ส่งมอบชุดอุปกรณ์แก๊สชีวภาพ
ส่งมอบชุดอุปกรณ์แก๊สชีวภาพ
ส่งมอบชุดอุปกรณ์แก๊สชีวภาพ

พลังงานทดแทน

พลังงานทดแทน

พลังงานทดแทนโดยทั่วไปหมายถึงพลังงานที่มีอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติและสามารถมีทดแทนได้อย่างไม่จำกัด (เมื่อเทียบกับพลังงานหลักในปัจจุบัน เช่น น้ำมันหรือถ่านหิน)

ตัวอย่างพลังงานทดแทนที่สำคัญเช่น พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ ไบโอฟิล พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง พลังงานคลื่น และพลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานจากกระบวนการชีวภาพเช่น บ่อก๊าซชีวภาพ เป็นต้น

พลังงานลมมีอัตราเพิ่มขึ้นด้วยอัตรา 30% ต่อปี โดยพลังงานที่ได้ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 157,900 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 2552[1]

พลังงานทดแทนอีกประเภทหนึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วสามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อีก เรียกว่า พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้ำ และไฮโดรเจน เป็นต้น ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะศักยภาพ และสถานภาพการใช้ประโยชน์ของพลังงานทดแทน การศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นการศึกษา ค้นคว้า ทดสอบ พัฒนา และสาธิต ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่นๆ เพื่อให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม

สำหรับผู้ใช้ในเมือง และชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าว ยังรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์เพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย งานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรงภายใต้แผนงานนี้คือ โครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงาน และมีความเชื่อมโยงกับแผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทนจะเป็นงานประจำที่มีลักษณะการดำเนินงานของกิจกรรมต่างๆ ในเชิงกว้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ทั้งในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอุปกรณ์เครื่องมือทดลอง และการทดสอบ รวมถึงการส่งเสริมและเผยแพร่ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุน และรองรับความพร้อมในการจัดตั้งโครงการใหม่ๆ ในโครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงานและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น การติดตามความก้าวหน้าและร่วมมือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น และเป็นงานส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่กำลังดำเนินการให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการที่เสร็จสิ้นแล้วได้นำผลไปดำเนินการส่งเสริม และเผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมต่อไป

ประเภทของพลังงานทดแทน

ในปัจจุบันเรื่องพลังงานเป็นปัญหาใหญ่ของโลก และนับวันจะมีผลกระทบรุนแรงต่อมวลมนุษยชาติมากขึ้นทุกที การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการร่วมหาหนทางแก้ไข ทำการศึกษา ค้นคว้า สำรวจ ทดลอง ติดตามเทคโนโลยีอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนำพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีใหม่ๆในด้านพลังงานทดแทนเข้ามาใช้ในประเทศไทยต่อไป โดยคำนึงถึงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมซึ่งพอจะจำแนกประเภทของพลังงานทดแทนได้ดังนี้

พลังงานแสงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์ให้พลังงานจำนวนมหาศาลแก่โลกของเรา พลังงานจากดวงอาทิตย์จัดเป็นพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญที่สุด เป็นพลังงานสะอาดไม่ทำปฎิกิริยาใดๆอันจะทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เซลล์แสงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็คทรอนิคส์ชนิดหนึ่ง ที่ถูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า เนื่องจากสามารถเปลี่ยนเซลล์แสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง ส่วนใหญ่เซลล์แสงอาทิตย์ทำมาจากสารกึ่งตัวนำพวกซิลิคอน มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้สูงถึง 22 เปอร์เซนต์

ในส่วนของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ในเกณฑ์สูง พลังงานโดยเฉลี่ยซึ่งรับได้ทั่วประเทศประมาณ 4 ถึง 4.5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรต่อวัน ประกอบด้วยพลังงานจากรังสีตรง (Direct Radiation) ประมาณ 50 เปอร์เซนต์ ส่วนที่เหลือเป็นพลังงานรังสีกระจาย (Diffused Radiation) ซึ่งเกิดจากละอองน้ำในบรรยากาศ(เมฆ) ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าบริเวณที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรออกไปทั้งแนวเหนือ – ใต้

พลังงานลม

เป็นพลังงานธรรมชาติที่เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ 2 ที่ ซึ่งสะอาดและบริสุทธิ์ใช้แล้วไม่มีวันหมดสิ้นไปจากโลก ได้รับความสนใจนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกัน กังหันลมก็เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่สามารถนำพลังงานลมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยเฉพาะในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในการสูบน้ำ ซึ่งได้ใช้งานกันมาแล้วอย่างแพร่หลายพลังงานลมเกิดจากพลังงานจากดวงอาทิตย์ตกกระทบโลกทำให้อากาศร้อน และลอยตัวสูงขึ้น อากาศจากบริเวณอื่นซึ่งเย็นและหนาแน่นมากกว่าจึงเข้ามาแทนที่ การเคลื่อนที่ของอากาศเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เกิดลม และมีอิทธิพลต่อสภาพลมฟ้าอากาศในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวฝั่งทะเลอันดามันและด้านทะเลจีน(อ่าวไทย) มีพลังงานลมที่อาจนำมาใช้ประโยชน์ในลักษณะพลังงานกล (กังหันสูบน้ำกังหันผลิตไฟฟ้า) ศักยภาพของพลังงานลมที่สามารถ นำมาใช้ประโยชน์ได้สำหรับประเทศไทย มีความเร็ว อยู่ระหว่าง 3 – 5 เมตรต่อวินาที และความเข้มพลังงานลมที่ประเมินไว้ได้อยู่ระหว่าง 20 – 50 วัตต์ต่อตารางเมตร

พลังงานความร้อนใต้พิภพ

น้ำร้อนที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าแล้วนั้น แม้อุณหภูมิจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการอบแห้ง และใช้ในห้องเย็นสำหรับเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรได้ นอกจากนั้น น้ำที่เหลือใช้แล้วยังสามารถนำไปใช้ในกิจการเพื่อกายภาพบำบัด และการท่องเที่ยวได้อีก ท้ายที่สุดคือ น้ำทั้งหมดซึ่งยังมีสภาพเป็นน้ำอุ่นอยู่เล็กน้อย จะถูกปล่อยลงไปผสมกับน้ำตามธรรมชาติในลำน้ำ ซึ่งนับเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำให้กับเกษตรกรในฤดูแล้งได้อีกทางหนึ่งด้วย

พลังงานชีวมวล

เชื้อเพลิงที่มาจากชีวะ หรือสิ่งมีชีวิตเช่น ไม้ฟืน แกลบ กากอ้อย เศษไม้ เศษหญ้า เศษเหลือทิ้งจากการเกษตร เหล่านี้ใช้เผาให้ความร้อนได้ และความร้อนนี้แหละที่เอาไปปั่นไฟ นอกจากนี้ยังรวมถึงมูลสัตว์และของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร เช่น เปลือกสับปะรดจากโรงงานสับปะรดกระป๋อง หรือน้ำเสียจากโรงงานแป้งมัน ที่เอามาหมักและผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ โดยเหตุที่ประเทศไทยทำการเกษตรอย่างกว้างขวาง วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ชานอ้อย กากมะพร้าว ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก (เทียบได้น้ำมันดิบปีละไม่น้อยกว่า 6,500 ล้านลิตร) ก็ควรจะใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้

ในกรณีของโรงเลื่อย โรงสี โรงน้ำตาลขนาดใหญ่ อาจจะยินยอมให้จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าต่างๆในประเทศ ในลักษณะของการผลิตร่วม (Co-generation) ซึ่งมีใช้อยู่แล้วหลายแห่งในต่างประเทศโดยวิธีดังกล่าวแล้วจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานในประเทศสำหรับส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้นทั้งนี้อาจจะรวมถึงการใช้ไม้ฟืนจากโครงการปลูกไม้โตเร็วในพื้นที่นับล้านไร่ ในกรณีที่รัฐบาลจำเป็นต้องลดปริมาณการปลูกมันสำปะหลัง อ้อย เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวทางด้านการตลาดของพืชทั้งสองชนิด อนึ่ง สำหรับผลิตผลจากชีวมวลในลักษณะอื่นที่ยังใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ เช่น แอลกอฮอล์ จากมันสำปะหลัง ก๊าซจากฟืน(Gasifier) ก๊าซจากการหมักเศษวัสดุเหลือจากการเกษตร(Bio Gas) ขยะ ฯ หากมีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ก็อาจนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าได้เช่นกัน

พลังงานน้ำ

พื้นผิวโลกถึง 70 เปอร์เซนต์ ปกคลุมด้วยน้ำ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย น้ำเหล่านี้มีการเปลี่ยนสถานะและหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ระหว่างผิวโลกและบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า วัฏจักรของน้ำ น้ำที่กำลังเคลื่อนที่มีพลังงานสะสมอยู่มาก และมนุษย์รู้จักนำพลังงานนี้มาใช้หลายร้อยปีแล้ว เช่น ใช้หมุนกังหันน้ำ ปัจจุบันมีการนำพลังงานน้ำไปหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า

พลังงานจากขยะ

พลังงานจากขยะจากบ้านเรือนและกิจการต่างๆ เป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูง ขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมวลชีวภาพ เช่น กระดาษ เศษอาหาร และไม้ ซึ่งสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าที่ถูกออกแบบให้ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงได้ บริษัท โรงไฟฟ้าแม่สอด จำกัด โรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง จะนำขยะมาเผาบนตะแกรง ความร้อนที่เกิดขึ้นใช้ต้มน้ำในหม้อน้ำจนกลายเป็นไอน้ำเดือด ซึ่งจะไปเพิ่มแรงดันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าพลังงานจากขยะ

ประเทศไทยประสพปัญหาการจัดการขยะชุมชนมาช้านาน จากการเติบโตทางด่านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้เกิดปัญญาขยะเพิ่มมากขึ้น ในระยะแรกการฝังกลบเป็นวิธีที่นิยมกันมา แต่ปัจจุบันพื่นที่สำหรับฟังกลบหายากขึ้น และบ่อฝังกลบยังก่อให้เกิดมลภาวะตามมา น้ำเสียจากกองขยะ ทำให้น้ำบนดินและน้ำบาดาลไม่สามารถนำมาบริโภคได้ อีกทั้งกลิ่นเหม็นจากกองขยะก็รบกวนความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จากปัญหาการฝังกลบขยะทำได้ยากขึ้น การกำจัดโดยการเผา เป็นวิธีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และเป็นประโยชน์จากขยะมากที่สุด น่าจะเป็นทางเลือกที่นำมาใช้

เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน “ถามว่าเมืองไทย มีศักยภาพแค่ไหนในการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ถ้าวัดที่ปริมาณ “ขยะ” ก็ต้องบอกว่ามีเหลือเฟือ “

ปริมาณขยะที่มากมายนี้ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของสังคมมากมาย

การคัดแยกขยะจะมีส่วนช่วยลดปริมาณขยะในส่วนที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ประหยัดงบประมาณในการทำลายขยะ สงวนทรัพยากร ประหยัดพลังงานและช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้ ประเทศไทยมีปริมาณขยะชุมชนเพิ่มขึ้นโดยตลอด หากไม่มีการนำขยะไปใช้ประโยชน์ ในสัดส่วนที่มากขึ้นในปี 2558 จะมีปริมาณขยะต่อวันถึง 49,680 ตัน หรือ 17.8 ล้านตัน ต่อปีปัจจุบันมีการคิดค้นเทคโนโลยีกำจัดขยะที่สามารถแปลงขยะเป็นพลังงานและใช้ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้แก่

  • เทคโนโลยีการฝังกลบ และระบบผลิตก๊าชชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะ (Landfill Gas to Energy)
  • เทคโนโลยีเตาเผาขยะ(Incineration)
  • เทคโนโลยีการผลิตก๊าชเชื้อเพลิงจากขยะชุมชน (Municipal Solid Waste Gasification: MSW)
  • เทคโนโลยีย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion)
  • เทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงขยะ(Refuse Derived Fuel : RDF)
  • เทคโนโลยีพลาสมาอาร์ก (Plasma Arc)
  • เทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง

ข้อดีของการผลิตไฟฟ้าจากขยะ คือ เป็นแหล่งพลังงานราคาถูก ช่วยลดปัญหาการกำจัด ขยะแต่ก็มีข้อจำกัดเช่น โรงไฟฟ้าขยะมักได้รับการต่อต้านจากชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง เทคโนโลยีบางชนิดใช้เงินลงทุนสูง มีค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะให้เหมาะสมก่อนนำไปแปรรูปเป็นพลังงาน ต้องมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการกับฝุ่นควันและสารที่เกิดขึ้นจากการเผาขยะ อีกทั้งข้อจำกัดทางด้านการเป็นเจ้าของขยะ เช่น ผู้ลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าอาจไม่ใช่เจ้าของขยะ (เทศบาล) ทำให้กระบวนการเจรจาแบ่งสรรผลประโยชน์มีความล่าช้า

โดยเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงไฟฟ้าก็คือ แก๊สมีเทน ซึ่งได้มาจากการย่อยสลายของกองขยะและสิ่งปฏิกูลตามธรรมชาติ ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยแก๊สที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกจากการเผา และยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (Fossil fuel) ที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยทางประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่า โรงไฟฟ้าพลังงานขยะจะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันของประเทศได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1.37 ล้านตันต่อปี

พลังงานจากขยะ

พลังงานจากขยะจากบ้านเรือนและกิจการต่างๆ เป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูง ขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมวลชีวภาพ

เช่น กระดาษ เศษอาหาร และไม้ ซึ่งสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าที่ถูกออกแบบให้ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงได้ ที่เมืองบัลโม ประเทศสวีเดน ไฟฟ้าที่ใช้ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ มาจากการเผาขยะ โรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง จะนำขยะมาเผาบนตะแกรง ความร้อนที่เกิดขึ้นใช้ต้มน้ำในหม้อน้ำจนกลายเป็นไอน้ำเดือด ซึ่งจะไปหมุนกังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เหมือนกับโรงไฟฟ้าอื่นๆ) “ที่ผ่านมาเรารวบรวมขยะ คัดแยก และปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำขยะชนิดต่าง ๆ เข้าสู่การรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ แต่จะมีขยะอีกจำนวนที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ แต่พอมีโรงงานไฟฟ้า ปัญหาดังกล่าวหมดไป เพราะขยะต่าง ๆ จะนำมาใช้เป็นขยะเชื้อเพลิง (refuse derived fuel) เป็นขยะแห้ง ที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ ให้เกิดค่าความร้อนสูง นับเป็นการสำรองพลังงานไว้ใช้ ซึ่งหัวใจหลักของพลังงานสะอาดอยู่ที่ความสามารถในการรวบรวมไว้ แบบประหยัด และปรับปรุงคุณภาพให้ได้ความร้อนที่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากนั้นเข้าสู่การปรับปรุงคุณภาพ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงทดแทน ที่มีคุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง ด้วยมาตรการการควบคุมมลพิษที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ไฟฟ้าที่ได้จากเชื้อเพลิง RDF มีความสามารถ ในการผลิตกระแสไฟฟ้าถึง 1 เมกวัตต์ ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานได้ในชุมชนขนาดเล็กถึง 300 หลังคาเรือน นับเป็นพลังงานสะอาดที่มีค่าความร้อนสูง และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เตาเผาชีวมวล ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะไม่ว่าจะจากอะไรก็แล้วแต่ มันต้องใช้เตาเผาระบบปิดซึ่งก็มีหลากหลายแบบซึ่งขึ้นกับการออกแบบให้สอดคล้องกับวัตถุดิบที่จะนำไปเข้าเตา เพื่อที่จะได้ควบคุมปริมาณแก๊สที่ได้จากการเผาในอุณหภูมิสูง โดยแก๊สที่ผลิตได้เราเรียกรวมๆกันว่าแก๊สชีวมวล หรือ จะเรียกว่า Syngas ก็ได้ครับ แต่ผมชอบคำหลังมากกว่า โดยทั่วไปในการผลิต Syngas เราจะได้แก๊สมีเทน, คาร์บอนไดออกไซด์, ไฮโดรเจน, คาร์บอนมอนอกไซด์ รวมไปถึงน้ำด้วย ตามหลักการสันดาปแล้วในการเผาไหม้อะไรก็แล้วแต่จะจำแนกได้เป็นสองแบบคือ สันดาปแบบสมบูรณ์ กับไม่สมบูรณ์ ใช่ไหมครับ ซึ่งในการเผาไหม้จะออกมารูปไหนก็แล้วแต่ปริมาณออกซิเจน (ก๊าซช่วยให้ไฟติด) ถ้ามีมากเกินพอจะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถ้ามีน้อยเราก็จะได้ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาด้วย

ดูเพิ่ม

  • พลังงาน http://th.wikipedia.org/wiki/พลังงาน
  • พลังงานน้ำ http://th.wikipedia.org/wiki/พลังงานน้ำ
  • พลังงานแสงอาทิตย์ http://th.wikipedia.org/wiki/พลังงานแสงอาทิตย์

 

วิวัฒนาการพลังงานไทย คือ วิวัฒนาการพัฒนาชาติ

ประวัติการพัฒนาพลังงานไทย

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411 – พ.ศ.2453) นั้น วิทยาการสมัยใหม่ต่างๆ ได้เข้ามาในประเทศไทย ทำให้ประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้าน ในช่วงนั้นถือว่าเป็นสยามยุคพัฒนา สังคมไทยเปลี่ยนไปจากเดิมเริ่มมีการก่อสร้างสาธาณูปโภคต่างๆ เช่น โทรศัพท์ ไปรษณีย์ โทรเลข โรงพยาบาล รถราง รถไฟ รวมไปถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่น ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า น้ำมัน ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทย กลายมาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในที่สุด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ” วิวัฒนาการพลังงานไทย”

 

แหล่งพลังงานของประเทศ การวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคต

แหล่งพลังงานของประเทศ

จากความสำเร็จในการสำรวจปิโตรเลียมของประเทศไทย ทำให้ถึงแม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะยังต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรพลังงานจากต่างประเทศโดยเฉพาะน้ำมันดิบ แต่สัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากการนำเข้าก็ลดลงจากที่ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2524 ประมาณ 90% ของปริมาณการใช้พลังงานขั้นต้นของประเทศขึ้นอยู่กับน้ำมันเชื้อเพลิงนำเข้า ในปัจจุบันตัวเลขสัดส่วนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงมาอยู่ที่ 49% ของปริมาณการใช้พลังงานขั้นต้น ทำให้ช่วยลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศและเป็นการสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานของประเทศ

โครงสร้างการใช้พลังงาน

สำหรับรายละเอียดของข้อมูลแหล่งพลังงานของประเทศไทย และการวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ “แหล่งพลังงานของประเทศ”

 

ภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน

ปี 2007 อาจเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลก วิกฤตความแห้งแล้งในออสเตรเลีย พายุ ใต้ฝุ่นในเอเชีย ภาวะน้ำท่วมที่ลาตินอเมริกา เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสัญญาณบอกเหตุของปรากฏการณ์ เอลนีโญ่ (El Nino) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้สภาวะที่อากาศและสภาพแวดล้อมทางทะเลบริเวณ ตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกเขตร้อนแปรปรวน โดยมีสาเหตุเกิดจากการอ่อนตัวของลมสินค้า (Trade wind) ที่มักจะเกิดขึ้นทุกๆ 2-7 ปี

นักอุตุนิยมวิทยาชาวอังกฤษได้พยากรณ์ผลกระทบที่จะเกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ที่มีแนวโน้มว่ากำลังจะเกิดขึ้นควบคู่กับสภาวะบรรยากาศที่มีระดับก๊าซ เรือนกระจกสูงไว้ว่า จะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กับระบบนิเวศน์ และยังทำให้ปี 2007 นี้กลายเป็นปีมีร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย “แค่ปรากฏการณ์เอลนีโญ่ เพียงอย่างเดียวก็ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นไปเหนือกว่าในอดีตแล้ว” Phil Jones, นักวิจัยด้านอุตุนิยมวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย East Anglia กล่าว

ในอดีตที่ผ่านมา ปี 1998 เป็นปีที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในรายงาน ซึ่งในอุณหภูมิโลกเฉลี่ยปีนั้นมีค่าสูงกว่าค่า อุณหภูมิเฉลี่ยระยะยาวที่ 57 องศาฟาเรนไฮต์ไป 0.52 องศา ซึ่งอาจดูเหมือนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ความรุนแรงของลมพายุจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการรวมตัวของพายุกับไอน้ำที่ระเหย จากผิวน้ำทะเล จะทำให้พายุมีกำลังเพิ่มขึ้นและก่อให้เกิดความเสียหายที่มากขึ้นตามมา

ซึ่งในปี 2007 นี้ นักอุตุนิยมวิทยาได้ทำนายว่าการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปีนี้จะสูงที่สุด เท่าที่เคยมีมาว่า มีโอกาสสูงถึง 60% ที่จะเกิดสภาวะนี้ขึ้นได้ โดยผลกระทบที่ทั่วโลกที่จะตามมาก็คือ อุณหภูมิบรรยากาศที่สูงขึ้นนั่นเอง

สำหรับปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่เกิดขึ้นอย่างไม่แน่นอน และกำลังเกิดขึ้นในเขตมหาสุทรแปซิฟิกในขณะนี้ น่าจะสิ้นสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะทำให้มีอุณหภูมิสูงในช่วงฤดูหนาวที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาวะแห้งแล้งในช่วงฤดูร้อนที่ออสเตรเลีย และลมพายุจากมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีกำลังลมแรงขึ้น ซึ่งทาง U.N.’s Food Aid Organization ออกมาประกาศเตือนเรื่องผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นว่าอาจทำให้เกิดความ เสียหายอย่างรุนแรงทางเกษตรกรรมได้

ในขณะที่ประเทศออสเตรเลียกำลังตกอยู่ในสภาวะแห้งแล้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผลกระทบหลักๆจากสภาวะแห้งแล้งนี้ก็คือ ความเสียหายของผลผลิตทางเกษตรกรรม ซึ่งมีผลทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น รวมไปถึงการขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่จนทำให้เกษตรกรได้รับความเสียหายไปจน เสี่ยงกับสภาวะล้มละลายได้

ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่นั้นค่อนข้างไม่แน่นอน เช่นในปี 1998 ฝนที่เกิดจากปรากฏการณ์นี้ทำให้ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศอาร์เจนติน่า เจริญเติบโตและมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมในเขตละตินอเมริกาบางส่วน ซึ่งจริงๆแล้วปรากฏการณ์เอลนีโญ่ก็ยังก่อให้เกิดผลดีเช่นกัน คือ การก่อตัวของลมในทิศทางสวนกับลมพายุเฮอร์ริเคนจากทวีปแอตแลนติก มันจะสามารถลดระดับความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนได้

ผลกระทบต่อผลิตผลทางการเกษตรในระยะสั้นนั้นคาดเดาได้ยาก แต่ผลกระทบที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่และปรากฏการณ์สภาวะเรือนกระจกคือ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก แต่ปรากฏการณ์เอลนีโญ่ไม่ใช่ตัวการสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น กลับเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่จะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นแทน

แหล่งข้อมูลข้อมูลเพิ่มเติม : http://thestar.com.my/news/story.asp?file=/2007/1/4/apworld/20070104213453&sec=apworld

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เกาหลี ไต้ได้ทำการเปิดตัวโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานที่ได้จากขยะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยคาดว่าทางประเทศจะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันได้กว่า 500,000 บาร์เรลต่อปี โดยที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวมีขนาด 50 เมกะวัตต์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อสามารถจ่ายพลังงานให้กับภาคครัวเรือนได้กว่า 180,000 ครัวเรือน และตั้งอยู่ที่จุดทิ้งขยะในตัวเมือง Incheon ทางตะวันตกของกรุงโซล

โดยเชื้อเพลิงที่ใช้ในโรงไฟฟ้าก็คือ แก๊สมีเทน ซึ่งได้มาจากการย่อยสลายของกองขยะและสิ่งปฏิกูลตามธรรมชาติ ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยแก๊สที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกจากการเผาและยังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ (Fossil fuel) ที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้อีกด้วย โดยทางประเทศเกาหลีใต้กล่าวว่าโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจะสามารถลดการนำเข้าน้ำมันของประเทศได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1.37 ล้านตันต่อปี

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริษัทเอกชน Eco Energy ได้ทำการลงทุนกว่า 7.7 หมื่นล้านวอน(ประมาณ 3 พันล้านบาท) ในการสร้างโรงไฟฟ้าชนิดนี้ขึ้นมา โดยทางบริษัทจะมีกรรมสิทธิ์อีก 11 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะคืนสิทธิ์ให้กับทางรัฐบาลในประเทศเกาหลีใต้นั้น ก็ยังมีโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแก๊สมีเทนที่ได้จากการย่อยสลายของกองขยะ อยู่อีก 12 โรง ซึ่งทุกโรงก็ล้วนแต่เป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 1 – 6 เมกะวัตต์ซึ่งสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้สำหรับบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นจำนวนไม่กี่ครัวเรือน และในปัจจุบันพลังงานกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับ

ความต้องการของผู้บริโภคในประเทศเกาหลี ใต้นั้นมาจากโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยทางเกาหลีใต้ก็กำลังดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ (Solar power station) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เมืองซีนาน(Sinan) ในมลรัฐ South Jeollaซึ่งจะมีขนาด 15 เมกะวัตต์ อีกทั้งโรงไฟฟ้าพลังคลื่นน้ำ (Shihwa Tidal power plant) ที่จะถูกสร้างที่เมืองอันซาน(Ansan) ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าโรงไฟฟ้าพลังคลื่นน้ำ La Rance ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังคลื่นน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน โดยกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังคลื่นน้ำที่เมืองอันซานจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ครอบคลุมความต้องการพลังงานของผู้คนในเมืองอันซานกว่า 500,000 คน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2009 นี้

บริษัทเอกชน Eco Energy