Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่มีอยู่แล้วในผิวของเรา
มีอยู่ทั่วไปตามร่างกาย และโดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างอวัยวะและเซลล์ ลักษณะจะหยุ่นๆ เหนียวๆ ครับ ประโยชน์ของมันคือเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่น เช่นจุดเชื่อมต่อบริเวณหัวเข่า ถ้าขาดสารตัวนี้ จะมีผลทำให้การเดินจะเจ็บปวดเพราะว่าไม่มีตัวช่วยลดการเสียดสีระหว่างกระดูกข้อต่อนั่นเองครับ หน้าที่หลักๆ ของเจ้าตัว Hyaluronic นี่ก็คือมันจะเก็บกักความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง เมื่อผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวาครับ
ประโยชน์ของ กรดไฮยาลูรอนิค ที่มีต่อผิวหน้า
แต่สำหรับผิวหน้าของเรานั้น กรดตัวนี้จะมีหน้าที่ต่างกันครับ โดยหน้าที่หลักๆ มันจำช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นให้กับผิว โดยมันมีฤทธิในการดูดน้ำใต้ผิว ให้มาอยู่บริเวณผิวหนังชั้น dermis (ผิวชั้นล่าง) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้น epidermis (ผิวหนังชั้นบน) ทำให้ผิวชุ่มน้ำ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนกว่าเยาว์ ดูเนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวาครับ
กรดไฮยาลูรอนิค (HYALURONIC ACID) ยังช่วยให้รักษาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วกว่าเดิม 80% อีกด้วยครับ
นั่นหมายความว่าผิวจะสามารถสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ผลดีอีกข้อนั่นก็คือการช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นด้วย (plump effect) และโดยปรกติการไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ตามธรรมชาติ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิคนั้นจะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวในส่วนนั้น และยังช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้นครับ
แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ 30-40 ขึ้นไป การผลิตกรดไฮยาลูรอนิคของผิวเราตามธรรมชาติก็ลดลงไปด้วยครับ ผลก็คือผิวสูญเสียความชุ่มชื่น ผิวแห้งขึ้น และขาดความยืดหยุ่น ผลที่ตามมา ก็คือริ้วรอย ร่องผิว ความเหี่ยว หย่อน คล้อย ครับ
กรดไฮยาลูรอนิค เหมือนกับ COLLAGEN คลอลาเจน ไหม
มันเป็น คนละตัวกันครับ แต่ค่อนข้างคล้ายกัน คือช่วยให้ผิวยืดหยุ่น ชุ่มชื่น คอลลาเจนจะเป็นโปรตีนตัวหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว จริงๆ แล้วคอลลาเจนโปรตีนมีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเราจะอยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้คอลลาเจนทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิว ทำให้ผิวแข็งแรง และเรียบเนียนและอยู่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ “อิลาสติน”ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงสร้างของผิว และทำให้ผิวเต่งตึงอิลาสตินจะมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอยครับ แต่ไฮยาลูรอนิคจะเหมือนฟองน้ำคลุม คอลลาเจนอีกทีครับ
แล้วไฮยาลูรอนิค หรือ คอลลาเจนดีกว่ากัน
จริงๆ แล้วมันทำหน้าที่คนละแบบครับ แต่ค่อนข้างคล้ายกัน อาจจะต้องมาดูว่าปัญหาผิวของคุณคืออะไร สำหรับผิวขาดน้ำ ผิวขาดน้ำเกิดขึ้นได้กับผิวทุกประเภทไม่เว้นแม้กระทั่งผิวมัน หลายคนผิวข้างนอกมันเยิ้มแต่เนื้อในกลับแห้ง ผิวประเภทนี้มักแพ้ง่ายอีกด้วย การให้น้ำกับผิวเป็นวิธีพื้นฐานที่ฟื้นฟูผิว และดีสำหรับคนที่ผิวมัน ผิวแพ้ง่ายเพราะไม่เพิ่มความมันบนใบหน้า และฟื้นฟูให้ผิวแข็งแรงมีภูมิต้านทานขึ้น การให้น้ำกับผิวหรือสภาพผิวที่มีน้ำในผิวสมดุลจะเปล่งปลั่งสดใสมีชีวิตชีวา นุ่มเนียน ผิวแข็งแรงขึ้น อีกทั้งส่งผลให้การแต่งหน้าเรียบเนียนติดทนขึ้นด้วย นอกจากประโยชน์ที่ทำให้ถูกใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ความอ่อนโยนของสารตัวนี้ยังสามารถใช้ได้กับผิวทุกประเภท เหตุนี้เองมันจึงเป็นสารที่ใช้ปลอบประโลมผิวที่ปลอดภัยซึ่งจัดอยู่ในอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้อย่างสบายใจ ส่วนคอลลาเจน ตอนนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการทาน หรือการการทาจะเห็นผลอย่างไร เท่าไร เพราะโดยปกติคอลลาเจน
แล้วเราจะแพ้ไฮยาลูรอนิค ไหมเพราะมันเป็นกรด
เรื่องการแพ้ แทบจะไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะทางการแพทย์ได้ทำการทดสอบ และได้รับมาตรฐานจาก อย เรียบร้อยแล้ว แทบจะพูดได้ว่าสาร Hyaluronic ที่สกัดมาคล้ายกับกรดไฮยาลูรอนิคที่ร่างกายเราสร้างขี้นเอง ทำให้อาการแพ้แทบจะไม่พบเลยครับ และกรณีที่เราฉีดลงผิวมันจะสลายไปพร้อมกระบวนการขับของเสียของร่างกายเราตามปกติ ยิ่งทำให้มั่นใจได้ครับว่าไม่ตกค้าง ไม่อันตรายแน่นอน
การฉีดแบบ MESO FILLER
ล่าสุด Filler ได้ถูกพัฒนาขึ้น ให้ฉีดแบบเมโสเธอราปี (Mesotherapy) ซึ่งเป็นการใช้เข็มค่อยๆ ผลักตัวยาลงไปใต้ชั้นผิวทีละจุดๆ ทั่วทั้งหน้า เพื่อเติมเต็มทำให้ผิวเอิบอิ่ม กระชับผิวให้เต่งตึง และด้วยวิธีการนี้จะช่วยในการรักษาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นได้ในบางราย โดยไม่ทิ้งรอยแผล ไม่เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ ไม่ต้องหลบแดด สำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว การฉีด Filler เทคนิคใหม่สำหรับรักษาหลุมสิว จะต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อฉีดสารฟิลเลอร์ตามจุดที่ผิวเป็นหลุมสิว หรือร่องสิว อาจจะต้องรักษาร่วมกับการทำ subcision เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและพอใจขึ้นครับ
เมื่อไรจึงจะเห็นผล และผลการรักษาด้วย FILLER อยู่ได้นานแค่ไหน
เห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด Filler และจะเห็นได้ชัดว่ารอยหลุมสิวตื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้นหลังฉีดไปประมาณ 1 สัปดาห์ ผลการรักษาด้วย Filler อยู่ได้นานประมาณ 8 เดือน ถึง 1.5 ปีครับ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ FILLER เป็นอย่างไร
เริ่มจากการทำความสะอาดผิวหน้า จากนั้นแพทย์จะทายาชาเพื่อลดความเจ็บในการฉีด หลังจากฉีดเสร็จ แพทย์จะประคบเย็นแล้วแต่กรณี ซึ่งหลังการรักษาจะเห็นชัดเจนว่า หลุมสิว ตื้นขึ้น ริ้วรอย เล็กๆ หายไป ใบหน้าดูเข้ารูปมากขึ้น
ขณะฉีดฟิลเลอร์ FILLER จะรู้สึกอย่างไรบ้าง
อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยบางบริเวณ ไม่มากเหมือนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และเนื่องจาก filler ตัวใหม่ๆ มียาชาผสมอยู่แล้ว จึงช่วยลดอาการเจ็บได้มากทีเดียวครับ
![](https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/wp-content/uploads/2018/08/filler-scar-1.jpg)
รูปแสดง การรักษาด้วย Finescan, subcision และ Filler
![](https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/wp-content/uploads/2018/08/Filler-scar-2.jpg)
รูปแสดง การรักษาด้วย Finescan และ Filler
![](https://www.wichaiyuangkaew.com/thefaceaesthetic/wp-content/uploads/2018/08/filler-scar-3.png)
รูปแสดงการรักษาด้วย Filler และ subskin
THE FACE AESTHETIC ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้ออะไร ปลอดภัยแค่ไหน
เดอะเฟสจะใช้ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane Perlane จากประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น และฟิลเลอร์ของยี่ห้อนี้ได้รับใบอนุญาติ ผ่านอย. แล้วทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีคนฉีดทั่วโลกเกือบ 20 ล้านคนในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ ว่ามีความปลอดภัยสูงสุดคะ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าตัวสารฟิลเลอร์จะมีความปลอดภัย แต่เหนือสิ่งอื่นใด การฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นการเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันคะ