบภูมิคุ้มกัน  ระบบการด้านออกซิเดชัน  รวมถึงกลไกการชราภาพของร่างกาย  โดยมีรายงานทั้งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองว่าเมลาโทนนินสามารถกำจัดอนุมูลอิสระ  มีฤทธิ์ต้านออกซิเดวัน  และลดการถูกทำลายของเซลล์ได้   ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวทำให้มีการศึกษาการใช้เมลาโทนินในการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น โรคอัลไซเมอร์  โรคพากินสัน  โรคหัวใจและหลอดเลือด  และโรคมะเร็ง  บทความนี้รวบรวมความรู้ปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้เมลาโทนินในผู้ป่วยมะเร็ง

การสร้างเมลานินของร่างกาย

เมลาโทนินถูกสร้างขึ้นในตอนกลางคืน  ตั้งแรกเวลา  21.00-22.00  น.  และถึงระดับสูงสุดเมื่อเวลา 02.00-04.00 น. และระดับฮอร์โมนเมลาโทนินที่สร้างก็จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น 

ความปลอดภัยของเมลาโทนิน 

เมลาโทนินถูกนำมาศึกษาวิจัยทางคลินิกอย่างจริงจังมากกว่า  40  ปี  และมีรายงานความปลอดภัยในการใช้ที่ดีในทางคลินิก  ทั้งในระดับเฉียบพลันและเรื้อรัง  ไม่มีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมหรือก่อให้เกิดมะเร็ง  และไม่พบความเป็นพิษต่อหนู  กระต่าย  แมว  และสุนัข  แม้ในขนาดสูง  800 มก./กก. ส่วนการศึกษาในคนไม่พบอาการข้างเคียงในการใช้เมลาโทนินขนาด 1-300  มก.  และไม่พบอาการข้างเคียงที่ร้ายแรง  และไม่พบอาการข้างเคียงที่ร้ายแรงของการใช้เมลาโทนินสูงถึง 1 กรัม เป็นเวลา 30  วัน ทำให้เราเห็นสารเมลาโทนินมีขายกันให้เกลื่อนในสหรัฐฯ เพราะถือเป็นหนึ่งในอาหารเสริม แต่สำหรับบ้านเราสารตัวดังกล่าวยังจัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางยา ซึ่งอาจต้องมีใบสั่งจากแพทย์จึงจะซื้อได้ อย่างไรก็ดี คุณไม่ควรทานเมลาโทนินเป็นประจำทุกวัน ควรทานเฉพาะวันที่มีปัญหาเรื่องการนอนเท่านั้น แต่กรณีที่นอนไม่หลับหรือคนแก่สุขภาพดีที่นอนไม่ค่อยหลับ ขนาดที่แนะนำต่อวันคือวันละ 1 – 3 มิลลิกรัม
                               
เมลาโทนินสามารถสังเคราะห์จากกรดอะมิโนชื่อทริปโตเฟน ซึ่งเจ้าทริปโตเฟนจะพบมากในนม โยเกิร์ต ไข่ งา เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง สาหร่ายเกลียวทอง ถั่วลิสง เนยถั่วลิสง เต้าหู้ ถั่วเหลือง ไก่งวง เนยแข็ง เนื้อปลาแซลมอน ช็อกโกแลต กล้วย ลูกพรุน และข้าวเหนียว ซึ่งถ้าวันใดรับประทานข้าวเหนียวส้มตำเป็นมื้อใหญ่ ก็อาจทำให้เกิดความง่วงได้ไม่ยาก
ทางที่ดีที่สุดที่จะรักษาวัฎจักรชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างสมดุล เราต้องรู้จักมีวินัยในการใช้ชีวิตค่ะ คือนอนให้เป็นเวลา ตื่นให้เป็นเวลา ที่สำคัญหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอนะค่ะ ^ ^

หลอกร่างกายให้สร้างคอลลาเจน… ง่ายนิดเดียว ขอบอก !!
อย่างที่เคยคุยกันไปแล้วว่า คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป้นโครงสร้างหลักของผิว ซึ่งผิวหนังชั้นหนังแท้ มีคอลลาเจนมากถึง 75% ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างยึดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูเรียบ ตึง ยืดหยุ่น แต่เมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี ร่างกายก็จะเริ่มสร้างคอลลาเจนได้ลดลง และลดลงทุกปี โดยเฉพาะเพศหญิง จะลดลงมากกว่าเพศชาย
ที่สำคัญคอลลาเจนต้องสร้างเองจากร่างกายเราเท่านั้น ไม่สามารถทาน ฉีด หรือทาผิวได้ แต่เรามีวิธีช่วยเพิ่มคอลลาเจน เพื่อคงความเต่งตึงแข็งแรงของผิวให้ดูอ่อนเยาว์ไปเนิ่นนาน ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ
                                            

หลอกร่างกายให้สร้างคอลลาเจน
หลอกร่างกายให้สร้างคอลลาเจน

                                      
ทานอาหารที่ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย (กรณีที่ร่างกายยังมีความสามารถสร้างคอลลาเจนได้อย่างดี – อายุน้อยกว่า 30ปี)

  1. อาหารหลักเลย เช่น ปลาทะเล ถั่วอัลมอนด์ อะโวคาโด ซึ่งอาหารกลุ่มนี้จะมี omega3 สูง
  2. อีกตัวหนึ่งที่แนะนำ คือ มะเขือเทศ เป็นที่รู้กันว่ามะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากมาย แต่ตัวสำคัญคือ สารไลโคปีน (lycopene) ซึ่งจะช่วยยับยั้งเอนไซม์คอลลาจีเนส (Collagenases) ที่จะเข้าไปทำลายชั้นคอลลาเจนค่ะ
  3. ตัวสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ วิตามินซี เพราะเป็นนางเอกที่สำคัญมาก วิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดีขึ้น และเป็นตัวที่ปกป้องไม่ให้คอลลาเจนจากเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่เราทานเข้าไปถูกทำลายก่อนที่ร่างกายจะได้ดูดซึม ดังนั้นห้ามขาดวิตามินซี
  4. การใช้เครื่องมือ และเทคโนโลยีเข้าช่วย (กรณีที่ร่างกายมีความสามารถสร้างคลอลาเจนได้ลดลง – อายุ 30 ปีขึ้นไป)
  5. การใช้หลักการคลื่น RF ในช่วงความถี่ต่ำที่ปลอดภัย โดยพลังงานจะถูกส่งผ่านชั้นผิวลงไป เพิ่มอุณหภูมิของผิวชั้นลึก เมื่ออุณหภูมิของผิวสูงขึ้น ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากขึ้นอีกด้วย
  6. การใช้ non ablative laserเป็นการกระตุ้นจากแสง ให้ผ่านลงไปถึงชั้นหนังแท้ โดยไม่ทำลายชั้นผิวหนังกำพร้า ทำให้ไม่เกิดแผล เช่นกลุ่ม Fine Scan, Ulthera, Thermage การรักษาโดยเทคโนโลยีเลเซอร์นี้ จะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี แต่ต้องทำซ้ำ 3-4 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และผิวจะคงสภาพได้นาน เป็นปี
  7. การร้อยไหมละลาย เป็นเทคนิคล่าสุด ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ เป็นการร้อยเส้นไหมละลาย PDO เข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง เพื่อหลอกให้ร่างกายรับรู้ว่ามีเส้นไหมอยู่ ร่างกายจะกระตุ้นเซลล์ที่สร้างเส้นใยคอลลาเจนให้สร้างคอลลาเจนมาพันรอบแนวเส้นไหมทำให้ผิวมีการดึงรั้ง ผิวจึงเต่งตึงกระชับ ใบหน้าเรียวเล็กลง และยังช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่ม จึงช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งไหมที่ร้อยจะสามารถละลายไปภายใน 6 เดือน จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัย นับว่าการร้อยไหมนอกจากจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนแล้วยังเป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวพร้อมกับยกกระชับให้รูปหน้าดูเรียวอีกด้วยค่ะ

ที่สำคัญการดูแลร่างกายและผิวพรรณ ต้องทำต่อเนื่องค่ะ เริ่มเร็วก็ได้เปรียบกว่า 
ถ้าเพื่อนๆ ยังมีคำถามเกี่ยวกับคอลลาเจน ลองปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจนะค่ะ  ^ ^

ไหมละลาย มีเกือบ 20 แบบ แล้วจะเลือกยังไง

สำหรับไหมละลายที่ใช้ร้อย  เพื่อยกกระชับผิว
เริ่มใช้กันมากว่า 6 ปีแล้วนะครับ และมาถึงปัจจุบันรูปแบบของไหมก็มีหลากหลายแบบมากขึ้น แต่จริงๆแล้วหลักการร้อยไหม ก็เหมือนๆ กันครับ คือจะร้อยเพื่อให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมารอบแนวเส้นไหมที่ร้อยไป เพื่อทำให้ผิวที่มีคอลลาเจน ดูยกกระชับมากขึ้นนั้นเองครับ

เทคนิคหลักๆ ของการร้อยไหมก็คือ

1. แนวแรกจะร้อยแนวเดียวกับกล้ามเนื้อ
2. แนวที่สองจะร้อยตั้งฉากกับแนวแรก

ปัจจุบันมีเส้นไหมหลากหลายแบบดังรูป
ปัจจุบันมีเส้นไหมหลากหลายแบบดังรูป

ปัจจุบันมีเส้นไหมหลากหลายแบบดังรูป และแถมมีการตั้งชื่อกันพิศดารมากมายครับ เช่นไหมกุหลาบ ไหมเงี่ยงจรเข้ ไหมปากฉลาม ซึ่งจริงๆแล้วลักษณะของเส้นไหมก็ไม่ได้ต่างกันมากมาย จากรูปข้างต้น

แบบไหนร้อยแล้วยกกระชับมากกว่ากัน

การร้อยโดยมากจะสานกันเป็นร่างแหเหมือนกัน เมื่อเกิดการสานกันก็จะเกิดแรงดึง หลายๆ แรงดึงจะเกิดเป็นแรงยก ฉะนั้นการใช้จำนวนเส้นไหมยิ่งมาก ยิ่งทำให้เกิดการสานและสร้างแรงดึงได้มากขึ้น
แต่ก็มีไหมบางประเภทที่ร้อยตามแนวกล้ามเนื้อ ไม่จำเป็นต้องสานเป็นร่างแห เนื่องจากในตัวไหม มีกรวย หรือมีปม ช่วยในการยกกระชับอยู่แล้ว จำนวนเส้นไหมที่ใข้การร้อยจึงน้อยกว่า การร้อยไหมมีตั้งแต่ 6 เส้นขึ้นไป บางคนใช้ 40 – 60 เส้น ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวที่หย่อนคล้อย และประเภทของไหม

ผิวหนังบริเวณที่มีการร้อยไหมเข้าไปจะเกิดการสร้างคอลลาเจน และหลอดเลือดเล็กๆ ใต้ผิวหนังนั้น จึงช่วยให้ผิวเต่งตึงขึ้น ไหมเส้นหนึ่งๆ จะมีขนาดเล็กมาก และไม่ยาวมากนัก โดยแต่ละเส้นจะมีขนาดตั้งแต่ 3-9 cm เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าร้อยทั้งหน้าและลำคอ ไหมบางชนิดอาจใช้มากถึง 100-150 เส้นเลยทีเดียว

แล้วต้องเลือกยังไงดี

ตอบว่า “ไม่ต้องเลือกเลยคะ” เพราะคุณหมอจะเป็นคนดีไซน์ ให้เองว่าปัญหาบริเวณไหนมากน้อย ขนาดไหน เหมาะกับไหมแบบไหน เช่นบริเวณหน้าผากที่เนื้อน้อย กับแก้มที่เนื้อเยอะกว่า ก็ใช้ไหมคนละแบบ บริเวณเหนียงใต้คาง ก็ควรร้อยอีกแบบ ดังนั้นเมื่อสาวๆ ตัดสินใจจะร้อยไหมแล้ว ให้เลือกที่คลินิก หรือคุณหมอที่เเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ดีกว่าคะ ^^

ข้อเสียของการร้อยไหมละ มีอะไรบ้าง

ข้อเสียของการร้อยไหม คือ เจ็บ แต่มีการฉีดยาชา และหลังจากร้อยไหม อาจอาการบวมแดง รอยช้ำตามแนวการสอดไหม
หากเจอคลินิกที่ ใช้ไหมที่ไม่ได้คุณภาพ อาจทำให้ไหมไม่ละลาย และจับตัวกันเป็นก้อน หรือมีหนองขึ้นตามไหม

ออกกำลังกายตอนไหนดีที่สุด

มักมีคนถามเรื่องช่วงเวลาของการออกกำลังกายที่ดีที่สุดอยู่เสมอๆ นะค่ะ บางท่านก็บอกว่าตอนเช้า บางท่านก็บอกว่าตอนเย็น ถ้าจะให้ตอบอย่างเป็นหลักการคงต้องอธิบายอย่างนี้ค่ะ
การออกกำลังกายจำเป็นต้องใช้พลังงาน เพื่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ แขน ขา ซึ่งพลังงานที่ว่านี้เราก็ได้มาจากการทานอาหารนั่นเอง ซึ่งโดยปกติหลังการกินอาหารอิ่มเต็มที่ ร่างกายยังไม่สามารถนำพลังงานไปใช้ได้ทันที ร่างกายต้องการเวลาในการย่อยที่กระเพาะ และลำไส้ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นอาหารถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ร่างกายก็จะจ่ายพลังงานไปยังส่วนต่างๆ ซึ่งถึงตอนนี้ ถ้าออกกำลังกายหนักๆ เชิ่นการวิ่ง เลือดก็จะมาเลี้ยงที่ขามากกว่าส่วนอื่นๆ ดังนั้น บางคนที่ออกกำลังกายแล้วรู้สึกวิงเวียน หน้ามืด เหมือจะเป็นลม ก็เกิดจากเลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะที่คุณกำลังใช้งานอยู่มากกว่าที่ไปเลี้ยงสมอง เลี้ยงเนื้อหัวใจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อตายเฉียบพลันจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงไม่ควรออกกำลังกายหลังการกินอาหารเสร็จใหม่ๆ ควรรอสัก 2-3 ชม. เพื่อให้อาหารถูกดูดซึมเข้าร่างกายก่อนค่ะ
            
ทีนี้สำหรับคนที่ออกกำลังกายตอนเช้า ร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่ส่วนน้อยที่จะทานอาหารก่อนมาออกกำลังกาย หลายท่านจะทานอาหารเย็นแล้วก็เข้านอน ร่างกายก็จะไม่ได้ใช้พลังงานตรงนี้ แต่ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่น น้ำตาลเปลี่ยน เป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็น ฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ ในเลือดแต่ตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ต่างๆ ตอนหลับ ให้เป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถออกกำลังกายได้ มาลองคิดดู ตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอาสารอาหารไปเก็บในอวัยวะต่างๆ แล้วตอนตื่นตับก็ยังต้องทำงานหนักอีกรอบเพื่อเปลี่ยนพลังงานกลับมาเป็นเลือดใหม่ ซึ่งถ้าออกกำลังกายทุกวัน นั่นหมายถึงว่าตับต้องทำงานมาก แทบไม่ได้พักเลย ซึ่งในระยะยาว ก็อาจจะทำให้ในตับมีแต่ไขมัน และกลายเป็นตับแข็งได้ 
ดังนั้นถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ควรจะต้องทานอาหารเสียก่อน แล้วรอ 2 ชม เป็นอย่างต่ำจึงไปออกกำลังกายได้ หรือเน้นการออกกำลังกายเบาๆ แทนเช่นการเดินจ๊อกกิ้ง หลังจากทานอาหารเบาๆ เช่น ข้าวต้ม 1 ถ้วย โอวัลติน 1 แก้ว เป็นต้น
แล้วลองมาดูคนที่ออกกำลังกายตอนเย็นกันค่ะ เรารู้อยู่แล้วว่า เราทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น 3 มื้อใน 1 วัน พลังงานเรามีเหลือเฟือ สามารถออกกำลังกายได้เลยทันที และดียิ่งขึ้นถ้าออกกำลังกายแล้วไม่ทานอะไรแล้ว แค่ดื่มน้ำก็จะรู้สึกไม่หิวแล้วค่ะ เพราะจริงๆ ตอนเย็นเราไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานในการนอนหลับ จึงไม่จำเป็นต้องเติมพลังงานเข้าไปเลย และจะไม่ทำให้อ้วน ไม่มีอาหาร ไม่มีไขมันเหลือค้างในหลอดเลือดทำให้ลดคอลเลสเตอรอลไปในตัว จากงานวิจัยของอเมริกาเมื่อ 2 ปีที่แล้วพบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น
ลองนำไปปรับดูนะคะ ว่าเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเราหรือไม่ หมอคิดว่าน่าจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์กับทุกท่านนะคะ 

ล้านไม่ล้าน เอาอะไรมาวัด
หลายคนเข้ามาปรึกษาหมอคะว่า ผมบางแบบนี้ควรกังวลไหม แล้วดูยังไงว่าแบบนี้มีปัญหา หรือปกติ ควรรักษา หรือยังก่อน
หมอขออธิบายตามนี้นะคะ

1

จริงๆ อาการผมคนเราสามารถร่วงได้ปกติ ประมาณ 100 เส้นต่อวันคะ ถ้าไม่ถึงก็ถือว่าปกติ แล้วถามว่าจะรู้ยังไงว่าเราร่วงผิดปกติ ง่ายมาก นับคะ ต้องนับกันเส้นต่อเส้นเลยคะ ถ้าคิดว่าผมเริ่มบาง แล้วเริ่มไม่มั่นใจ เริ่มมีคนทัก เราลองนับดูนะคะ พอตื่นนอนปุ๊ปดูว่ามีเส้นผมร่วงติดหมอนมั้ย อาบน้ำ แต่งตัว ช่วงเช้า มีผมร่วงแค่ไหน คือเก็บใส่ถุงซิบไว้เลยคะ ตั้งแต่เช้าจนเย็น แล้วก็เอามานับกันคะ (แต่ถ้าวันนั้นคุณสระผม อนุโลมให้ร่วงมากหน่ย อาจจะนับได้เกือบ  200 เส้น ถือว่าปกติไม่มีปัญหาคะ) และถ้านับแล้ว มันมากกว่า 100 เส้น ก็ควรเริ่มกังวลนะคะ หมอบอกเลยคะ รู้ก่อนรักษาได้ หายได้คะ เพราะฉะนั้นอย่าวางใจ ^^

2

ผิวหนังบริเวณศรีษะ มักมีอาการอักเสบบ่อยๆ เช่น มีแผล เป็นขุย มีรังแค หรือหนังศรีษะมัน อันนี้ก็เป็นอีกสัญญาณ เตือนว่า อาจจะมีปัญหาผมบางในอนาคต เพราะหนังศรีษะมัน มักเกิดจาก ฮอร์โมนดีเอชที (DHT–dihydrotestosterone) ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อรากผม โดยปกติในผู้หญิงจะมีปริมาณฮอร์โมนนี้อยู่ในน้อยกว่าผู้ชายค่ะ ทำให้เป็นเหตุผลนึงที่ผู้หญิงจะมีปัญหา หัวล้าน น้อยกว่าผู้ชาย

3

สังเกตุง่ายๆ ว่า เส้นผมจะเริ่มเส้นเล็กลง เมื่อเทียบกับเส้นผมบริเวณท้ายทอย ถ้าเล็กมากๆ ก็สันนิษฐานได้ว่า อนาคตอาจจะผมบางได้คะ เคสนี้ควรปรึกษาแพทย์นะคะ

4

ไม่มีอาการข้างต้นทั้ง 3 ข้อเลยคะ แต่มองแล้วหน้าผากเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ งั้นเราต้องวัดคะ หยิบไม้บรรทัดมานะคะ

  • ปกติ วัดจากหัวคิ้ว ถึงไรผม ไม่ควรเกิน 6 ซม
  • ถ้าวัดจากหัวคิ้วถึงง่ามผม ไม่ควรเกิน 8 ซม
  • แหวกผมตรงกลาง หรือบริเวณที่บาง รอยแสกไม่ควรกว้างเกิน 1 ซม
  • ถ้าวัดจากขวัญผม ไม่ควรกว้างเกิน 2 ซม

ทุกกรณี หมอขอย้ำนะคะ ถ้าพบเร็วและรักษาเร็ว สามารถรักษาได้คะ แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ ผิวหนังจะมีพังพืด มายึดบริเวณรากผม จะทำให้รักษายากขึ้น ที่สำคัญรากผมของคนเรา จะไม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นนะคะ ตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ มีมาเท่าไร ก็เท่านั้นเลยค่ะ แต่ในช่วงการเป็นทารกผมอาจมีสีอ่อน และเส้นบาง เมื่ออายุมากขึ้น ผมจะเส้นใหญ่และมีสีเข้มขึ้น อาจดูเหมือนผมเยอะขึ้น แต่จริงๆ แล้วคนเรามีรากผมเท่าเดิมนะคะ ไม่มากขึ้น ไม่ลดลงคะ เพราะฉะนั้นควรดูแล รักษาเส้นผมไว้ยิ่งชีพคะ ^^

สเต็มเซลล์ (stem cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิด

เซลล์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยประมาณแล้ว คนเราจะมีเซลล์อยู่ถึง 100 ล้านล้าน เซลล์ ประกอบเป็นอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเรา เซลล์เหล่านื้ทำหน้าที่ต่างกัน เพื่อให้ร่างกายทำงานอย่างเป็นระบบ เช่นการเต้นของหัวใจ การคิดในสมอง การกรองเลือดในไต หรือการทดแทนเซลล์ของผิวหลังจากที่แซลล์เก่าลอกออก  เป็นต้น

เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์คือเซลล์ชนิดพิเศษ ที่พบในร่างกายของคนเรา โดยพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิต สเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) มีศักยภาพ สามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัด และสามารถเปลี่ยนแปลง ไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิด ในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ และเซลล์เม็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญในการทดแทน และซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย

ทำไมสเต็มเซลล์ถึงสำคัญสำหรับสุขภาพของคุณ

โดยปกติแล้ว เมื่อร่างกายเติบโตจากวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ เซลล์ที่เคยแข็งแรงก็จะค่อยๆ อ่อนแอลง ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย หรือแสดงอาการผิดปกติออกมาครับ ในทุกๆ วัน ร่างกายของคนเราเซลล์จะตายอยู่ตลอดเวลา เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีอายุเพียง 120 วัน เซลล์ผิวหนังมีอายุ 28 วัน และในเวลาที่เราบาดเจ็บหรือป่วย เซลล์ของเราก็บาดเจ็บหรือตายด้วย  เมื่อเหตุการณ์พวกนี้เกิดขื้น สเต็มเซลล์ก็จะเตรียมพร้อมทำหน้าที่ซ่อมแซมบาดแผล และสร้างแซลล์ใหม่ เพื่อมาทดแทนแซลล์เก่า ที่ตายไปตามเวลา เพราะฉะนั้นสเต็มเซลล์สำคัญกับร่างกายเรามากๆ เพราะมันทำหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราแก่ก่อนอายุ สเต็มแซลล์ก็เป็นเหมือนกองทัพแพทย์ตัวเล็กๆ ในร่างกายเราเลยครับ

STEM CELL คืออะไร
รูปแสดงลักษณะของเซลล์แต่ละชนิดในร่างกาย

สำหรับคนที่ยังอายุน้อย สเต็มเซลล์จะสามารถแบ่งตัวมาทดแทนเซลล์ที่ตายเหล่านี้ได้ทัน ก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่อายุมากขึ้น ปริมาณสเต็มเซลล์ก็มีน้อยลงทำให้การทดแทนเซลล์น้อยลง ร่างกายคุณก็จะค่อยๆ เสื่อม ไปในทุกอวัยวะ หรือที่เรามักเรียกกันว่าโรคชราครับ

สเต็มเซลล์ เกิดขึ้นเมื่อไร

หลักการเรื่องสเต็มเซลล์ มีมานานเกือบ 100 ปี แล้วนะครับ เริ่มแรกคือสกัดจากสัตว์
โดยนายแพทย์ พอล นีฮาน ซึ่งได้รับยกย่อยให้เป็นบิดาของการทำ live cell therapy เริ่มจากการเอาเซลล์จากตัวอ่อนของแกะ มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพื่อช่วยรักษาฟื้นฟู โดยมีผลเป็นที่น่าพอใจ และวิธีดังกล่าวได้รับการจัดเป็นหนึ่งในการรักษา ของแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็พยายามศึกษาและพัฒนามาเรื่อยๆ จนเมื่อ 60 ปีที่แล้ว มีการนำเซลล์กระดูกมารักษาโรคเลือดจริงๆ เราก็เลยเรียกว่า Cell Therapy โรคที่รักษาแล้วเห็นผลอย่างมีนัยสำคัญ คือโรคเลือดบางประเภท ไขกระดูกเสื่อม ไขกระดูกฝ่อ โรคพันธุกรรมของระบบเลือดอันนี้รักษาแล้วหายจริงได้

แต่ก็ใช่ว่าจะใช้กันง่ายๆ ครับ เพราะต้องหาไขกระดูกที่เข้ากันได้ ขึ้นอยู่กับการรักษาแบบเคสต่อเคสด้วย เช่น ธาลัสซีเมียนั้น การปลูกถ่ายเซลล์ในเด็กจะได้ผลดีกว่าผู้ใหญ่ที่อายุเยอะ 

ทำไมคนหันมาสนใจสเต็มเซลล์

จากข้อจำกัดในช่วงแรกๆ ของการศึกษาและนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษา มีการพัฒนาและพบว่าปัจจุบันเราสามารถเอาสเต็มเซลล์มาจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเอามาจากไขกระดูก หลอดเลือด หรือรก ล้วนเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดทั้งนั้น ทำให้การรักษาโรคที่เกี่ยวกับเม็ดเลือดโดยตรง เช่นพวกมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ ภูมิคุ้มกันผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มีผลการรักษาที่ดี และได้รับการยอมรับมากขึ้น (อันนี้ถือเป็นมาตรฐานที่รักษามาแล้วทั่วโลกมาเกือบ 50 ปี ครับ) และข้อจำกัดเรื่องการ match cell ก็น้อยลง

ทำให้นักวิทยาศาสตร์และผู้คนหันมาให้ความสนใจ ใช้เซลล์มาทดลองรักษากลุ่มโรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรัง ซึ่งก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความหวังว่า อาจจะสามารถนำมาช่วยรักษาโรคต่างๆ ในมนุษย์ได้ควบคู่กับการรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียวครับ

การใช้สเต็มเซลล์เป็นสิ่งผิดจริยธรรม

ในระยะแรกๆ สเต็มเซลล์ที่นักวิทยาศาสตร์พบ เป็นสเต็มเซลล์ที่แยกมาจากไข่ ที่ได้รับการปฎิสนธิแล้ว (สเต็มเซลล์จากตัวอ่อน) โดยเอามาเพาะให้เป็นเซลล์ต่างๆ ได้แทบทุกชนิดครับ แต่จากการที่ไข่ได้รับการปฎิสนธิแล้ว ถือว่าชีวิตกำเนิดแล้ว ทำให้เกิดข้อโต้แย้งทางศีลธรรมอย่างมาก (ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ถึงกับออกกฎหมาย ปฎิเสธทุนวิจัยทางด้าน embryonic stem cell เลยครับ)

แต่ในปัจจุบันก็มีผู้ที่สนับสนุน และเห็นว่าไข่ที่ได้รับการปฎิสนธิแล้ว เพียง 5 วัน ยังไม่ได้สร้างอวัยวะใดๆ ไม่ถือว่ามีชีวิต และปัจจุบันการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ สามารถนำมาจากอวัยวะอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไข่ได้อีกมากมาย ทำให้เรื่องความรู้สึกผิดจริยธรรม ค่อยๆ เบาบางลง (และประธานาธิบดี โอบามา ก็ออกมาแก้กฎหมายดังกล่าว เรียบร้อยแล้วครับ)

แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าจนพบว่า มีแหล่งของสเต็มเซลล์อื่นๆ ที่สามารถนำมาศึกษาวิจัยได้ โดยสเต็มเซลล์เหล่านี้เรียกว่า Adult Stem Cells หรือสเต็มเซลล์เต็มวัย เช่นสเต็มเซลล์จากเลือด, สายสะดือ, รก, ไขกระดูก เป็นต้น ปัจจุบันปัญหาเรื่องจริยธรรมก็เลยตกไปครับ

 

The Face Aesthetic & Laser Clinic
ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ และการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อเกิดการพัฒนาแนวทางการรักษาอยู่ตลอดเวลา และด้วยความตั้งใจที่จะทำให้เกิดศุนย์ความงามที่มีประสิทธิภาพ ทีมแพทย์จึงรวมตัวกันและก่อกำเนิดคลินิก เดอะเฟส เอสเทติก ขึ้นมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือก และเป็นเสมือนเพื่อนที่คุณไว้ใจ ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา ปรึกษาได้ในทุกเรื่องความงาม

เพียงความถี่ของลำแสงเลเซอร์ ความยาวของคลื่น ความเร็วในการยิง
จำนวนประจุในการปล่อยสู่ผิว ที่แตกต่างทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เรามั่นใจในเทคโนโลยีเยอรมันเท่านั้น

The Face Aesthetic เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ ทางคลินิกจึงให้ความสำคัญในเรื่องเครื่องมือ และเวชภัณฑ์ที่ใช้มากที่สุด The Face Aesthetic จึงคัดสรรเฉพาะเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน และผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือที่ให้บริการในคลินิกมีความปลอดภัยสูงสุด ด้วยความทุ่มเทของทั้งทีมแพทย์ และทีมงานทุกฝ่าย เราพร้อมให้บริการที่ดีที่สุด และมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถแก้ปัญหาผิวพรรณของท่านได้อย่างตรงจุด